บทที่ 380 งานเลี้ยงใหญ่ (4)
ติ๊ง!
ด้านในห้อง ลู่เซิ่งดีดนิ้วใส่ตัวดาบแสงจรัสเบาๆ
เขากระทำตามพิธีสามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว ดาบแสงจรัสดูดเลือดของเขาโดยไม่มีความแปรปรวนใดๆ ซึ่งต่างจากกระบี่ธารธารา นี่ทำให้ลู่เซิ่งมั่นใจในกระบี่เทพเล่มนี้มากกว่าเดิม
พิธีเลือด พิธีกราบไว้ พิธีจิต
ในพิธีกราบไหว้เขาเพียงใช้ปราณจริงแท้โดยไม่ได้แตะต้องพลังงานส่วนอื่นๆ พิธีจิตก็เพียงใช้หนึ่งในสิบตามมาตรฐานปกติ พิธีสามพิธีตามความเป็นจริงไม่สำเร็จ แต่ว่านี่เป็นเป้าหมายของลู่เซิ่ง อาวุธเทพที่มีความเป็นมาไม่แน่นอนแบบนี้ แถมยังเป็นสิ่งที่ซูหนิงเฟยซึ่งมีเจตนาไม่ดีมอบให้อีกต่างหาก เขาไม่กล้ารับไว้โดยสิ้นเชิง ทำถึงแค่ขั้นตอนปัจจุบัน ถ้าเกิดปัญหาอะไรจริงๆ อย่างมากสุดก็ได้รับบาดเจ็บสถานเบา สามารถรักษาให้หายได้ในครึ่งเดือน
‘อาจเป็นเพราะพิธีจิตตื้นไป ดังนั้นนอกจากได้กระบวนท่าดาบมาท่าเดียว ก็ไม่มีอะไรอีก ดาบแสงจรัส…ดาบแสงจรัส…เป็นอาวุธเทพที่มีจิตอาวุธเทพจริงหรือเปล่า’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางลูบลวดลายเมฆบนตัวดาบ หากมองไกลๆ ลวดลายเมฆบนตัวดาบสีเงินเล่มนี้ดูเหมือนกับรอยมือในอริยาบถต่างๆ
‘ความสามารถของดาบคือประกายจรัส โดยจะปล่อยแสงที่ชื่อว่าประกายจรัสออกมา คนทั้งหมดที่เห็นประกายจรัสห้วงสติจะขาวโพลนชั่วขณะ ปล่อยให้คนเชือดเฉือนตามใจ’
ความสามารถร้ายกาจมาก สมกับที่มีชื่ออยู่ในระดับใบไม้ทองคำ เพียงแต่…’ ลู่เซิ่งหวนนึกถึงแววตาของซูหนิงเฟยตอนให้ดาบแก่เขา ถ้าไม่ใช่ว่าลู่เซิ่งมีประสาทสัมผัสปราดเปรียวถึงขีดสุด คงจะสัมผัสแววเยาะเย้ยอันเลือนรางในสายตานั้นไม่ได้
‘ดาบนี้ต้องมีปัญหาแน่’ ลู่เซิ่งเสียบดาบกลับไปบนพื้น พร้อมกับมองมันอย่างเงียบๆ ‘ตามคัมภีร์ที่ได้อ่านมาก่อนหน้า ในโลกนี้ไม่มีทางมีอาวุธเทพที่ไม่มีจิต ตามการบันทึกในคัมภีร์ของสำนักมารกำเนิด เหล่าบรรพจารย์ศึกษาจนค้นพบว่าความสามารถใดๆ บนอาวุธเทพศัสตรามารล้วนเป็นการสะท้อนถึงจิตของอาวุธเทพในความเป็นจริง
พูดอีกอย่างก็คือ ในเมื่อดาบแสงจรัสมีความสามารถประกายจรัส เช่นนั้นก็หมายความว่าอาวุธเทพชิ้นนี้จะต้องมีจิตอยู่แน่’
“ลู่เซิ่ง เจ้าไปเอาอาวุธเทพเล่มนี้มาจากไหน” อยู่ๆ กระบี่ธารธาราที่แขวนอยู่บนผนังใกล้ๆ ก็ส่งเสียงเคร่งขรึมมา
“เป็นอะไร ดาบนี้มีปัญหาหรือ” ลู่เซิ่งค่อยนึกออกว่าในห้องยังมีจิตอาวุธเทพชราที่ใช้ชีวิตมาหลายพันปีอยู่ด้วย
“มีปัญหา แถมยังร้ายแรงมาก!” กระบี่ธารธาราใช้น้ำเสียงจริงจังมาก “กลิ่นอายมีความชั่วร้ายอยู่ในความตรงไปตรงมา ดาบนี้ไม่ใช่ศัสตรามารและไม่ใช่อาวุธเทพ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นอาวุธชั่วร้าย!”
