ตอนที่ 209 ความสุขที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 209 ความสุขที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

แม้เรื่องการไปที่บ้านตระกูลเหอเพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมายจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ ถึงกระนั้นแม่นางเฉินก็ไม่อยากให้แม่นางจ้าวล่วงรู้ ดังนั้นก่อนที่แม่นางเหลียนจะเอ่ยปาก นางจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงหยอกล้อกับพี่สะใภ้รองน่ะเจ้าค่ะ”

“มีเรื่องตลกอะไรหรือ เล่าให้ข้าฟังบ้าง” แม่นางจ้าวกำผ้าเช็ดหน้าพลางเอาผมทัดหู

“ท่านแม่ เหตุใดท่านยังไม่ทำอาหารอีกล่ะเจ้าคะ…” หยุนเชวี่ยเช็ดหน้าพลางเปล่งเสียงตะโกน “อีกประเดี๋ยวพระอาทิตย์ขึ้นข้าก็จะเข้าเมืองแล้ว!”

“อืม!” แม่นางเหลียนรีบขานรับพลางเหยียดยิ้มมุมปากด้วยความเกรงใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวไปทำอาหารก่อน…” หลังจากพูดจบ นางจึงสาวเท้าออกไปโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

“ฮี่ฮี่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าเองก็ขอตัวไปทำอาหารเช่นกัน หากชักช้าท่านแม่จะอารมณ์เสียอีก” แม่นางเฉินหมุนตัวกลับก่อนวิ่งเข้าไปในห้องครัวที่ร้อนระอุ

แม่นางจ้าวกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อล้างหน้าเสร็จ นางจึงเดินกลับเข้าไปในห้องพลางพูดคุยกับหยุนลี่จง

“เมื่อครู่น้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามรวมหัวกันนินทาเรื่องอันใดไม่รู้ ทว่าพอพวกนางเห็นข้าก็ปิดปากเงียบทันที ฮึ่ม… มันต้องมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแน่!”

“หญิงไร้ประโยชน์สองคนจะทำอะไรได้!” หยุนลี่จงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“ใครจะรู้” แม่นางจ้าวไม่ชอบใจแม่นางเหลียนอยู่เป็นทุนเดิม ทั้งยังเกลียดแม่นางเฉิน แต่นางก็อดรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “น้องสะใภ้สามเป็นคนโง่เขลาไม่ได้ฉลาดไปกว่าหมูหรอก แต่เมื่อเห็นว่าครอบครัวน้องรองหาเงินได้มากมาย นางกลับรีบประจบประแจง ข้าอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้านางเสียจริง ๆ!”

หยุนลี่จงที่เพิ่งตื่นนอนขมวดคิ้วแน่น “ด่าทอผู้อื่นแต่เช้าตรู่ จิตใจของเจ้าหยาบกระด้างมากขึ้นทุกวัน เจ้าลองมองตนเองในกระจกแล้วสังเกตดูสิว่าภรรยาผู้สง่างามและมีพรสวรรค์ของข้าหายไปที่ใด”

เมื่อพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความรังเกียจและเดินออกจากห้องไป

ใบหน้าของแม่นางจ้าวบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ นางผ่อนลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะสงบอารมณ์ได้ จากนั้นจึงกัดฟันและหยิบตำราขึ้นมาหนึ่งเล่มก่อนขว้างลงพื้นอย่างเต็มแรงเพื่อระบายความคับข้องใจ

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หยุนเชวี่ยก็แบกตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากบ้านดังเช่นทุกวัน

แม่นางเฉินนั่งยอง ๆ อยู่หน้าห้องครัวพลางล้างจานพร้อมมองแม่นางเหลียนอย่างไม่ละสายตา อย่างไรก็ตามเหตุใดแม่นางจ้าวถึงเอาแต่จ้องนางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงรีบล้างจานให้เสร็จ

