ตอนที่ 210 อย่าลืมว่าเริ่มทำสิ่งนี้เพราะเหตุใด เพียงเท่านี้ความตั้งใจของเจ้าก็จะสำเร็จ
“ใครเขินอายกัน” เหอยาโถวลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตนอย่างรู้สึกผิด
“ฮี่ฮี่ พี่เหออวี้หน้าแดงแล้ว!” เสี่ยวส้วยเอ๋อแลบลิ้นพลางหัวเราะอย่างซุกซน
ชีจินเดินตามคนอื่น ๆ ไปอย่างรวดเร็ว
“หัวเราะอะไร? ข้าเพียงยืนตากแดดนานต่างหาก” เหอยาโถวยังคงปากแข็งขณะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“พวกเราก็ยืนตากแดดเช่นกัน แต่เหตุใดหน้าของพวกเราถึงไม่แดงล่ะ?”
“ข้าผิวขาว ดูสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เหออวี้… เหตุใดเจ้าถึงเดินเร็วเช่นนี้? รอพวกเราด้วยสิ!”
เหอยาโถวรู้สึกกังวลเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องหมั้นหมายกับหยุนเซียง แต่เป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าขณะนี้ตนอายุมากพอที่จะแต่งงานแล้ว ทว่าเขายังไม่อยากแต่งงาน
เมื่อถึงในเมือง เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง ครานี้ไม่มีพรรคพวกของเถียนตวนสื่อมาก่อกวนอีกต่อไป ดังนั้นทั้งสองคนจึงมีกำลังใจเต็มเปี่ยมและตั้งมั่นว่าจะหาเงินชดเชยที่ขายบ๊วยดองน้ำตาลไม่ได้ในสองวันที่ผ่านมา
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวมุ่งหน้าไปยังร้านโชห่วยเป็นอันดับแรกซึ่งร้านนี้ขายสินค้าที่มีความแข็งแรงทนทานและราคาถูกกว่าร้านอื่นที่พวกเขาเคยสอบถามราคา
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือในเมืองใหญ่ที่มีร้านขายเนื้อ ร้านอาหาร ร้านขายปลาเกลื่อนกลาดเต็มถนน ทว่ามีร้านขายผักเพียงสองหรือสามร้านเท่านั้น แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะไปตั้งแผงขายบ๊วยดองน้ำตาล พวกเขาได้สอบถามชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงและได้คำตอบว่าผักเหล่านั้นคือผักที่กินไม่หมดจึงนำมาจำหน่าย ดังนั้นราคาจึงต่ำจนน่าตกใจ
“คุณลุง เหตุใดในเมืองถึงมีร้านขายผักน้อยนักล่ะเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หืม เจ้าคือสาวน้อยผู้ที่ขายบ๊วยดองน้ำตาลมิใช่หรือ?” ชายสวมหมวกฟางส่งยิ้มให้ทั้งสองอย่างเป็นมิตร เขามีอายุราวสี่สิบกว่าปี มีใบหน้าหยาบกร้านดังเช่นชาวนาทั่วไป
“เจ้าค่ะท่านลุง ท่านลองชิมบ๊วยดองน้ำตาลนี่ดูสิเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางหยิบห่อบ๊วยดองน้ำตาลออกจากตะกร้า
“ไม่ล่ะ ๆ” ชายผู้นั้นรีบโบกมือปฏิเสธ
“ไม่เอาเงินขอรับ มันสามารถดับกระหายได้ดีเยี่ยม” เหอยาโถวกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะนั่งยอง ๆ ลงข้างเขา “ท่านลุง พวกเราอยากสอบถามอะไรเสียหน่อย”
“ฮ่าฮ่า เจ้าอยากรู้อะไรถามมาได้เลย ข้าไม่กินบ๊วยของเจ้าหรอก เก็บไว้ขายเถิด!” ชายผู้นั้นเหยียดยิ้ม มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นชาวนาผู้ซื่อสัตย์และใช้ชีวิตเรียบง่าย
หยุนเชวี่ยนั่งลงอีกข้างหนึ่งของเขาพลางถามว่า “ท่านลุงขายผักเหล่านี้ในราคาเท่าใดหรือ?”
