บทที่ 379 งานเลี้ยงใหญ่ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 379 งานเลี้ยงใหญ่ (3)

ด้านนอกนครจังหวัดไร้เหมันต์ ในทุ่งน้ำเต้าแห่งหนึ่ง

ต้นน้ำเต้าแห้งเหี่ยวตั้งอยู่เป็นแผ่นผืนดินและโยกไหวตามสายลม ต้นน้ำเต้าเหล่านี้สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง รวมตัวกันเหมือนกับเป็นพุ่มหญ้าสีเหลืองผืนใหญ่ ทั้งยังส่งเสียงแซ่กๆ เบาๆ ขณะชนใส่กัน

แสงอันเย็นเยียบสีเหลืองมัวซัวของอาทิตย์อัสดงสาดเข้ามาในพุ่มน้ำเต้า แล้วลากเป็นเงาดำแคบๆ กลุ่มหนึ่ง

สตรีงดงามที่ร่างสูงชะลูดและสวมเกราะอ่อนสีดำสนิททั่วทั้งตัวนั่งอยู่ในเงาดำ ท่อนล่างของนางใช้เกราะกระโปรงทรงกระบี่ปิดเอาไว้ ตั้งแต่สองขาไปถึงส่วนสะโพกสวมผ้าบางสีดำที่เหมือนกับถุงน่อง ซึ่งปรากฏวับแวมใต้เกราะกระโปรง

ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือสองขาของนาง สามารถมองเห็นเท้าที่ไม่เหมือนมนุษย์ หากเป็นหนามโค้งคมกริบสีดำเหมือนกับสวมเกราะขามาตั้งแต่เกิด มองเห็นผ่านร่องแยกของเกราะกระโปรงเป็นบางครั้ง

“เสินหลิงใช่หรือไม่” ตอนนี้มีบุรุษวัยหนุ่มเดินออกมาจากในพุ่มน้ำเต้า เขามีบุคลิกสง่างาม ใบหน้าเหลี่ยมที่ขาวบริสุทธิ์ฉายแววระมัดระวัง

“ข้าเอง” สตรีเงยหน้าจากในเงามืด เผยใบหน้างดงามที่ทำให้คนรู้สึกเอ็นดู เป็นซั่งหยางเฟยที่หายตัวไปจากต้าซ่งนั่นเอง

“เป็นอย่างไร เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ครั้งนี้ข้ามาถึงที่นี่ไม่ง่าย เพื่อป้องกันไม่ให้พระบิดาเกิดความสงสัย จึงรับภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องอีกหลายภารกิจ” บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงเบาๆ

ซั่งหยางเฟยลุกขึ้น ยังคงทำให้ร่างกายของตนถูกบดบังอยู่ในเงามืดของแสงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“องค์ชายกังวลเกินไปแล้ว ทุกอย่างเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขอแค่ท่านทำตามสัญญาของท่าน ทำตามข้อตกลงของพวกเรา พวกเราก็จะช่วยทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ”

บุรุษหนุ่มเงียบขรึมลง “…พี่เจ็ดกับพี่สิบสี่จะสร้างปัญหาให้แก่เจ้า”

“เป็นเรื่องที่ข้าสมควรรับผิดชอบ ขอแค่ท่านทำตามสัญญาระหว่างพวกเรา แต่ถ้าหากทำได้ ข้าน้อยมีคำขอเล็กๆ ไม่ทราบองค์ชาย…” ซั่งหยางเฟยเอ่ยยิ้มๆ

“ในเมื่อเป็นคำขอส่วนตัวของเสินหลิงเจ้า จงบอกมาเถอะ ถ้าข้าทำได้ จะพยายามเต็มที่” บุรุษหนุ่มพยักหน้า

ซั่งหยางเฟยหัวเราะเบาๆ “คืออย่างนี้ ในงานเลี้ยงใหญ่ที่ท่านจัดในวันนี้ มีคนผู้หนึ่งเคยเป็นคนรู้จักของเสินหลิง ถ้าหากมีโอกาส เสินหลิงอยากจะพบกับเขาเพื่อพูดคุยตามลำพัง”