“อาวุธชั่วร้าย?” ลู่เซิ่งงุนงง “มันคืออะไรกัน”
“อาวุธที่แข็งแกร่งซึ่งมีความสามารถนำพาหายนะมาให้สรรพสัตว์ และไม่ควรอยู่ในโลก” กระบี่ธารธาราอธิบาย “ถ้าไม่จำเป็น ข้าแนะนำให้เจ้ารีบขายมันทิ้งโดยเร็วที่สุด อาวุธชั่วร้ายทุกเล่มจะนำปัญหาทั่วไปมาด้วยมากมาย แม้จะมีอานุภาพมากก็ตามที”
น่าเสียดาย ถ้าหากเป็นร่างสมบูรณ์ที่แท้จริงของข้า สัญญาที่ผูกกับเจ้าจะทำให้เจ้าทำสัญญากับอาวุธเทพชิ้นอื่นไม่ได้อีก เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายข้าพิการแล้ว…
ความจริงสัญญาระหว่างกระบี่ธารธารากับลู่เซิ่งเป็นแค่สัญญาของอาวุธเทพระดับรองเท่านั้น สัญญาแบบนี้ไม่ต่างจากอาวุธที่ฝังชิ้นส่วนอาวุธเทพซึ่งลู่เซิ่งเคยได้มา เพียงแต่มีอานุภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าดาบแสงจรัสกลับเป็นอาวุธเทพสมบูรณ์ของจริง หลังจากผ่านการทำพิธีสามครั้ง ก็ได้ยอมรับลู่เซิ่งให้เป็นนายของตัวมันแล้ว
“ช่างเถอะ ยังสัมผัสไม่ได้ว่าดาบนี้มีความชั่วร้ายตรงไหน ใช้ไปก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งไม่ใช่คนห่วงหน้าพะวงหลังอยู่แล้ว อาวุธชั่วร้ายอะไร สำหรับเขา พลังไม่มีถูกมีผิด ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ใช้งานมันเป็นอย่างไรเท่านั้น
เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็คือ เขาคิดอาศัยเวลาว่างในตอนนี้ ตรวจสอบให้ละเอียดว่ากระบี่ธารธารากับดาบแสงจรัสเล่มนี้มีพลังอาวรณ์มากมายขนาดไหน
เขายังไม่ลืม และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เขาซื้ออาวุธเทพอย่างแท้จริงเช่นกัน
เขาหยิบกระบี่ธารธาราลงมาจากผนัง แล้วเริ่มลูบฝักกระบี่อย่างแผ่วเบาทุกชุ่น ขณะเดียวกันก็ใช้จิตสะกดพลังแห่งอาวุธเทพที่ตัวกระบี่ปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติเอาไว้
หลังจากพลังอาวุธเทพจางลง พลังงานประหลาดหลายสายจากบนฝักกระบี่ก็ปรากฏออกมาเอง
‘มีจริงๆ ด้วย! ดีที่ทายไม่ผิด!’ ลู่เซิ่งยินดี ก่อนจะค่อยๆ หลับตาและดูดซับพลังงานประหลาดในนั้นออกมาสุดกำลัง
ซู่…
พลังอาวรณ์หลายสายทะลักจากระบี่ธารธาราเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
เผอิญที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งใช้พลังอาวรณ์ที่มีหมดไป ตอนนี้พลังงานในกระบี่ถูกลู่เซิ่งดูดมากักเก็บในร่างกายเหมือนกับน้ำใสที่ไหลเข้าสู่ทะเลทรายที่แห้งเหือด
พอกระบี่ธารธาราถูกลูบไล้ร่างกายอย่างล้ำลึกแบบนี้ก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่ก็สัมผัสได้ว่าตัวกระบี่คล้ายมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อีกทั้งเขายังรู้ว่าลู่เซิ่งไม่มีทางทำเรื่องที่ไร้ความหมาย ผู้ผูกสัญญาที่มีความลึกลับเช่นนี้มีความลับน่ากลัวยิ่งกว่าผู้ผูกสัญญาคนอื่นๆ ที่มันได้เจอมาก่อนหน้านี้เสียอีก มันจึงหดจิตใจซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกสุดของคมกระบี่อย่างว่าง่ายพร้อมกับหลับไหลไป