แม่นางเหลียนเกรงว่าแม่นางเฉินจะเร่งเร้าและพัวพันไม่หยุด เมื่อวางชามข้าวลง นางจึงพูดคุยกับหยุนเยี่ยนสองประโยคจากนั้นใช้มือหนึ่งหยิบจอบและใช้อีกมือหนึ่งหิ้วถังน้ำก่อนออกไปทำงานในไร่นา

เมื่อเหอยาโถวเห็นว่าหยุนเชวี่ยมาหาตนแต่เช้าตรู่และหัวเราะคิกคักไม่หยุด รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความลับราวกับเขาทำเรื่องผิดพลาด ซึ่งมองดูรอยยิ้มนั้นแล้วให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล

เขาพลันครุ่นคิดถึงการกิน การดื่ม และการกระทำในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าเอาแต่มองข้าแล้วหัวเราะแปลก ๆ!”

หยุนเชวี่ยหรี่ตาลงพลางโบกมือปฏิเสธ

เหอยาโถวเอียงคอพลางเดินเข้าไปใกล้นาง

“ข้ามีเรื่องมงคลจะบอกเจ้า…” หยุนเชวี่ยแสร้งทำเป็นกล่าวเสียงทุ้มเพื่อให้ฟังดูลึกลับ

เหอยาโถวสับสนยิ่งกว่าเดิม ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของหยุนเชวี่ยแล้ว สัญชาตญาณของเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเป็นแน่

“เรื่องมงคลอันใดหรือพี่เชวี่ยเอ๋อ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินอยากรู้อยากเห็นยิ่งนักจึงเดินเข้าไปหาหยุนเชวี่ย เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรื่องมงคล’ ทั้งสองจึงเผยท่าทีมีความสุข

“มัน…” หยุนเชวี่ยเกาศีรษะ “ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา มันเป็นเรื่องมงคลของเหออวี้”

“พี่เชวี่ยเอ๋อ อย่าบ่ายเบี่ยงไปเลย มันคือเรื่องมงคลอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเรามีความสุขไปด้วย!”

เหอยาโถว…

เขายิ่งมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

“เอ่อ…” หยุนเชวี่ยกะพริบตาพลางเหยียดยิ้มเหยเกเพราะนางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือเห็นอกเห็นใจกันแน่ “เอ่อ… อาสะใภ้สามของข้าอยากให้แม่ของข้าพูดคุยเรื่องแต่งงานกับครอบครัวของเจ้า นางอยากให้เซียงเอ๋อแต่งงานกับเจ้า…”

เครื่องหมายคำถามมากมายลอยอยู่ในหัวของเหอยาโถว เพราะเขารู้สึกว่าตนนั้นฟังผิดไป

เขาตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งได้ยินเสียงเล็กแหลมของเสี่ยวส้วยเอ๋อตะโกนเสียงดัง “อย่างไรนะ? ให้เซียงเอ๋อแต่งงานกับพี่เหออวี้?!”

เหอยาโถวมองหยุนเชวี่ยด้วยสายตางุนงงและพบว่าหยุนเชวี่ยกำลังพยักหน้ายืนยัน “มันเป็นความคิดของอาสะใภ้สามของข้าน่ะ เมื่อคืนนางขอให้ท่านแม่ข้ามาที่บ้านเจ้าเพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมาย”

“เซียงเอ๋อจะแต่งงานกับพี่เหออวี้ได้อย่างไร พี่เหออวี้…” เสี่ยวส้วยเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะโดด “พี่เหออวี้อายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนนางอายุแค่เท่าใดกัน?! เป็นไปไม่ได้!”

ภายในใจของนาง พี่เหออวี้กับพี่เชวี่ยเอ๋อนั้นเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก แม้จะชอบเหออวี้มากเพียงใด แต่หากเขาคบหากับหยุนเชวี่ย นางก็ยินดีกับทั้งสองคน ทว่าหากเป็นเซียงเอ๋อ… อย่าแม้แต่จะคิด

ชีจินไม่เข้าใจสิ่งที่หยุนเชวี่ยพูดแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเสี่ยวส้วยเอ๋อจึงตื่นเต้นแทนเหออวี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆ”

เหอยาโถวตะลึงงันกับ ‘เรื่องมงคล’ ครั้งใหญ่ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังคงมีสีหน้างุนงงเช่นเดิม “เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องของเซียงเอ๋อแก่ข้า?”