“นี่ไม่มีปัญหา” บุรุษหนุ่มพยักหน้า แม้เขาจะรู้ว่าการพูดคุยที่ว่านี้ จะต้องไม่รวบรัดแน่ แต่ว่าสำหรับเขาที่ต้องการดึงเสินหลิงมาเป็นพวกอย่างเร่งด่วน เรื่องแค่นี้ไม่สำคัญ สถานที่ไกลความเจริญอย่างจังหวัดไร้เหมันต์ หากต้องการจับคนสองสามคน โดยไม่สนใจผลกระทบจริงๆ สำหรับเขาแล้วง่ายเหมือนปลอกกล้วย

“เช่นนั้นเสินหลิงขอขอบพระทัยองค์ชายมาก” ซั่งหยางเฟ่ยยังคงโค้งเอวคำนับบุรุษหนุ่มอย่างเคารพโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กๆ เท่านั้น เมื่อถึงเวลาข้าจะเรียกคนรู้จักของเจ้าออกมาตามลำพัง เจ้าบอกชื่อของเขามาสิ”

“ลู่เซิ่ง” ดวงตาของซั่งหยางเฟยสาดจิตสังหาร “เขาชื่อลู่เซิ่ง”

นางนำร่างแยกของฝ่าบาทมาด้วย นอกจากภารกิจใหญ่แล้ว เป้าหมายหลักคือการจับตัวคนที่ทำลายหุบเหวมาร หรือก็คือจับตัวลู่เซิ่งที่หายตัวไป นางออกตรวจสอบมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ยืนยันตำแหน่งและพิกัดของลู่เซิ่งได้ผ่านการทดลองมากมาย

นางไม่รู้ว่าพลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อทำลายหุบเหวมารได้ จะต้องไม่ย่ำแย่แน่

ถึงเวลานั้นจะต้องตามหาสถานที่เงียบสงัดลับตาคน แล้วรีบปล่อยร่างแยกของฝ่าบาทออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อจับอีกฝ่ายไปจากที่นี่

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังและเบื้องหลังเป็นอย่างไร ซั่งหย่างเฟยก็ไม่คิดว่าเขาจะหนีออกจากเงื้อมมือตนเองได้ ต่อให้เป็นจ้าวแห่งมารทั่วไป หากคิดจะหนีจากการจับกุมของร่างแยกฝ่าบาท นั่นก็เป็นความละเมอเพ้อฝันเช่นกัน

ลู่เซิ่งออกมาจากวัดตราทมิฬ จากนั้นก็ยืนยันตำแหน่งของเขาน้ำเต้าได้ทันที ก่อนจะตรงดิ่งไปยังตำแหน่งจัดงานเลี้ยงใหญ่ของโอรสฉยงหวน

สถานที่ที่โอรสฉยงหวนเลือกคือเรือนด้านในของสำนักพันอาทิตย์ หน่วยหลักของสำนักพันอาทิตย์เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในสามสำนัก ขณะเดียวกันเป็นเพราะว่าคนที่ได้รับการเชื้อเชิญมาในงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นหลัก คือคนจากสามสำนัก ดังนั้นจึงไม่ได้เลือกสวนดอกไม้ในจวนของขุนนางชั้นสูง

ทว่าขณะมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงหรือก็คือเรือนด้านใน ลู่เซิ่งกลับได้รับข่าวจากเชียนตู้ ซูหนิงเฟยในเขตถ่ายทอดความลับ โดยต้องการให้เขาไปพบกันที่เขตถ่ายทอดความลับทันที

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ลู่เซิ่งก็ทราบว่ายังไม่ใช่เวลามีเรื่องกับซูหนิงเฟย เรื่องของแผ่นหิน เขากับซูหนิงเฟยต่างรู้ดีแก่ใจว่าเป็นปัญหาของใคร แม้ลู่เซิ่งจะเลื่อนระดับก็ตาม แต่ความผิดยังคงเป็นความผิด

