ตอนที่ 211 คนที่รู้จักพอเพียงมักมีความสุข
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวง่วนอยู่กับการสำรวจราคาสินค้าตลอดครึ่งเช้า พวกเขาเปรียบเทียบราคาของไหที่ใช้ในการดองผักและวัตถุดิบต่าง ๆ ก่อนจดจำไว้ในใจ
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อไม่ได้นิ่งดูดายเช่นกัน พวกเขาเดินเร่ขายบ๊วยดองน้ำตาลไปตามถนนและตรอกซอย เมื่อถึงยามเที่ยงถุงเงินของทั้งสองก็หนักอึ้งและส่งเสียงกังวาน
“ข้าจะไปซื้อซาลาเปาเนื้อ!” ก่อนกลับบ้าน เสี่ยวส้วยเอ๋อต้องแวะไปที่ร้านซาลาเปาดังเช่นทุกครั้ง
“เจ้ากินซาลาเปามาครึ่งเดือนสิบวันแล้ว ไม่เบื่อเลยหรือ เหตุใดถึงไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้าง” เหอยาโถวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ซาลาเปาเนื้อหอมกรุ่นเพียงนี้แล้วข้าจะเบื่อหน่ายได้อย่างไร? ต่อให้กินไปทั้งชีวิตก็ไม่เบื่อ รอให้หาเงินได้เยอะ ๆ ก่อนเถอะ ข้าจะกินวันละสามมื้อเลย!” เสี่ยวส้วยเอ๋อวิ่งเข้าไปในร้านซาลาเปา
“จริงสิ!” ฉับพลันชีจินก็ตบหน้าผากของตนเอง “ข้าเกือบลืมไปแล้ว พี่เชวี่ยเอ๋อ… เมื่อครู่ข้าบังเอิญเจอพี่ต้าจี๋บนถนน เขาบอกว่าตามหาตัวท่านอยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่เจอจึงฝากข้ามาบอกท่าน”
“ว่าอย่างไร?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
“เขาฝากมาบอกว่านายท่านของเขามีเวลาว่างในยามบ่ายของวันพรุ่งนี้ นายน้อยเฉียนจะไปรอท่านที่ประตูหลังของจวนนายอำเภอ” ชีจินรู้สึกสับสนไม่น้อยจึงเกาศีรษะและพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวมองหน้ากันพร้อมส่งยิ้ม พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าอ้วนจะมีประโยชน์ยิ่งนัก ไม่นานทั้งสองคนก็จะได้พบเจอเจ้าเมืองแล้ว
กลับไปยังหมู่บ้านไป๋ซี
หลังจากกินมื้อกลางวันเรียบร้อย หยุนเชวี่ยไม่หยุดพักให้เสียเวลา นางหยิบกิ่งไม้ที่ไหม้เป็นตอตะโกออกจากเตาแล้วหาแผ่นไม้เหลือใช้จากหลังบ้านมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นพึมพำและคำนวณบางอย่าง
เสี่ยวอู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยถามคำใด ทว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองพี่สาวด้วยความสงสัย
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าทำอะไรน่ะ? ดูเถ้าสีดำนั่นสิ” แม่นางเหลียนเดินออกไปยกอ่างน้ำเข้ามา “รีบล้างหน้าล้างตาและขึ้นนอนพักสักหน่อยเถิด”
“ท่านแม่ ท่านพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเชวี่ยจึงกางแผ่นบัญชีออกและวางพู่กันถ่านลง เสี่ยวอู่ที่นั่งข้าง ๆ ยังคงมองอย่างไม่ละสายตา ในขณะที่แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนยังคงไม่หยุดพัก มีเพียงหยุนลี่เต๋อเท่านั้นที่ส่งเสียงกรนเป็นระยะ
หยุนเชวี่ยกะพริบตาอย่างงุนงง “เหตุใดพวกท่านถึงมองข้าเช่นนี้?”
