บทที่ 378 งานเลี้ยงใหญ่ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 378 งานเลี้ยงใหญ่ (2)

จ่างซุนหลันควบคุมจระเข้ควันให้คอยพัวพันกับเผ่ามารตนอื่นๆ ด้วยเหงื่อที่แตกโชกเต็มศีรษะ แต่ว่าจระเข้ควันได้รับบาดเจ็บหลายครั้งเกินไป จึงค่อยๆ อ่อนแอมากกว่าเดิม

นางพัวพันกับเผ่ามารระดับพันธนาการอย่างน้อยห้าตนด้วยตัวคนเดียว ถือว่าใช้ความสามารถเกินปกติแล้ว

ยังดีที่ทางลู่เซิ่งจัดการปัญหาได้แล้ว พอเผ่ามารที่เหลือเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันหมดกำลังใจ หมุนตัวหนีเตลิดไปรอบๆ

นางระบายลมหายใจแล้วมองไปยังซุนหรงจี๋ พบว่าทางซุนหรงจี๋มีสภาพอนาถถึงขีดสุด

เผ่ามารที่สู้กับเขาเป็นมนุษย์มารเขาเดียวที่มีใบหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน คนผู้นี้มีผมสีม่วง รูปแบบของเกราะอ่อนสีดำสนิทที่สวมใส่แตกต่างจากเผ่ามารตนอื่นๆ

ตอนที่เขาต่อสู้กับซุนหรงจี๋ ดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความจริงกลับทำให้จ่างซุนหลันรู้สึกเหมือนตอนที่ท่านตาฝึกต่อสู้กับนาง

ซุนหรงจี๋ดูเหมือนได้เปรียบ แต่ว่าไม่มีความคืบหน้าที่แท้จริงๆ แม้แต่น้อย คล้ายกำลังถูกหยอกเล่น

“มารตนนี้…” จ่างซุนหลันหยีตา กลับเห็นเผ่ามารตนนั้นเหลือบมองมาทางนางด้วยรอยยิ้ม

แค่การมองนี้ก็ทำให้นางขนลุกขนชันไปทั้งตัว

“พอแล้ว เดิมทีข้าคิดจะลงมือด้วยตัวเอง นึกไม่ถึงว่าพวกท่านจะสังหารเหวยน่าจี๋ได้จริงๆ” อยู่ๆ เผ่ามารตนนี้ก็ถอยหลังพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งขวางทวนวงเดือนของซุนหรงจี๋ไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ

ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ออกมาจากศพของเผ่ามาร และขมวดคิ้วมองไปยังมารตนนี้เช่นกัน

ซุนหรงจี๋ใบหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าว แล้วเก็บทวนวงเดือนไม่กล้าขยับอีก ตอนนี้เขาดูออกแล้วว่า อีกฝ่ายยืมมือของพวกเขากำจัดเผ่ามารในกลุ่มเหล่านั้น

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ซุนหรงจี๋หรี่ตากล่าวเสียงเย็น

“ทำความรู้จักกันหน่อย ข้าชื่อซีรุ่ยเอิน ขอขอบคุณที่พวกท่านกำจัดพี่ชายที่อ่อนแอของข้าทิ้งให้” เผ่ามารตนนี้โค้งตัวให้จ่างซุนหลันด้วยรอยยิ้ม

“พวกท่านรีบไปเถอะ เมื่อครู่ข้าส่งสัญญาณสายเลือดไปแล้ว อีกประเดี๋ยวคนของกลุ่มอริยะมารจะมาถึง หากช้ากว่านี้พวกท่านจะหนีไม่พ้น”

ซุนหรงจี๋กับจ่างซุนหลันงุนงง จากนั้นก็เข้าใจว่าคนผู้นี้เดิมทีเป็นไส้ศึกในเผ่ามาร แสดงให้เห็นว่าเขาคบคิดกับทางฝั่งโลกมนุษย์เพื่อกำจัดศัตรู ดูจากการที่มีคนแบบนี้คอยประสานกับพวกเขาอยู่ด้านใน ภารกิจในครั้งนี้คงไม่ได้ยากอย่างที่คิดไว้