ที่ลู่เซิ่งไม่คิดพลิกหน้ากับซูหนิงเฟย เป็นเพราะติดขัดที่เหตุผลบางประการ ส่วนที่ซูหนิงเฟยยินดีรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองเอาไว้ ก็มีความคิดของตัวเองเช่นกัน ทั้งสองจึงไม่มีใครพูดออกมา

ครืน…

ประตูหินค่อยๆ เปิดออก ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่งที่อยู่ในถ้ำ ก่อนจะเงยหน้ามองดูรอบๆ ห้อง

ซูหนิงเฟยเอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างเกียจคร้าน ดาบยาวสีขาวที่มีรูปร่างประหลาดมากเล่มหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง

“ภัยพิบัติมารอุบัติแล้ว เจ้าจะไปล่ามารหรือไม่” ซูหนิงเฟยไม่หันหน้ามา เพียงถามขึ้นหลังจากได้ยินลู่เซิ่งเข้ามา

“อาจารย์มีคำแนะนำใดหรือ” ลู่เซิ่งประสานมือถาม

“ไม่มีหรอก มีเรื่องเล็กๆ ที่อยากถามเท่านั้น เจ้ากับสำนักไตรอริยะพันธมิตรทมิฬมีการติดต่อกันหรือไม่” ซูหนิงเฟยพลันถามคำถามประหลาด

“ไม่มีขอรับ” ลู่เซิ่งปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “ศิษย์ไม่เคยพบสำนักไตรอริยะพันธมิตรทมิฬอะไรนั่นมาก่อน”

“แน่ใจหรือ” ซูหนิงเฟยจ้องมองลู่เซิ่งอย่างเคลือบแคลง

“แน่ใจขอรับ” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ตอนที่เขาเข้ามาในเขตถ่ายทอดความลับ ได้วางกระบี่ธารธาราไว้ในห้องโดยไม่ทันระวัง จึงไม่ได้เอามาด้วย

“เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย งานเลี้ยงคืนนี้มีพันธมิตรทมิฬสอดมือมาแล้ว” ซูหนิงเฟยเตือนลู่เซิ่งโดยไม่ทราบว่ามีเป้าหมายอะไร

“พันธมิตรทมิฬหรือ” ลู่เซิ่งหยีตาใคร่ครวญ จุดร่วมเพียงหนึ่งเดียวที่พอจะเป็นไปได้ของเขากับพันธมิตรทมิฬทางต้าอิน จะมีก็แค่คดีประตูแห่งความเจ็บปวดเท่านั้น

“นอกจากนี้คนที่ข้าต้องการตามหาก็อยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้เช่นกัน เจ้าช่วยข้าจับนางมา แล้วข้าจะให้รางวัลที่เหมาะสมกับเจ้า” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างราบเรียบ คำพูดนี้ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ลู่เซิ่งได้ยินความโกรธอันเลือนรางในน้ำเสียงของนาง

เขาไม่รู้ว่าคนที่เขาต้องตามหามีความเกี่ยงข้องใดกับซูหนิงเฟย แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อข้อตกลงลับระหว่างพวกเขาสองคน

“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งย่อมไม่เชื่อวาจาผีสางของซูหนิงเฟย เรื่องแผ่นหินก่อนหน้านี้ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจขึ้นแล้ว

ซูหนิงเฟยได้ยินความไม่จริงจังของลู่เซิ่งเช่นกัน

“นี่เป็นรางวัลที่เตรียมไว้ให้เจ้าก่อน” นางตบดาบยาวอันงดงามที่วางอยู่ด้านข้าง “กระบี่ที่เจ้าซื้อมาอ่อนแอเกินไป ดาบนี้เป็นสมบัติลับที่ข้าขุดออกมาจากโบราณสถานยุคโบราณในส่วนลึกของเทือกเขาธารน้ำแข็ง เป็นอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำ”

ลู่เซิ่งพลันยิ้มแฉ่ง

“อาจารย์เกรงใจจริงๆ คำสั่งที่ท่านมอบให้ ศิษย์ย่อมไม่กล้าไม่ทำตาม ไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญที่ล้ำค่าแบบนี้ให้ศิษย์เลย”