“หนึ่งเหรียญสามจิน เลือกได้ตามใจชอบ!” ชายผู้นั้นชูนิ้วขึ้น
“ราคาเดียวกันทั้งหมดเลยงั้นหรือ?” เหอยาโถวสังเกตเห็นว่าบนแผงของเขาเต็มไปด้วยผักที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปเช่นถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือยาว ผักกาด หัวหอม และกระเทียมที่เปื้อนโคลน
“ราคาเดียวกันหมดเลย พวกเจ้าสามารถหยิบผักชนิดเดียวกันหรือคละกันก็ได้” ชายผู้นั้นไม่ใช่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เขาขายสินค้าด้วยสัญชาตญาณ และหากขายเพื่อหวังเงินกำไรอย่างเดียวนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่แย่มาก
“ท่านลุง เหตุใดท่านถึงขายในราคาต่ำเช่นนี้?” เหอยาโถวเอ่ยถาม
“ผักเหล่านี้ปลูกในแปลงผักของข้า หากกินไม่หมด มันก็เน่าเสียโดยเปล่าประโยชน์ ไม่สู้นำผักอร่อย ๆ มาขายแบ่งปันให้ผู้อื่นไม่ดีกว่าหรือ?” คำตอบของชายผู้นั้นเรียบง่ายเช่นเคย ชาวไร่รู้ดีว่าการเพาะปลูกพืชผักนั้นลำบากเพียงใด
“ท่านลุง ท่านมาจากหมู่บ้านใดรึ?”
“ข้าอยู่หมู่บ้านโคเขียว ออกจากเมืองแล้วเดินไปทางทิศตะวันตกประมาณห้าลี้ก็ถึงแล้ว หากเป็นคนในหมู่บ้านไกลออกไปคงไม่ขายผักหรอก เพราะมันไม่ใช่ผักหายากอะไร” ชายแปลกหน้ากล่าวพลางหยิบน้ำเต้าขึ้นมาจากน้ำใส่มือจากนั้นพรมน้ำลงบนผัก
“ผักเหล่านี้ราคาย่อมเยายิ่งนัก ทว่าเหตุใดถึงไม่มีใครซื้อเลย?” หยุนเชวี่ยเห็นผู้คนสัญจรไปมา ทว่าน้อยคนนักที่จะหยุดมองแผงขายผัก ซึ่งกลับกลายเป็นร้านขายเนื้อฝั่งตรงข้ามเป็นร้านที่ขายดีที่สุด
“เจ้าสองคนไม่รู้อะไรเสียแล้ว ชาวบ้านในเมืองนี้มีสวนผักอยู่ภายในรั้วบ้านซึ่งมีพื้นที่มากพอที่จะปลูกผักให้คนทั้งครอบครัวกิน และครอบครัวใหญ่หรือร้านอาหารเช่น ภัตตาคารหลงชิงนั้นมีสวนขนาดใหญ่เป็นของตนเอง” ชายผู้นั้นชี้ไปยังประตูด้านข้างของร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่มาก “เช้าตรู่จะมีคนเอาวัตถุดิบมาส่ง ซึ่งมักจะเป็นญาติพี่น้อง…”
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ที่แท้คนในเมืองและคนชนบทก็พึ่งพาตนเองเช่นเดียวกัน
หลังจากนั่งคุยกับพ่อค้าขายผักอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าขณะที่กำลังลุกขึ้นและเตรียมตัวขอตัวกลับนั้นก็มีสตรีถือตะกร้านางหนึ่งเดินมาหยุดและนั่งยอง ๆ ลงข้างแผงผักและเลือกผักชนิดนั้นทีชนิดนี้ที
“จ่ายเงินแค่หนึ่งเหรียญก็พอแล้วขอรับ” พ่อค้าขายผักไม่ได้ชั่งน้ำหนัก ทว่าหยิบผักทั้งกองใส่ลงในตะกร้าของสตรีผู้นั้น
“ใจกว้างเกินไปแล้ว” สตรีผู้นั้นฉีกยิ้มกว้างพลางล้วงเหรียญเงินออกมาจากถุง “เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ชายยิ่งนัก”
เพียงดูด้วยตาเปล่ายังสามารถรับรู้ได้ว่าผักกองนั้นหนักกว่าสามจิน เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นั้นเดินออกไปไกลแล้ว เหอยาโถวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านลุง ผักกองนั้นมีน้ำหนักไม่น้อยเลย ขายราคาถูกเช่นนี้ไม่ขาดทุนหรือขอรับ?”