“ขอแค่พวกท่านทั้งสามคนไปถึงจุดส่งตัวและรออีกหนึ่งชั่วยามก็จะกลับไปได้เอง ร่องรอยทั้งหมดที่เหลือ ข้าจะจัดการให้พวกท่านเอง” ซีรุ่ยเอินกล่าวอย่างมีมารยาท

“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งส่งเสียง ที่นี่เขามีพลังแข็งแกร่งที่สุด การที่เขาออกคำสั่งจึงถือว่าปกติ

ทั้งสามคนจ้องมองซีรุ่ยเอินอย่างระแวดระวัง พร้อมกับถอยห่างออกไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว

“แยกย้ายกัน! อย่าให้มันรู้จุดส่งตัวของพวกเรา” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียงกระซิบกับคนทั้งสอง ทั้งสองงงงัน ก่อนจะรู้สึกตัวและแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

“อีกครึ่งชั่วยามให้ไปรวมตัวกันที่ตีนเขาของถ้ำ” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียงมาอีก

“รับทราบ!”

“ระวังตัวกันด้วย!”

ทั้งสามแยกย้ายกันด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็หายไปในป่าสีดำสนิท

ซีรุ่ยเอินไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เพียงยืนมองตามอยู่ที่เดิมจนคนทั้งสามจากไป ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

“ท่านกลับคำนวณได้ดีนัก” สตรีเผ่ามารที่มีเขาข้างหนึ่งงอกบนศีรษะเหมือนกัน เดินออกมาจากในป่าอีกแห่ง

“ช่วยไม่ได้ พี่ชายข้าโง่เง่าเกินไป ข้าไม่อาจลงมือด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะติดบาปทางสายเลือด แต่ข้าลงมือไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นลงมือไม่ได้เสียหน่อย” ซีรุ่ยเอินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ดังนั้นท่านจึงร่วมมือกับมนุษย์โลกใช่หรือไม่” สตรีเผ่ามารหัวเราะเสียงเย็น “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะรายงานเมื่อกลับไปหรือ”

“อ้ายลี่ชาลูกผู้น้องที่รักของข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางทำแบบนี้ หลายปีมานี้เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ชายของข้ากระทำเรื่องเลวร้ายต่ำช้ามามากขนาดไหน ถ้าหากเจ้าจะฟ้องร้องข้าจริงๆ คงจะไม่โผล่มาด้วยตัวเองแบบนี้หรอก” ซีรุ่ยเอินโบกมือพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

“ท่านไม่กลัวหรือว่าจะเกิดความผิดพลาด” อ้ายลี่ชาเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่างเช่น…”

“อย่างเช่นมีข้า”

อยู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษที่สงบนิ่งดังมาจากด้านหลังซีรุ่ยเอิน

เผ่ามารเขาเดียวทั้งสองตนงุนงง จากนั้นก็รีบหมุนตัว ไปมองต้นเสียง

มนุษย์มารร่างยักษ์เขากะทิงที่สูงสามหมี่และสวมเกราะเดินออกมาจากป่าทีละก้าวๆ ด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง

“ซีรุ่ยเอิน อ้ายลี่ชา พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ…” มนุษย์มารกล่าวอย่างเคร่งขรึมและเนิบนาบ

สีหน้าของเผ่ามารเขาเดียวสองตนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

“จี๋เอิน…”

“บนโลกใบนี้ไม่มีแผนการใดที่รับประกันความปลอดภัยได้” จี๋เอินพ่นควันสีดำกลุ่มหนึ่งออกจากจมูก “เหมือนกับตอนนี้…เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่…คนที่อยู่ตรงนั้น” ดวงตาขนาดเท่ากำปั้นของเขาไม่ได้จ้องมองพวกซีรุ่ยเอิน แต่มองไปยังส่วนลึกของป่าที่อยู่ใกล้ๆ คนทั้งสอง