“พอแล้วๆ ก่อนหน้านี้เจ้าหลอกข้า จากนั้นข้าค่อยรู้สึกตัวว่าที่แท้เด็กน้อยเจ้ากำลังหลอกข้าอยู่ เรื่องของแผ่นหิน บวกกับถ้าครั้งนี้เจ้าพาคนกลับมาสำเร็จ อาวุธเทพชิ้นนี้จะเป็นของเจ้า หนี้ระหว่างพวกเราเป็นอันหมดกัน เป็นอย่างไร” ซูหนิงเฟยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ลู่เซิ่งมองดาบยาวเล่มนั้น ด้ามดาบสลักตัวอักษรตัวใหญ่ไว้สิบตัว คมดาบฉลุลวดลายประหลาดส่วนหนึ่ง ดูเหมือนกับลวดลายควันเมฆ ตัวดาบแยกเขี้ยวเหมือนกับสัตว์ร้ายบางชนิด ทั้งยังโค้งงออย่างสมบูรณ์แบบ

“จิตของดาบเล่มนี้อยู่ในการหลับใหลมาโดยตลอด แต่อานุภาพที่แสดงออกมาได้ ไม่มีทางต่ำกว่าระดับใบไม้ทองคำ จะว่าไปถ้าหากปลุกจิตของอาวุธเทพของมันให้ตื่นในความเป็นจริงได้ จะไม่ใช่แค่ระดับใบไม้ทองคำ เพียงแต่คนจำนวนมาก นึกหาวิธีเท่าที่จะนึกได้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจปลุกจิตของอาวุธเทพให้ตื่นได้ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มันเหมือนอาวุธเทพใบไม้ทองคำธรรมดาๆ” ซูหนิงเฟยอธิบาย “จริงสิ ชื่อจริงของมันคือแสงจรัส”

“แสงจรัส…” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก สำหรับเขาที่ตอนนี้ยากจน ได้แต่ซื้ออาวุธเทพระดับรอง อาวุธเทพของจริงที่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับใบไม้ทองคำเป็นของล่อตาล่อใจอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าหากเขาอยากจะเอาอาวุธเทพสักเล่มมาให้ได้ นอกจากลงมือแย่งชิงแล้ว ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก แต่ผู้เข้มแข็งระดับผู้ถืออาวุธของต้าอินในตอนนี้ คนไหนบ้างที่ไม่ได้พึ่งพาสามสำนักหรือสามตระกูลขุนนางใหญ่

หากว่าผลีผลามวู่วาม ราชสำนักต้าอินตรากฎไว้เข้มงวดกว่าต้าซ่งอีก ทั้งยังไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ผู้ที่มีพลังต่อสู้ระดับผู้ถืออาวุธทุกคน ได้รับการลงทะเบียนโดยราชสำนัก เป็นคนที่มีชื่อบนทำเนียบ ถ้าหากแย่งอาวุธเทพ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแค่คิดก็ทราบได้

นอกจากนี้หลังจากแย่งมาแล้ว ยังต้องลบร่องรอยพันธะอาวุธเทพเมื่อก่อนหน้าด้วย เรื่องเหล่านี้เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

ปัจจุบันในเมื่อซูหนิงเฟยเอาอาวุธเทพใบไม้ทองคำของแท้มาให้เพื่อขอโทษ เขาก็ได้แต่ฝืนรับไว้ ภายหลังตอนลงมือค่อยฟันนางให้น้อยลงสักสองสามดาบก็แล้วกัน…

“ในเมื่ออาจารย์พูดแบบนี้ ศิษย์ก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอีก ท่านไม่ต้องห่วง คืนนี้ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร ข้าจะต้องพาคนกลับมาหาท่านให้จงได้” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

เขารู้ดีว่า การที่สามารถทำให้ซูหนิงเฟยขอให้ยอดฝีมือที่พลังที่แท้จริงคือจ้าวแห่งมารอย่างเขา จับกุมคนได้ จะต้องเจออุปสรรคไม่น้อยแน่

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เอาล่ะ นอกจากนี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าไปเถอะ” นางยกมือขึ้นทำท่าโยน ดาบยาวเล่มนั้นพลันบินหมุนออกมาฟันใส่ใบหน้าลู่เซิ่ง

หมับ!