ลู่เซิ่งดูดซับพลังอาวรณ์อยู่หนึ่งชั่วยามกว่าๆ รอจนเขาได้สติ ด้านนอกก็ใกล้จะมืดแล้ว
‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาในความคิด แล้วตรวจสอบว่าตัวเองดูดซับพลังอาวรณ์ได้มากเท่าไหร่โดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย
กรอบสีฟ้าเด้งขึ้นมาในฉับพลัน ลอยอยู่กลางสายตา ลู่เซิ่งเงยหน้าไล่มองไปทีละกรอบ ด้านในกรอบทั้งหมดล้วนมีปุ่มปรับเปลี่ยนได้และเรียนรู้ได้
เขาใช้ระดับความสิ้นเปลืองของวิชาจริงแท้ที่เรียนรู้ไปก่อนหน้า และของวิชามารอย่างวิถีแปดมารสูงสุดคำนวณปริมาณพลังอาวรณ์ในปัจจุบันออกคร่าวๆ
‘อย่างน้อยก็มีสามร้อยกว่าหน่วย…หลังเก็บเล็กผสมน้อย ผลลัพธ์ยังนับว่าไม่เลว’ ไม่ได้เยอะอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว ลู่เซิ่งรู้สึกพอใจ เขาตั้งกระบี่ธารธาราขึ้นเบาๆ แล้วสะพายไว้ด้านหลัง ก่อนจะมองไปยังดาบแสงจรัสที่ปักอยู่บนพื้น
ตอนนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดแล้ว ตัวดาบแสงจรัสที่เสียบอยู่บนพื้นเปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนๆ ตัวดาบเหมือนกับมีความรู้สึกเย็นเยียบขาวซีดชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เคยชินยามมองไป
ลู่เซิ่งเข้าใกล้ก้าวหนึ่ง พร้อมกับยื่นมือไปจับด้ามกระบี่ แต่ไม่รู้สึกว่ามีพลังอาวรณ์ดำรงอยู่
เขานิ่วหน้า แล้วลูบคมดาบสีน้ำเงินอีกรอบ
ยังคงไม่มีพลังอาวรณ์แม้แต่น้อย
‘เป็นไปไม่ได้…ทำไมถึงไม่มี’ ลู่เซิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ยังนึกไม่ออก อาวุธเทพศัสตรามารมีตัวแปรมากเกินไป อีกทั้งเขายังไม่ค่อยรู้จักขอบเขตนี้ดีเช่นกัน จึงได้แต่ดึงดาบออกจากพื้นแล้วเก็บเข้าฝัก
ตัวดาบของดาบแสงจรัสอ่อนนุ่มถึงขีดสุด ลู่เซิ่งจึงพันมันไว้รอบเอวเหมือนกับสายรัดเอว
จากนั้นก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไปยังลานของเรือนด้านใน เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงกลางคืนที่โอรสฉยงหวนแห่งต้าอินจัดขึ้น
เขาตอบรับเรื่องของซูหนิงเฟยไปแล้ว ในเมื่อเอ่ยปากแล้ว อย่างนั้นก็ควรไปลองดูเสียหน่อย แน่นอนว่าเขากับซูหนิงเฟยต่างคนต่างก็มีเลศนัยในใจ ต่างคนต่างก็มีเจตนาร้าย ลู่เซิ่งย่อมไม่มีทางช่วยนางจัดการอย่างจริงจัง เขาตัดสินใจแล้วว่าขอแค่จัดการไม่ได้ ก็จะถอยทันที
เขาเปลี่ยนไปสวมชุดทางการของศิษย์เรือนด้านในตามมาตรฐานของสำนักพันอาทิตย์ ซึ่งเป็นชุดคลุมรัดเอวสีเหลืองอ่อน และปักคำว่าพันตัวโตไว้ด้านหลัง บวกกับผ้าคาดศีรษะ สายรัดเอว และรองเท้าในชุดเดียวกัน