จุดที่สายตาของเขามองไป มีมนุษย์บุรุษเพศที่สูงชะลูดและกำยำถือกระบี่เดินออกมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ เป็นลู่เซิ่งที่ก่อนหน้านี้จากไปแล้ว

“เจ้าพบข้าได้อย่างไร” ลู่เซิ่งมองจี๋เอินอย่างสงบนิ่งพร้อมกับแสดงสีหน้าสนอกสนใจ “ข้าคิดว่าข้าซ่อนตัวดีแล้วเสียอีก”

“อาวุธเทพของเจ้า ร้อนรุ่มมาก” จี๋เอินเอ่ยเสียงทุ้ม “มันกำลังกลัว”

“…” ลู่เซิ่งก้มมองกระบี่ธารธารา

“ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสามพันปีเอง ยังใช้ชีวิตไม่พอ…ข้าว่าพวกเราควรกลับไปรอที่จุดส่งตัวดีกว่า…” กระบี่ธารธาราพูดงึมงำเบาๆ

ลู่เซิ่งหมดคำพูดเช่นกัน เขากลับมาเพราะคิดจะฆ่าเผ่ามารสักสองสามตนเซ่นไหว้กระบี่ธารธารา ขณะเดียวกันวิถีแปดมารสูงสุดของตัวเขาก็จำเป็นต้องใช้แก่นมารที่บริสุทธิ์ยกระดับตัวเองเช่นกัน เมื่อครู่ตอนกำลังจะจากไป พอดีได้กลิ่นแก่นมารบริสุทธิ์ที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง จึงอดหมุนตัวมาซ่อนรออยู่ใกล้ๆ ไม่ได้

เขานึกว่าตนเองซ่อนได้ดีแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเจอช่องโหว่เพราะกระบี่ธารธารา

“เจ้ามนุษย์ เจ้ากลับมาทำไม ที่นี่คือพิภพมาร ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่เจ้าจะทำทุกอย่างได้ตามใจ” จี๋เอินเอ่ยเสียงเย็น

“เป็นกลิ่นอายแก่นมารที่บริสุทธิ์จริงๆ…” ลู่เซิ่งหลับตาดูดซับอย่างดื่มด่ำ “อากาศรอบๆ ตัวข้าเหมือนมีกลิ่นหอมกระจายอยู่…ล้วนเป็นความบริสุทธิ์ที่แผ่ซ่านมาจากร่างของเจ้า…”

สีหน้าของจี๋เอินยิ่งมายิ่งอึมครึม

“มนุษย์ฝึกเป็นมารหรือ หาที่ตาย!”

ซีรุ่ยเอินกับอ้ายลี่ชามองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าแปลกพิกล จากนั้นก็มองจี๋เอินที่มีรูปร่างอัปลักษณ์และมีขนาดมหึมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

ถ้าหากประโยคเมื่อครู่ใช้บรรยายโฉมสะคราญ บางทีอาจไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อใช้บรรยายจี๋เอิน ความรู้สึกขัดๆ นั้นจึง…

“ช่างเถอะ ถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งก้มหน้ากล่าวโดยไม่สนใจใคร

“หมายความว่า…อะไร!?” จี๋เอินยังพูดไม่จบ ม่านตาก็ขยายตัวในทันที ดวงตาของเขาสะท้อนปากใหญ่ที่ยิ่งมายิ่งใหญ่และยิ่งมายิ่งดุดันซึ่งพุ่งเข้ามาหาตนอย่างมืดฟ้ามัวดิน

พรึ่บ!