ลู่เซิ่งยื่นมือจับด้ามดาบดุจสายฟ้าแลบ จุดที่มือสัมผัสมีกลิ่นอายอบอุ่นอ่อนโยนส่งมา กลิ่นอายนี้ยิ่งใหญ่หนักแน่นถึงขีดสุด ทั้งยังแข็งแกร่งและบริสุทธิ์กว่ากระบี่ธารธารามากมายมหาศาล

ถ้าหากบอกว่ารังสีกลิ่นอายของกระบี่ธารธาราเล็กละเอียดเหมือนกับเส้นผม อย่างนั้นรังสีของดาบแสงจรัสเล่มนี้ก็ต่อเนื่องทอดยอดเหมือนกับน้ำพุ ปริมาณรังสีที่ส่งเข้ามาในร่างลู่เซิ่งในเวลาแค่หนึ่งลมหายใจ ก็เป็นสิบเท่าในเวลาอันยาวนานของกระบี่ธารธารา

“ดาบดี…” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก รู้สึกว่าร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่างเพราะรังสีของอาวุธเทพชิ้นนี้

“ไปเถอะ อย่าลืมคำสัญญาเล่า” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างราบเรียบ

“อาจารย์ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งยิ้ม ร่างกายค่อยๆ โปร่งแสง จนกระทั่งหายไปจากที่เดิมในที่สุด

ด้านในห้องลับเหลือแค่ซูหนิงเฟยคนเดียว นางหลับตาเอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างสงบ

“กล้ารับแม้กระทั่งดาบจิ่วซู่แสงจรัส…ไม่รู้จักเป็นตายจริงๆ…” มุมปากนางปรากฏความเยาะเย้ย

“เป็นเพราะเจ้าเด็กบ้านนอกนี่ไม่มีความรู้ เจ้าเตือนเขาแล้วแท้ๆ ว่าชื่อของดาบคือแสงจรัส เขากลับไม่สะทกสะท้าน นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อของดาบปีศาจเล่มนี้มาก่อนจริงๆ” ชายชราผมขาวที่ผมยาวไปถึงหลังเท้าเมื่อก่อนหน้าปรากฏจากผนังห้องลับ

“แม้แต่ข้ายังไม่กล้าแตะต้องนาน เด็กนี่ตายแน่” ซูหนิงเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ใครให้เขาเกิดจิตสังหารกับเจ้าจริงๆ เล่า” ชายชราส่ายหน้า “แต่เจ้าก็ตัดใจได้ลง ดาบจิ่วซู่แสงจรัสอยู่ในมือเจ้ามามากกว่าพันปี กลับทิ้งไปแบบนี้เสียได้”

“ดาบปีศาจเล่มนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่พลังที่ไม่อาจควบคุมได้ไม่มีความหมายสำหรับข้า ขนาดศึกษามาหลายปี ต้าอินก็หาทางจัดการมันไม่ได้เช่นกัน ได้แต่จัดให้มันเป็นอาวุธชั่วร้ายอันดับสาม” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างเย็นชา “เทียบกันแล้ว ทิ้งให้เขาไปทดสอบดีกว่า บังเอิญมีตัวเลือกที่เหมาะสมพอดี ข้ากำลังอยากดูเหมือนกันว่าหากดาบเล่มนี้แสดงความสามารถทั้งหมดได้ จะไปได้ถึงขั้นไหน เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก หากเกิดเรื่องวุ่นวาย อาวุธชั่วร้ายคลั่งขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์หรือพิภพมาร ล้วนไม่มีใครยอมให้เขาอยู่แล้ว”

ชายชราถอนใจยาวและไม่ได้พูดอะไรอีก

……………………………………….