“อาสะใภ้สามของข้าบอกว่าเซียงเอ๋อขลุกอยู่ที่บ้านของเจ้าทั้งวัน นางกลัวว่าชาวบ้านจะติฉินนินทาจึงอยากให้เซียงเอ๋อแต่งงานกับเจ้า” หยุนเชวี่ยอึ้งจนกล่าวไม่ออกเช่นกัน “หากพูดตามตรง ข้ารู้สึกว่านางอยากให้เซียงเอ๋อแต่งกับเจ้าเพราะตระกูลของเจ้าร่ำรวย ดังนั้นนางจะต้องไม่กังวลเรื่องความเป็นอยู่ อีกทั้งเจ้ายังเป็นลูกคนเดียว…”

“สาเหตุที่นางขลุกอยู่ที่บ้านข้าทั้งวันเพราะนางมาที่นี่เอง ข้าไม่ได้เรียกนางมาเสียหน่อย!” เหอยาโถวรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง “ประตูบ้านของข้าเปิดกว้างทุกวัน แล้วข้าจะทำอะไรนางได้อีกเล่า?”

“ถูกต้อง” ชีจินพยักหน้าอีกครั้ง “ข้ามาบ้านของเหออวี้ตั้งหลายครั้ง และทุกครั้งก็เห็นเซียงเอ๋อนั่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้านตลอด นอกจากนี้ป้าสะใภ้เหอยังทำขนมให้นางกินด้วย”

“ท่านป้าสะใภ้เหอมีจิตใจเมตตา แต่ยังไม่วายถูกใส่ความ!” เสี่ยวส้วยเอ๋อเอามือเท้าเอวอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจหยาบกระด้าง เหตุใดถึงหน้าหนาเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”

“อย่างไรเสียข้าก็ไม่ตกลงอยู่แล้ว” เหอยาโถวกล่าวพลางเผยท่าทีเด็ดเดี่ยว “ท่านพ่อท่านแม่ของข้าต้องไม่ยอมแน่ บอกให้อาสะใภ้ของเจ้าหยุดคิดเรื่องนี้เถิด…”

เหอยาโถวรู้ดีว่าชายหนุ่มที่อายุเท่าตนต้องหมั้นหมายภายในหนึ่งปีหรือสองปี และยังรู้อีกว่าไม่ช้าก็เร็วตนจะต้องแต่งงาน แม้เขาจะไม่รู้ว่านางในฝันของตนนั้นมีรูปร่างเป็นเช่นไร ทว่าต้องไม่ใช่หยุนเซียงแน่นอน

หยุนเซียงอายุยังน้อยเกินไป หน้าตาของนางละม้ายคล้ายมารดาไม่มีผิด แม้จะไม่อวบอัด ทว่าไม่งดงาม อีกทั้งยังสกปรกมอมแมม… เดิมทีเหอยาโถวไม่มีความรู้สึกฉันชู้สาวให้นางอยู่แล้ว หลังจากได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกรังเกียจนางยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากเขาชอบหญิงสาวผู้งดงามที่มีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเรียงตัวสวยงาม เมื่อฉีกยิ้มดวงตาของนางจะเปล่งประกายและอ่อนโยนดังเช่นเฟิงซิ่วไฉ…

ใบหน้าของเหอยาโถวแดงก่ำขึ้นมาทันทีคล้ายกับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น ขณะที่หัวใจดวงน้อยของเขาเต้นรัวราวถูกบีบเคล้นอยากแรง

“เฮ้ เหตุใดเจ้าถึงทำทีราวกับสาวน้อยเช่นนี้ เหมือนกับว่าเจ้าอายที่จะพูดอะไรบางอย่าง” ใบหน้าของเหอยาโถวแดงก่ำจนถึงหูทั้งสองข้าง หยุนเชวี่ยเอ๋อรู้ดีว่าเขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาเหมือนกับที่ทุกคนคิด