ป่าทั้งผืนมืดสลัวอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา

ตอนนี้เผ่ามารทั้งสามตนอย่างจี๋เอิน ซีรุ่ยเอิน กับอ้ายลี่ชาหายไปแล้ว แม้แต่ต้นไม้สีดำในบริเวณที่พวกเขาอยู่ก็หายไปห้าหกต้นเช่นกัน

เหลือแค่ลู่เซิ่งที่ใช้ผ้าเช็ดมุมปากอย่างแผ่วเบา

“เป็นแก่นมารที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้กินสบายๆ แบบนี้มานานแล้ว…”

กึกๆๆๆ…

กระบี่ธารธาราที่เอวอดสั่นไม่ได้

“เจ้าเป็นอะไรไป” ลู่เซิ่งยื่นมือไปกดตัวกระบี่

“ไม่…ไม่มีอะไร อดใจไม่ไหว…อยากสะบัดตัวเล่น…” เสียงของกระบี่ธารธาราสั่นเครืออยู่บ้าง

“ควรกลับได้แล้ว พิภพมาร…เป็นที่ที่ไม่เลวจริงๆ” ลู่เซิ่งพอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้มาก แก่นมารของจี๋เอินบริสุทธิ์ถึงขีดสุด แม้จะอยู่ในขอบเขตปฐมปฐพีสามขั้นบนเท่านั้น ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายเลือดกลับเป็นแก่นมารโบราณที่บริสุทธิ์สายหนึ่ง แก่นมารชนิดนี้มีรสชาติแตกต่างจากแก่นมารที่เขาเคยกินเมื่อก่อนหน้า มีส่วนช่วยเหลือที่ใช้ได้กับวิถีแปดมารสูงสุด

ชั้นนอกของวัดตราทมิฬ

ซู่…

จ่างซุนหลัน ซุนหรงจี๋ ลู่เซิ่ง ทยอยเดินออกมาจากดวงแสงสีดำ ระดับสูงของสามสำนักที่ยืนอยู่รอบๆ ล้วนระบายลมหายใจเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หยวนเจิ้งซั่งเหรินถอนใจอย่างชื่นใจ พร้อมกับมองหลานสาวของตนเองกับลู่เซิ่งด้วยสายตาอ่อนโยน

“หรงจี๋ เมื่อครู่เป็นเพียงภารกิจทดสอบเท่านั้น หลังจากผ่านแล้ว จะสามารถเข้าร่วมศึกตัดสินของสาขาใหญ่ของจริงได้ ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ทัพมารบุกหุบเขาสองพิภพเข้าสู่ต้าอินอย่างแท้จริง ทั่วทั้งสามสำนักล้วนถูกเรียกตัวเข้าสงครามเป็นการเร่งด่วน ดังนั้นพวกเจ้าก็ต้องเข้าร่วมศึกเช่นกัน และในฐานะศิษย์หัวกะทิของสามสำนัก พวกเจ้ายังต้องกลายเป็นแบบอย่างของศิษย์คนอื่นๆ ด้วย”

“หลังจากทะลวงหุบเขาสองพิภพมาแล้ว ทัพมารก็กระจายตัวบุกโจมตีประเทศ กองทัพสายหนึ่งในนี้ส่งผลคุกคามพวกเรา โดยอยู่ห่างจากพวกเราแค่เก้าร้อยกว่าลี้เท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงต้องการให้พวกเจ้าเดินทางข้ามคืนไปสังหารทัพมารเพื่อหยุดยั้งการเซ่นสรวงเลือดเนื้อและการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตของพวกมัน” ประมุขถ้ำจิ่วเวยสั่งคนทั้งสามโดยตรงคล้ายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่กุมอำนาจทหารของจังหวัดไร้เหมันต์

สตรีสวมกระโปรงม่วงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างราบเรียบ “ศึกช่วงชิงครั้งนี้ดูกันที่ว่าใครจะทำลายทัพมารไปมากที่สุด โดยตัดสินตามผลงาน แม้ว่าสำนักซ่อนธาตุของพวกเรา ไม่อาจจะเข้าร่วมศึกตัดสินของสำนัก แต่ก็จะส่งคนไปช่วยล้อมปราบเช่นกัน”

“หรงฮูหยินเกรงใจแล้ว” หยวนเจิ้งซั่งเหรินพยักหน้าให้สตรีนางนี้น้อยๆ “สำนักพันอาทิตย์ของพวกเราจะส่งเรือนด้านในยี่สิบคนและเรือนด้านนอกห้าสิบคนไปทางสำนักซ่อนธาตุด้วย หลันเอ๋อร์จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ขอให้ฮูหยินดูแลสักเล็กน้อย”