หลังจากสวมใส่ทุกอย่างเรียบร้อย ลวดลายค่ายกลเล็กๆ ตรงขอบชุดก็ค่อยๆ เรืองแสงแล้วหายไป นี่หมายความว่าค่ายกลทำความสะอาดฝุ่นที่ติดบนเสื้อคลุมทำงานแล้ว ขอแค่ลู่เซิ่งมอบปราณจริงแท้ให้อย่างต่อเนื่อง แค่ใช้ปราณจริงแท้ไม่กี่สายก็รักษาการโคจรของค่ายกลเพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกส่วนใหญ่ในอนาคตได้แล้ว
นี่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์เรือนด้านในของสำนักพันอาทิตย์ไม่ต้องอาบน้ำ ฝุ่นในโลกด้านนอกสามารถกันได้ แต่ว่าเหงื่อบนตัวก็ยังต้องทำความสะอาดเองอยู่
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ ลู่เซิ่งก็เดินไปถึงหน้าประตูก่อนจะยื่นมือไปผลัก
แอ๊ด…
อยู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ในพริบตาเมื่อครู่นี้เขาคล้ายกับรู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรที่ปุกปุยโดนข้างมือของตัวเองเบาๆ
พอหันกลับไป ในห้องกลับเงียบสงัดไม่มีสิ่งใด เงาจากแสงกำลังค่อยๆ เคลื่อนไปตามพื้น
ลู่เซิ่งหันกลับมาจัดแจงปกเสื้อ แล้วสาวเท้าเดินไปยังประตูเรือน
เขาไม่รู้เลยว่ามีเด็กผู้หญิงสวมเสื้อดำที่ผมยาวถึงไหล่คนหนึ่งเกาะติดอยู่บนหลัง โดยที่ทั้งสองหันหลังให้กันและเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน
เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ผมยาวของตนเองติดกับแผ่นหลังของลู่เซิ่ง พร้อมกับฮัมเพลงอย่างไร้เสียง
หลังจากลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ผิวพรรณที่อวบอิ่มของเด็กผู้หญิงก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยว เลือดจำนวนมากไหลออกจากตา หู จมูก ปาก แล้วไหลไปตามแขนขา อีกไม่กี่ลมหายใจให้หลัง นางก็เหลือแค่ผิวมนุษย์บางๆ ชั้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนหลังลู่เซิ่ง
สุดท้ายแม้แต่ผิวก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน
…
ท่ามกลางเสียงดนตรีอันไพเราะ หญิงสาวงดงามเต้นรำอย่างพลิ้วไหวเหมือนกับผีเสื้อหลากสี
สุราหอม อาหารโอชะ วางอยู่บนโต๊ะยาวติดผนังสองด้านอย่างไม่เป็นระเบียบ กาสุราสำริดขนาดสูงเท่าหนึ่งคนครั้งตั้งอยู่กลางโถงใหญ่ สุราดีหลายสายไหลออกมาจากปากของกาสุราอย่างช้าๆ แล้วหยดลงไปในบ่อน้ำทรงกลมที่อยู่เบื้องล่าง
สุรารสดีสีเขียวที่หอมกลิ่นผลไม้เติมเต็มบ่อน้ำ เกิดระลอกคลื่นสีฟ้ากระเพื่อมขึ้น
ในโถงมีคนไม่น้อย ระดับสูงส่วนใหญ่ของสามสำนักล้วนมาถึงแล้ว โดยกำลังพูดคุยกับโอรสฉยงหวนบนเวที มีเสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มคนเป็นระยะ