“พรืด…” หยุนเยี่ยนปิดปากหัวเราะ “ดูสิ หน้าเจ้าดูเหมือนนักแสดงงิ้วยิ่งนัก” จากนั้นนางจึงล้วงกระจกทองแดงใบเล็กออกมาจากใต้หมอนก่อนยกขึ้นส่องน้องสาว
หยุนเชวี่ยส่องกระจกพลางหันซ้ายขวาและทำหน้าตาประหลาดก่อนหัวเราะคิกคักอย่างเบิกบาน จากนั้นเดินไปล้างหน้าและล้างมือ
“ดูเจ้าเด็กโง่คนนี้สิ” แม่นางเหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางจุ่มผ้าเช็ดหน้าลงในอ่างครึ่งหนึ่งแล้วบิดให้แห้งก่อนเอ่ยเรียกลูกสาวอย่างเอ็นดู “มานี่”
“ท่านแม่” หยุนเชวี่ยโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้มารดาอย่างว่าง่ายพร้อมเพลิดเพลินไปกับสัมผัสที่อ่อนโยนก่อนกล่าวว่า “อีกครึ่งเดือนก็จะหมดฤดูของลูกบ๊วยแล้ว ทว่าข้ายังเก็บเงินได้เพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น”
การหาเงินจากการค้าขายนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก หยุนเชวี่ยลอบทอดถอนใจเนื่องจากนางต้องแบกตะกร้าที่มีน้ำหนักหลายจินไปกลับสามสิบลี้ทุกวัน ฉับพลันนางก็รู้สึกโกรธตนเองเพราะทำการค้าขายมามากกว่าหนึ่งเดือน ทว่าเก็บออมเงินได้เพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้วเมื่อไรนางจะได้เป็นเศรษฐีดังที่หวังเสียที
“เจ้ายังถือว่ามันน้อยอยู่อีกหรือ?” แม่นางเหลียนยีผมของลูกสาวด้วยความเอ็นดู “หนึ่งหรือสองตำลึงก็เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในครอบครัวเราตั้งหนึ่งปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าชาวบ้านในหมู่บ้านต่างชื่นชมเจ้ากันทั้งนั้น”
“มันขึ้นอยู่กับว่าใช้จ่ายกับอะไรเจ้าค่ะ หากตระหนี่เช่นท่านย่า อย่าว่าแต่ครึ่งปีเลย ข้าเกรงว่าอีกหนึ่งปีก็ยังไม่ได้ใช้เงิน” หยุนเชวี่ยเบ้ปาก “ข้าอยากมีชีวิตที่ดีและอยากให้ครอบครัวของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
“เจ้าหาเงินได้วันละเท่าไหร่? ขอเพียงมีเสื้อผ้า มีอาหารเพียงพอในทุกวัน และไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว” แม่นางเหลียนเผยท่าทีพึงพอใจ “หลังจากผ่านพ้นฤดูกาลนี้แล้ว พวกเราจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”
“ท่านแม่ ท่านไม่อยากเป็นฮูหยินเหมือนคนที่บ้านหลังใหญ่หรือ? ไม่อยากสวมใส่ชุดผ้าแพร สวมเครื่องประดับเงินและทอง เครื่องประทินผิวราคาแพง มีสาวใช้มากมายคอยปรนนิบัติรึ?” หยุนเชวี่ยเงยหน้าพร้อมเอ่ยถาม
แม่นางเหลียนขำขันกับใบหน้าจริงจังของลูกสาว “แม่จะมีชีวิตมั่งคั่งเช่นนั้นได้อย่างไร? และอีกอย่างหากแม่อยู่เฉย โดยไม่ทำงาน แม่คงทรมานไม่น้อย”
เมื่อนึกถึงคราที่หยุนเชวี่ยบอกให้แม่นางเหลียนแกล้งป่วยและนอนเฉย ๆ อยู่สามวัน การทำเช่นนั้นมันทำให้นางลำบากใจยิ่งนัก ทั้งยังปวดเอวราวกับกระดูกสันหลังแตกหัก ซึ่งนางรู้สึกว่ามันเหน็ดเหนื่อยกว่าทำนาสามวันติดกันเสียอีก
“ท่านแม่ แล้วพี่สาวเล่า? พี่สาวไม่อยากมีชีวิตหรูหราเหมือนพวกคุณหนูหรือ?” หยุนเชวี่ยหันไปถามพี่สาว
หยุนเยี่ยนส่ายศีรษะด้วยความงุนงง “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย… ข้าได้ยินว่าครอบครัวใหญ่มีกฎเกณฑ์มากมาย ซึ่งข้าเป็นคนโง่จึงเกรงว่าจะเรียนรู้กฎเกณฑ์เหล่านั้นไม่ได้ คงมีแต่อาชิ่วเอ๋อที่อยากเป็นฮูหยินของขุนนาง”
หยุนเชวี่ย…
สองแม่ลูกคู่นี้พึงพอใจง่ายเสียจริง
หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วพลางหันมองเสี่ยวอู่ ในขณะที่เสี่ยวอู่ส่ายศีรษะด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่ต้องการเป็นนายน้อย ด้วยความมักน้อยเช่นนี้ นางจึงอยากให้ทุกคนในครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
“เจ้าวาดอะไรน่ะ?” หลังจากเช็ดหน้าให้ลูกสาวเสร็จ แม่นางเหลียนจึงเก็บกวาดโต๊ะ
แผ่นไม้เล็ก ๆ ชิ้นนั้นเต็มไปด้วยตัวเลขอารบิกและเครื่องหมายบวกลบ แม่นางเหลียนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนตัวอักษร มันแลดูยุ่งเหยิงคล้ายกับยันต์กันผีมากกว่า
“ท่านแม่ พี่สาว เสี่ยวอู่ ข้าอยากปรึกษาพวกท่านสักหน่อย” หยุนเชวี่ยเก็บแผ่นไม้ไปซุกไว้ใต้เตียงก่อนกลับมากนั่งที่โต๊ะพลางกวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาจริงจัง
“เรื่องอะไรรึ?” หยุนเยี่ยนยืดหลังตรงอย่างไม่รู้ตัว
“อย่างที่ข้าเคยพูดไปว่าขณะนี้ใกล้หมดฤดูของลูกบ๊วยแล้ว ข้าจึงอยากทำการค้าอย่างอื่นซึ่งเราไม่สามารถหาเงินแบบเดียวกันได้ด้วยการขายชุดผ้าฝ้ายในฤดูหนาวและขายเสื่อในฤดูร้อนใช่หรือไม่?”
แม่นางเหลียน…
หยุนเยี่ยน…
ทั้งสองคนไม่มีประสบการณ์ด้านการขายแม้แต่น้อย แม้จะเข้าใจความหมายของหยุนเชวี่ย ทว่าพวกนางก็จินตนาการไม่ได้จริง ๆ ว่าสามารถทำการค้าอะไรได้อีก
“ข้ากับเหอยาโถวหารือกันแล้วว่าจะฉวยโอกาสนี้ซื้อผักเช่นแตงกวา ถั่วฝักยาว หัวไชเท้า และผักอื่น ๆ จากชาวบ้านในหมู่บ้านของเรามาดองไว้ในไหและรอจนกว่าจะถึงหน้าหนาวจึงเอาออกมาขาย…”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้แย้ง หยุนเชวี่ยจึงอธิบายแผนการอย่างละเอียด “เมื่อครู่ข้าคำนวณไว้แล้วว่าเราสามารถขายมันในหน้าหนาวได้ และหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เราจะสามารถขายมันได้ประมาณสามถึงสี่ครั้ง”
มารดาของหยุนเชวี่ยโน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อยพลางยื่นมือออกมา มันคือการประมาณการแบบอนุรักษนิยม ซึ่งราคาผักต่ำกว่าที่หยุนเชวี่ยคิดไว้ยิ่งนัก แต่สิ่งของที่ไร้ค่าในฤดูกาลนี้จะเป็นของหายากในฤดูหนาว
“มันจะขายได้กำไรใช่หรือไม่?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินหยุนเชวี่ยบอกว่านางจะใช้เงินที่อดออมไว้เป็นเงินทุน ดังนั้นนางจึงเกรงว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น
“การค้าขายมีกำไรและมีขาดทุนเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยแบมือพร้อมหัวเราะ
แม่นางเหลียนรู้สึกกังวลใจมากยิ่งขึ้น นางต้องการยื่นมือไปปิดปากถุงเงินไว้ให้แน่นเสียจริง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหตุใดถึงไม่… คิดไตร่ตรองให้มากกว่านี้ดูก่อนเล่า เผื่อว่า…”
ยังพูดไม่ทันจบ นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นไม่เป็นมงคลจึงรีบส่ายศีรษะพลางถอนหายใจก่อนตำหนิตนเอง “แม่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน แม่จึงไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดและช่วยเหลือไม่ได้…”
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยได้ยินดังนั้นจึงรีบอธิบาย “ข้าเพียงบอกให้ท่านฟัง ข้าไม่ทำมันก็ได้ ดังนั้นเราจะได้ไม่ต้องเสียเงิน…”