ตอนที่ 112 ประเพณี ‘เชิญปีใหม่’

เย่ฉูฉู่คลุกไส้เรียบร้อยแล้ว จึงลองชิมรสชาติดู และรู้สึกว่ารสชาติกลมกล่อมพอดีแล้ว “คุณชิมดูไหม?”

“ถ้าภรรยาคิดว่าดีแล้วก็พอแล้วล่ะ” จ้าวเหวินเทายิ้ม

เย่ฉูฉู่วางตะเกียบลง มองไส้เกี๊ยวพลางกล่าวว่า “นี่กินเจจริง ๆ ด้วยสินะ แม้แต่ต้นหอมก็ไม่ใส่ แต่ทำไมต้นหอมถึงถูกจัดว่าเป็นของคาวล่ะ?”

“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่บอกว่า ต้นหอม กระเทียมและกุยช่ายเป็นของคาวทั้งหมด ไม่รู้ว่าตัดสินจากอะไร” จ้าวเหวินเทามึนงงกับเรื่องนี้มาก

แต่แม่ของเขานับถือศาสนาพุทธ แม่พูดอะไรก็ว่าไปตามนั้น

เย่ฉูฉู่มึนงงยิ่งกว่า เพราะตระกูลเย่ของเธอรับประทานของคาวในช่วงข้ามปี ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรมากมายขนาดนี้

“จริงสิ ไปเชิญปีใหม่ไหมคะ?” เย่ฉูฉู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้

จ้าวเหวินเทากล่าว “ไปสิ รอห่อเกี๊ยวเสร็จก็ไปแล้ว”

“ฉันก็ว่าอยู่แล้วเชียว บ้านฉันมีแค่พี่ชายของฉันที่ไป” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“บ้านพวกเราก็เหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ พ่อจะเป็นคนไป” จ้าวเหวินเทาวางแป้งที่นวดไว้ดีแล้วลงบนกระดานนวดแป้งเพื่อให้ขึ้นฟู เขานั่งลงบนเตียง “ภรรยา ขึ้นเตียงเถอะ อย่าอยู่บนพื้นเลย มันหนาว”

อากาศแบบนี้ที่ด้านนอกในตอนนี้ ทางฝั่งภาคเหนือของพวกเขาต่างก็ต้องนั่งอยู่บนเตียงกันทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะบาดเจ็บจากความเย็นจัดได้ง่าย ๆ

เย่ฉูฉู่ตอบอืมหนึ่งเสียง เธอวางกะละมังใส่ไส้ไว้ที่บนเตียง จากนั้นก็นำกระด้งสองสามใบมาวางข้าง ๆ ถอดรองเท้าขึ้นมานั่งบนเตียง นั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอห่อเกี๊ยว

“คุณพ่อเป็นลูกคนที่สามใช่ไหมคะ แต่เขาบอกว่าให้ลูกชายคนโตไปเชิญปีใหม่ไม่ใช่เหรอ? ควรเป็นบ้านพวกลุง ๆ ที่ต้องไปเชิญสิ ทำไมถึงเป็นพวกเราไปเชิญล่ะ?” เย่ฉูฉู่ถาม

“พวกเขาก็ไปเชิญเหมือนกัน” จ้าวเหวินเทากล่าว “ปีที่แล้วก็ไปด้วยกัน กลับด้วยกันตลอด”

“เอ๋ แล้วไปข้ามปีใหม่ที่บ้านใครล่ะ?” เย่ฉูฉู่ถามด้วยความประหลาดใจ

เชิญปีใหม่ เป็นสิ่งที่พวกเขาพูดถึงกันในท้องถิ่นทางฝั่งนี้

มันคือการเชิญเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่บนเขาให้กลับมารอข้ามปีใหม่ด้วยกัน โดยปกติแล้วจะมีแค่ลูกชายคนโตที่จะได้รับเกียรติเป็นพิเศษนี้ ตระกูลเย่ทางฝั่งนั้นก็มีกฎเช่นนี้ จึงต้องให้ลูกชายคนโตไป

จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ต้องดูความต้องการของบรรพบุรุษเรา ถ้าบรรพบุรุษเต็มใจที่จะมา พวกเขาก็จะมา พวกเราต่างก็ยินดีต้อนรับกันทั้งนั้น”

เย่ฉูฉู่เองก็ยิ้มออกมา

จ้าวเหวินเทาเห็นว่าแป้งใช้ได้แล้ว จึงเริ่มนวด นวดเสร็จก็ทำการตัดเป็นชิ้น

เย่ฉูฉู่ช่วยนำแป้งที่ตัดเป็นชิ้นนำมาคลึงเป็นก้อนกลม ๆ ซึ่งแป้งขาวสามารถทำได้ง่าย

“คุณคงไม่รู้ว่าลุงรองของผมน่ะผูกคอฆ่าตัวตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ทิ้งป้ารองกับพี่สาวคนนั้นของฉันไว้ ลุงรองของผมตัดผู้สืบทอดตระกูลไป พ่อผมก็เลยแบกรับสองตระกูลไว้บนบ่า ตอนแรกบอกว่าจะรับเลี้ยงหนึ่งในพวกเราไปเป็นลูกชายของลุงรอง จะปล่อยให้ลุงรองผมถูกตัดธูปไม่ได้ จะได้มีสักคนใส่กระดาษลงหลุมฝังศพ แต่ลุงใหญ่ผมไม่ยอม บอกว่าจะให้รับลูกชายของเขาไปเป็นลูกบุญธรรม” จ้าวเหวินเทาหั่นแป้งเสร็จแล้ว จึงเริ่มรีดให้แบนขณะที่ปากยังคงพูดอยู่