เหล่าศิษย์นั่งอยู่เบื้องล่าง ลู่เซิ่งอยู่กับศิษย์หนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองเหมือนกันตรงตำแหน่งของศิษย์จากสำนักพันอาทิตย์ ด้านหน้ามีสุรา ผักผลไม้ ถั่ว และขนมวางอยู่
เรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์มีคนมาทั้งหมดสามสิบกว่าคน ส่วนใหญ่นั่งเรียงกันเป็นแถว ต่อให้พูดคุยกันก็ใช้เสียงเบามาก แสดงให้เห็นว่าได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูมาดี
สำนักซ่อนธาตุกลับต่างออกไป ลูกศิษย์ทั้งหลายโอบเอวโอบไหล่ กินดื่มเต็มที่ ปล่อยตัวตามสบาย
ส่วนศิษย์ของสำนักผูกวิญญาณถือจอกสนทนาไปทั่ว ส่วนใหญ่ยิ้มอย่างเสแสร้ง
ลู่เซิ่งนั่งบนตำแหน่งของตัวเอง สายตากลับอดกวาดมองรอบๆ เพื่อตามหาสตรีที่หน้าตาเหมือนกับซูหนิงเฟยผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้
“สหายลู่ เอาแต่นั่งเรียบร้อยอยู่ที่นี่มีความหมายหรือ ออกมาเดินเล่นหน่อยไหม” ซุนหรงจี๋มาถึงด้านหน้าโต๊ะของลู่เซิ่งพร้อมกับกลิ่นสุราก่อนจะกล่าวถาม
“ได้” ลู่เซิ่งคิดจะลุกขึ้นไปเดิน เพื่อดูว่าจะเจอสตรีที่ซูหนิงเฟยต้องการตัวได้หรือไม่พอดี อย่างไรก็ได้อาวุธเทพมาแล้ว แม้จะเป็นอาวุธชั่วร้ายที่มีความนอกรีตเล็กน้อย แต่ก็ต้องมีการแสดงออกให้เห็นบ้าง
เขาลุกขึ้นเดินออกจากโถงใหญ่ไปกับซุนหรงจี๋ จากนั้นก็พิงรั้วหยกสีขาวบนระเบียงด้านข้างพร้อมกับมองไปด้านนอก
บนที่ราบว่างเปล่าด้านนอกโถงใหญ่ มีบุรุษสตรียืนอยู่ไม่น้อย พวกเขากระจัดกระจายกันเป็นกลุ่มๆ พลางพูดคุยสรวลเสเฮฮา บรรยากาศปรองดองเป็นพิเศษ
“จะว่าไป ความสามารถของสหายลู่ น่าจะฝึกสำเร็จก่อนจะเข้าสำนักพันอาทิตย์แล้วกระมัง” ซุนหรงจี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“กล่าวไปก็บังเอิญ ผู้น้องเพิ่งรู้จักคนสูงศักดิ์คนหนึ่ง ว่ากันว่าเป็น…” ซุนหรงจี๋ยังพูดอะไรต่ออีก แต่ลู่เซิ่งไม่ได้ยินแล้ว
สายตาของเขาพลันจับอยู่บนร่างสตรีคนหนึ่งที่เพิ่งผ่านด้านหน้าเขาไปไม่ไกล
สตรีนางนี้เหมือนกับกระต่ายตื่นตูม สวมกระโปรงสีขาว และสวมหมวกตาข่ายที่สานจากดอกไม้เล็กๆ สีขาวบนศีรษะ กำลังผลุนผลันเดินออกไปด้านนอกประตูโถงใหญ่ โดยที่จับกระโปรงด้วยความระมัดระวัง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ สตรีนางนี้มีใบหน้าเหมือนกับซูหนิงเฟย ถ้าหากว่าบอกว่าส่วนใหญ่ซูหนิงเฟยจะทำตัวเย็นชา เช่นนั้นสตรีนางนี้ก็ขลาดเขลาอ่อนแอ
“ข้าขอตัวก่อน เพิ่งเห็นคนรู้จัก” ลู่เซิ่งตัดบทซุนหรงจี๋ที่พูดไม่รู้จักจบสิ้นด้วยรอยยิ้ม
…
“ขออภัย ข้ามีธุระ ขอตัวไปก่อน” ในกลุ่มสำนักซ่อนธาตุ สตรีผมเงินที่มีสีหน้าเย็นชาคนหนึ่งตัดบทบุรุษตรงหน้าที่กำลังพูดเป็นน้ำท่วมทุ่ง
“มิกล้าๆ ศิษย์พี่ซิ่วตามสบายๆ”
ซือหม่าซิ่วพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แล้วหมุนตัวเดินตามสตรีกระโปรงขาวออกจากโถงใหญ่
……………………………………….