ฮั่วอู๋จี๋ “เจ้านี่หมดหนทางเยียวยาจริงแท้!”
“ใช่ เขาไร้ทางเยียวยาแล้วจริง ๆ เขาโดนยาเสน่ห์กู่พิษ เราช่วยไม่ได้แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวสำทับ
ฮ่องเต้อย่างซวนหยวนจือนั้น ฮองเฮาไม่ได้วางยาเสน่ห์กู่พิษ เขายังหลงรักนางจนหัวปักหัวปำ แต่ถึงอย่างไรแล้วคนเช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่ทั่วทุกแห่งหน ต่อให้โอวหยางหว่านจะรูปงามมากก็ตาม
จินหลู่ก็เป็นอีกคนที่โดนมู่หรูเหยียนวางยาเสน่ห์กู่พิษ มิเช่นนั้นเขาจะหลงนางจนหัวปักหัวปำในขณะที่หน้าตานางอัปลักษณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ?
คนของสำนักจินติ่งเหล่านั้นได้ถูกฮั่วอู๋จี๋และองครักษ์เงาของตระกูลมู่จัดการจนราบคาบ
เวลานี้มีเพียงเจ้าสำนักจินกับบุตรชายที่ยังคงคอยปกป้องสตรีสองคนนั้นอยู่ มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “สองคนนั้นวางยาเสน่ห์กู่พิษใส่พวกเจ้าทั้งสอง พวกนางกำลังควบคุมพวกเจ้าอยู่ พวกเจ้ายังคิดจะปกป้องพวกนางอีกรึ ?”
เจ้าสำนักจินติ่งกล่าว “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ข้ารักหว่านเอ๋อร์ด้วยใจจริง ข้ารักนางตั้งแต่แรกเห็นแล้ว”
เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นพลางกล่าว “พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะชนะรึ ? พวกเจ้าไม่มีวันชนะ สำนักจินติ่งของข้ามีค่ายกลในการทำลายล้าง แค่ข้าเปิดค่ายกลนั้น ทุกอย่างก็จะถูกทำลาย ฮ่า ๆ ๆ เรามาตายด้วยกันเถอะ”
“ได้ตายไปกับเจ้า ฮั่วอู๋จี๋ ผู้นำตระกูลมู่ บุตรชายของข้าและสตรีที่ข้ารักสุดหัวใจ ข้าก็จะตายอย่างไม่เสียใจ!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ในเวลาเดียวกันนั้นมีเสียงระเบิดตูมตามดังขึ้นจากภูเขาแห่งนี้ ดูเหมือนว่าสำนักจินติ่งกำลังจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
สีหน้าของมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนไปทันที “รีบหนีเร็วเข้า!”
— ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! —
พวกเขารีบถลาลงไปจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
— เพี๊ยะ! —
เจ้าสำนักจินที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ถูกโอวหยางหว่านตบหน้าอย่างแรง
โอวหยางหว่านกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าโง่! ไร้ประโยชน์นัก ข้าไม่ยอมตายไปกับเจ้าหรอก! ”
ท่ามกลางแผ่นดินที่กำลังจะถล่มลง ทันใดนั้นมีนกตัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนอากาศ บุรุษที่อ่อนโยนและรูปงามตะโกนอยู่บนอากาศ “มู่เฉียนซี รีบขึ้นมา เร็วเข้า!”