“นี่ย่อมแน่นอน”

“ลู่เซิ่ง” หยวนเจิ้งซั่งเหรินมองลู่เซิ่ง “เจ้ามีพลังไม่เลว จงมุ่งหน้าไปยังเขาน้ำเต้าและกำจัดเผ่ามารที่อยู่ตรงนั้น จำไว้ให้ดีว่าทัพมารตรงนั้นมีสภาวะยิ่งใหญ่ ถ้าหากสู้ไม่ได้ ให้รีบส่งสัญญาณ และพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุดเพื่อรอให้ศิษย์พี่หรือผู้อาวุโสของเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ มาช่วยเหลือ”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“นอกจากนี้ พรุ่งนี้เจ้าค่อยออกเดินทาง คืนนี้ยังมีงานเลี้ยง โอรสฉยงหวนจากราชสำนักเป็นคนจัด เจ้าอยู่ในรายชื่อแขกรับเชิญด้วย”

“ศิษย์ต้องไปแน่” ลู่เซิ่งอารมณ์ดี การไปยังพิภพมารนับว่าเป็นการล่าสัตว์ รู้สึกว่าวิถีแปดมารสูงสุดมีความผ่อนคลายเล็กน้อย

ปัจจุบันจิตวิญญาณของเขาเลื่อนระดับถึงขอบเขตอริยะเจ้าแล้ว แต่กายเนื้อยังติดอยู่ตำแหน่งเดิม ถ้าหากกลืนกินมารโบราณที่สมบูรณ์สักตัว อาจจะทำให้กายเนื้อเลื่อนไปสู่ระดับใหม่ได้ เขาใคร่ครวญอยู่ว่าจะหาโอกาสกินอีกครั้งได้ในตอนไหน

แต่ก็จะเปิดเผยเกินไปไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้มแข็งในระดับที่สูงกว่าสังเกตเห็นเขา

มาถึงตอนนี้ศึกช่วงชิงในครั้งนี้ ได้ถูกเรื่องของพิภพมารเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาไม่ใช่ตัวละครหลักอีกต่อไป

หลังจากหยวนเจิ้งซั่งเหรินสั่งคนทั้งสองแล้ว ก็มีเจ้าตำหนักอีกหลายคนมารายงานสถานการณ์กับเขา สามสำนักใช้วัดตราทมิฬเป็นสถานที่จัดการข่าวสารการรบชั่วคราว

หยวนเจิ้งซั่งเหรินรีบคุยกับประมุขถ้ำจิ่วเวยอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หมุนตัวผละไปกับพวกเจ้าตำหนัก

จ่างซุนหลันจากไปพร้อมกัน ก่อนไปได้พยักเพยิดมาทางลู่เซิ่งและส่งกระแสเสียงว่าเจอกันตอนกลางคืน

ซุนหรงจี๋กลับทิ้งหยกแขวนเล็กๆ ให้ลู่เซิ่ง เพื่อให้พวกเขาใช้ติดต่อกัน ด้านบนหยกสลักค่ายกลส่งข่าวในระยะห่างไม่ไกลเอาไว้

ทั้งสามมีความคิดเป็นกลุ่มเป็นก้อนเพิ่มขึ้นมาระหว่างกัน หลังจากพบเจอเรื่องในครั้งนี้

นี่เป็นเรื่องที่ประมุขถ้ำจิ่วเวยอยากเห็น คนหน้าตายผู้นี้ยิ้มกับลู่เซิ่งและจ่างซุนหลันอย่างหาได้ยาก ก่อนจะหมุนตัวพาคนจากสำนักผูกวิญญาณจากไป

ส่วนการคัดลู่เซิ่งออกจากการเป็นศิษย์ของสำนักผูกวิญญาณไปก่อนหน้านี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา คนที่ถูกขูดรีดไปเมื่อก่อนหน้านี้เป็นผู้เยาว์ของเจ้าตำหนักผู้อาวุโสคนอื่นๆ

……………………………………….