พ่อค้าขายผักเก็บเงินใส่กระเป๋าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่ถือสา “น้ำหนักไม่น้อยอะไรกัน อย่างมากก็สี่จินเท่านั้น เงินทองไม่ใช่สิ่งที่หามาได้ง่าย ๆ อีกทั้งผักเหล่านั้นปลูกในที่ดินของข้าเองจึงไม่มีอะไรเสียหายนี่”
“ท่านลุงใจกว้างจริง ๆ” หยุนเชวี่ยชื่นชอบความเรียบง่ายของพ่อค้าขายผักจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้เขาจะดูเซ่อซ่าและโง่งมอยู่บ้าง ทว่าจิตใจของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้อเฟื้อ
หยุนเชวี่ยรักเงินและชื่นชอบในการหาเงิน ทว่านางไม่ชอบความเรียบง่ายและมักน้อยของพ่อค้าทั่วไป ทั้งยังไม่ชอบให้ตนเองกลายเป็นคนเช่นนั้นในอนาคต แต่นางประทับใจคำพูดหนึ่งของท่านลุงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลาผู้นี้
อย่าลืมว่าเจ้าเริ่มทำสิ่งนี้เพราะเหตุใด เพียงเท่านี้ความตั้งใจของเจ้าก็จะสำเร็จ
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เด็กทั้งสองคนจึงลุกขึ้นกล่าวคำลาและเดินไปสำรวจร้านโชห่วยในเมืองต่อ พวกเขาเดินเข้าไปในร้านโชห่วยแห่งหนึ่งและพบว่าร้านค้าแห่งนี้มีสินค้าราคาถูกที่สุด
ไม่เพียงแค่ราคาถูกเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพดีอีกด้วย เพราะพวกเขาต้องการซื้อไหมากกว่าสิบใบและขนมมันกลับบ้านด้วยเกวียนล่อซึ่งมันจะช่วยประหยัดเวลาได้มากมาย
แม้ครอบครัวของหยูซื่อจะจดจำหยุนเชวี่ยไม่ได้ ทว่านางจดจำพวกเขาได้แม่นยำ เมื่อเดินเข้าไปใกล้หยุนเชวี่ยพลันคิดว่าช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริงที่พวกเขาจำไม่ได้ว่านางเป็นญาติกับหยุนชิ่วเอ๋อ ไม่เช่นนั้นคงมีปัญหาอีกมากมายตามมาแน่นอน
“ร้านนี้แหละ ข้าคิดว่าร้านนี้ราคาถูกที่สุดในเมืองแล้ว”
หยุนเชวี่ยพยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นร้านของผู้ใด?”
“ร้านของผู้ใด?” เหอยาโถวหันกลับไปมอง “เจ้ารู้จักหรือ? ทว่าน่าแปลก เหตุใดพวกเขาถึงไม่ทักทายเจ้า?”
“ข้าจำพวกเขาได้ แต่พวกเขาจำข้าไม่ได้” หยุนเชวี่ยกล่าว “พวกเขาคือคนตระกูลหยูที่หยุนชิ่วเอ๋อถอนหมั้น ตอนที่ครอบครัวของเขาก่อเรื่อง ข้าและท่านพ่อเคยมาที่นี่เพื่อเจรจาสงบศึกน่ะ”
“ตระกูลหยูรึ?”
“อืม สองสามีภรรยาคู่นั้นเป็นคนไร้เหตุผล ดังนั้นอย่าหวังว่าพวกเขาจะทำการค้าอย่างซื่อสัตย์เลย”
“ถ้าอย่างนั้นคนที่พูดตะกุกตะกักเมื่อครู่คือคนที่อาของเจ้าหมั้นหมายด้วยใช่หรือไม่? นั่นมัน ฮ่าฮ่าฮ่า…” เหอยาโถวอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะ
“เจ้ายังมีความสุขอยู่อีก เขาไม่ได้ตั้งใจพูดตะกุกตะกักเสียหน่อย” หยุนเชวี่ยรู้สึกเห็นใจหยูซื่อ เพราะหลังจากที่ตระกูลหยุนเปลี่ยนใจยกเลิกการแต่งงาน จนถึงตอนนี้ตระกูลหยูก็ไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานครั้งใหม่อีกเลย!
“ข้าไม่ได้ตั้งใจหัวเราะเยาะเขา ข้า…” เหอยาโถวกลั้นหัวเราะไม่ได้ ทว่าเขาไม่มีเจตนาหัวเราะเยาะจริง ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าหยูซื่อผู้นี้ช่างน่าขัน “จะว่าไปแล้ว หากแต่งงานกับอาของเจ้าจริง เขาคงถูกรังแกไปจนตายแน่นอน เคราะห์ดีที่คนโง่เช่นเขามีวาสนาสวรรค์คุ้มครองให้รอดพ้นจากความชั่วร้าย”