ร่างสีม่วงกระโดดขึ้นไปบนอากาศในขณะเดียวกันกับที่พื้นดินกำลังถล่มลงไปลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น่าหลานอวี้เอื้อมมือไปจับมู่เฉียนซีเอาไว้
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น่าหลาน เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี”
น่าหลานอวี้ยิ้มตอบ “อืม โชคดีที่ข้ามาทัน นับว่าเจ้าโชคดีมาก” น่าหลานอวี้ขี่สัตว์วิญญาณบินได้มาช่วยพวกเขาไว้ เขาหย่อนเชือกลงไปด้านล่างและช่วยองครักษ์เงาตระกูลมู่กับคนของสำนักเฟินเทียนเอาไว้ได้ทั้งหมด
ค่ายกลทำลายล้างของสำนักจินติ่งยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่คนของสำนักจินติ่ง น่าหลานอวี้ไม่สนใจที่จะช่วยแม้แต่น้อย พวกเขาจำต้องยอมจำนนให้แก่ความตาย ทำได้เพียงตายไปพร้อมกันกับเจ้าสำนักของตน
“โอวหยางหว่านอยู่ที่ใดกัน ?” มู่เฉียนซีมองลงมาจากด้านบน นางมองดูสำนักจินติ่งที่กำลังพังทลาย รวมถึงมองหาโอวหยางหว่าน
เจ้าสำนักจินติ่งถูกโอวหยางหว่านตบหน้าจนมึนงงไปชั่วขณะ เขากล่าวถามว่า “หว่านเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงตบหน้าข้า ? ข้าไม่ยอมให้พวกมันฆ่าเจ้า เราจะตายไปด้วยกัน”
“เจ้ามันหน้าโง่ ข้าไม่ยอมตายกับเจ้าแน่ ข้ามีวิธีของข้า!” ทันใดนั้นเงาสีดำก็พุ่งลงมาทันที มันคือนกอินทรีย์ขนาดใหญ่
บนนกอินทรีย์ใหญ่ตัวนั้นมีบุรุษชุดดำผู้หนึ่งสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองไว้ นกอินทรีย์ตัวนั้นพุ่งลงมา บุรุษผู้นั้นก็ดึงร่างโอวหยางหว่านขึ้นไปทันที
“หว่านเอ๋อร์! หว่านเอ๋อร์อย่าทิ้งข้านะ…” เจ้าสำนักจินติ่งพยายามจะจับโอวหยางหว่านเอาไว้ ทว่าก็คว้านางเอาไว้ไม่ทัน
“อาจารย์! อาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย” มู่หรูเหยียนในเวลานี้ยืนอยู่บนพื้นดินที่กำลังจะจมลงไป หากตกลงในใต้ธรณีที่ดูเหมือนจะสูบกลืนทุกชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ มีหวังไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
“มู่หรูเหยียนยังมีประโยชน์ เอาตัวนางไปด้วย!” โอวหยางหว่าน จากนั้นนกอินทรีย์พุ่งลงมาอีกครั้งเพื่อจะดึงร่างมู่หรูเหยียนไป
ทว่าในขณะเดียวกันนั้น เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งมา มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าทั้งสองคนอย่าได้คิดหนีอีกเลย”
เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกไป เสี่ยวหงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
“เพลิงเผาสวรรค์! ”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เมื่อเปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกไป นกอินทรีย์ก็รีบหลบทันที ในขณะเดียวกันนั้นเอง เงาร่างดุร้ายพุ่งพรวดเข้าหามู่หรูเหยียน
เมื่อมู่หรูเหยียนเห็นเช่นนี้ สีหน้านางพลันแปรเปลี่ยนไปทันที “มู่หรูอวิ๋น เจ้า… เจ้ายังไม่ตายรึ เจ้า…”
มู่หรูอวิ๋นตีใบหน้าน่ากลัว กล่าวอย่างเหี้ยมโหดไม่สนใจสิ่งใด “มู่หรูเหยียน เรามาตายด้วยกัน… เรามาตายด้วยกัน! มาถึงตอนนี้ ข้าก็ได้รู้แล้วว่าคนที่ข้าเกลียดที่สุดไม่ใช่อิ๋นเจี้ยน ไม่ใช่ท่านพี่หลี่เทียน ไม่ใช่มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ แต่เป็นเจ้า… หากไม่ใช่เพราะเจ้า ป่านนี้ข้าอาจจะติดตามผู้นำตระกูลมู่อยู่กับนางและได้ดิบดีไปแล้ว ต่อให้บางครั้งข้าจะไม่ชอบนาง แต่จุดจบข้าก็คงไม่อนาถเช่นนี้เป็นแน่ ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องตายไปกับข้า!”
— ตูม! —
พื้นดินใต้ร่างของนางแตกสลาย มู่หรูอวิ๋นกอดรัดร่างของมู่หรูเหยียนไว้แน่น ทันใดนั้นทั้งสองก็ตกลงเหวลึกนั่นทันที!
“อ๊ายยยย!” เสียงกรีดร้องดังก้องออกมาจากใต้เหว
โอวหยางหว่านสีหน้าหม่นคล้ำ คิดในใจ ‘บัดซบยิ่งนัก! ขาดตัวช่วยไปอีกหนึ่ง’
“ถอย!” โอวหยางหว่านตะโกน
ทว่ามู่เฉียนซีไม่ยอมแพ้ นางตะโกนแทบจะในทันที “ตามไป! ”
เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งออกไปอีกครั้ง มู่เฉียนซีพยายามตามไปแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถตามนกอินทรีย์ตัวนั้นได้ทัน
น่าหลานอวี้กล่าว “มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์วิญญาณระดับสูงไม่อาจไล่ตามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ เกรงว่า…”
เมื่อนกอินทรีย์ดำตัวนั้นพาโอวหยางหว่านหนีไปได้ สายตาของมู่เฉียนซีเย็นชาอย่างที่ผู้ใดก็ไม่อาจเทียบได้ “บัดซบ สตรีบ้านั่นหนีรอดไปได้อีกแล้ว”
เวลานี้สำนักจินติ่งทั้งสำนักได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้ว มู่หรูเหยียนนั้นโชคร้าย ร่างของนางดิ่งจมลงไปในเหวนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงต่ำ “แต่ก็ยังดีที่จัดการไปได้หนึ่งคน ไม่มีราชาไป๋กู่แล้ว ไม่มีกู่ของมู่หรูเหยียน นางบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นจะทนได้นานสักเพียงใดกัน”
“ไปเถอะ!”
สำนักจินติ่งแห่งแคว้นชิงถูกทำลายลงด้วยค่ายกลทำลายล้างของพวกเขาเอง กลายเป็นซากปรักหักพังภายในชั่วพริบตาเดียว ศิษย์ของสำนักจินติ่งทุกคนล้วนเสียชีวิตไปทั้งหมดไม่เหลือสักคน จะเหลือก็แต่ศิษย์ที่อยู่ต่างแคว้นเท่านั้น
วันนี้สำนักนิกายแห่งแคว้นชิงหลงเหลืออยู่เพียงสำนักเดียวนั่นก็คือสำนักเฟินเทียนซึ่งยอมที่จะเป็นพันธมิตรกับตระกูลมู่
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักเฟินเทียนที่ตระกูลมู่ยืมตัวไป ถึงแม้ว่าจะถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาก็ยังไม่มีแผนที่จะจากตระกูลมู่ไปแต่อย่างใด
ในแคว้นชิงและแคว้นจื่อเยี่ยเวลานี้ ตระกูลมู่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุดเสมือนดวงตะวันที่ส่องแสงอยู่กลางท้องนภา
ไม่มีผู้ใดกล้าขัดแย้ง ไม่มีผู้ใดคิดว่าตระกูลมู่เป็นตระกูลอันธพาล
ผู้นำตระกูลมู่กับสำนักเฟินเทียนไม่ยอมแพ้ในการตามหาตัวโอวหยางหว่านแห่งสำนักไป๋กู่ แต่นี่ก็เป็นอีกคราที่โอวหยางหว่านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นางอาจจะไปซ่อนตัวที่สำนักไป๋กู่ เพราะสำนักไป๋กู่นั้นเคยเป็นสำนักนิกายอันดับหนึ่ง เป็นสำนักนิกายที่น่ากลัวกว่าสำนักอวิ๋นเยียนในปัจจุบัน ไม่แปลกเลยที่ผู้แข็งแกร่งบางคนจะซ่อนตัวได้อย่างลึกลับ
…
ณ หอหมอปีศาจ มู่เฉียนซีจ้องมองบุรุษชุดขาว นางกล่าวว่า “น่าหลานอวี้ เจ้านั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องปรุงยามาสามวันแล้ว ตกลงเจ้าจะกลับหรือไม่กลับกันแน่ ?”
น่าหลานอวี้ “มู่เฉียนซี ข้ามีบุญคุณต่อเจ้า ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ เจ้าพูดจาเช่นนี้กับผู้มีบุญคุณต่อเจ้าได้อย่างไร ต่อให้ข้าไม่ช่วยเจ้า อย่างน้อยเห็นแก่มิตรภาพ เจ้าก็ช่วยตามมู่ซีมาเจอหน้าข้าสักหน่อยเถอะ! เขาขังตัวเองอยู่ในนั้นมานานหลายวันแล้วเหตุใดถึงยังไม่ออกมาเสียที ?”
มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญากับบุรุษอย่างน่าหลานอวี้นัก “ต่อให้เจ้ารออีกสิบวันเขาก็ไม่ออกมาหรอก เจ้าตัดใจเสียเถอะ”
“ไม่! ข้าไม่ยอมตัดใจง่าย ๆ เด็ดขาด ข้าจะย้ายมาอยู่ที่หอหมอปีศาจ หากมู่ซีไม่ออกมาข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าหากน่าหลานอวี้เป็นเอามากถึงเพียงนี้ คงถึงเวลาที่นางจะต้องบอกความจริงแก่เขาแล้ว
ในขณะที่นางกำลังจะเปิดประตูเข้าไปและบอกความจริงกับเขาว่าข้างในไม่มีใคร ทันใดนั้นเงาร่างสีดำพรวดเข้ามาทางหน้าต่าง
“น่าหลานระวัง!”
มู่เฉียนซีแกว่งมือทันที เข็มยานับสิบพุ่งออกไปที่ร่างบุรุษชุดดำ
.