“ทำไมถึงไม่ยอมล่ะ” เย่ฉูฉู่หยิบแป้งที่ถูกรีดแล้วมาห่อเกี๊ยว

“เพราะว่าลูกบุญธรรมจะได้สืบทอดมรดกของครอบครัวไง” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมีความสุข “ยุคนั้นจะไปมีมรดกอะไรให้สืบทอด? ยากจนถึงขั้นกินแกลบอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าลุงใหญ่ผมคิดอะไรอยู่ ถึงได้วางแผนแบบนี้”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้

“หลังจากนั้นก็ทะเลาะกันไง ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก เพราะตอนนั้นยังเด็กแบเบาะอยู่ นี่ก็ได้ยินมาจากแม่ทั้งนั้นแหละ ทะเลาะกันตอนนั้นคือเอากันถึงตายเลยนะ ท้ายที่สุดก็จบแบบคาราคาซัง ไม่มีใครสืบทอดทั้งนั้น ป้ารองผมก็เลี้ยงดูลูกสาวจนโต จากนั้นก็แต่งงานออกเรือน แล้วป้ารองผมก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านลูกเขยด้วย” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่กล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงเลย ไม่แปลกที่ฉันจะรู้สึกว่าคุณมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับบ้านลุงใหญ่”

“ใช่แล้ว เหมือนกับน้ำกับไฟที่อยู่รวมกันไม่ได้นั่นแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงแอบถอนหายใจออกมา “ขนาดเป็นพี่น้องแท้ ๆ นะ แต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วล่ะ”

“ตอนนี้ป้ารองเป็นยังไงบ้างคะ ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยเหรอ?” เย่ฉูฉู่กล่าว

“ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของผมแต่งงานไปอยู่ที่ที่ห่างไกล เดินทางไปกลับใช้เวลาหนึ่งวันกว่า ๆ ก็เลยกลับมาบ่อย ๆ ไม่ได้ ตอนที่พวกเราแต่งงานหล่อนก็เคยมานะ คุณลืมไปแล้วเหรอ? แถมยังให้หมอนกับผ้าขนหนูคุณหนึ่งคู่ด้วยนะ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า เธอไม่มีความทรงจำในเรื่องนี้แม้แต่น้อย

“จำไม่ได้ก็ไม่แปลก คนเยอะขนาดนั้นคุณจำไม่ได้อยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว “หล่อนใช้ชีวิตไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก”

ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน จ้าวเหวินเทาก็รีดแผ่นแป้งได้เป็นกอง จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “ลืมใส่เหรียญลงไปในเกี๊ยวนี่!”

เขาจึงรีบไปหยิบ

“ฉันล้างเหรียญไว้แล้ว อยู่ในถ้วยวางอยู่ที่ห้องครัว” เย่ฉูฉู่กล่าวเตือน

เกี๊ยวในคืนข้ามปีถ้าไม่ใส่เหรียญลงไปก็จะไม่มีวิญญาณ ยิ่งไม่ได้รับความรู้สึกของพิธีกรรม ดังนั้นจำเป็นต้องใส่เหรียญด้วย

จ้าวเหวินเทาหยิบเหรียญเดินเข้ามา วางลงบนแผ่นนวดแป้ง หนึ่งเฟิน สองเฟิน ห้าเฟิน ซึ่งบนผิวหน้ามีชั้นน้ำแข็งจับอยู่หนึ่งชั้น

เย่ฉูฉู่หยิบขึ้นมาหนึ่งเหรียญแล้วใส่เข้าไปในไส้เกี๊ยว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อีกเดี๋ยวพวกเรามาดูกันว่าใครจะกินเหรียญมากกว่า”

“ภรรยา งั้นพวกเราก็ต้องใส่เงินให้มากอีกหน่อยสิ? หกเหรียญแอบน้อยไปหน่อยนะ” จ้าวเหวินเทากล่าว

“สองคนใส่ไปหกเหรียญยังน้อยอีกเหรอ? ถ้าคุณกลัวว่าจะไม่ได้กิน งั้นคุณก็ใส่เหรียญห่อไว้ในเกี๊ยวทุกชิ้นเลยสิ” เย่ฉูฉู่พูดด้วยความรู้สึกขบขัน

“แบบนั้นก็ไม่น่าสนใจสิ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ไม่ได้ ผมต้องจำสักหน่อยแล้วว่าอันไหนมีเหรียญบ้าง”

เย่ฉูฉู่ถูกสามีแกล้งทำให้ขุ่นเคืองจนหัวเราะออกมา

ทั้งสองคนพูดคุยไปพลางห่อเกี๊ยวไปพลาง เพียงไม่นานก็ห่อเกี๊ยวได้มาสองกระด้ง คืนนี้หนึ่งมื้อ ส่วนที่เหลือก็นำออกไปแช่แข็งข้างนอก ไว้ต้มรับประทานพรุ่งนี้เช้า

การกินเจของตระกูลจ้าว นอกจากคืนข้ามปีที่รับประทานหนึ่งมื้อแล้ว วันแรกของปีก็ยังต้องกินอีกหนึ่งวันด้วย

คุณแม่จ้าวพูดว่า เคยอยากกินเจจนรับออกจากการกินเจในวันที่สิบห้าของเดือนปีใหม่ หลังจากนั้นก็ทนไม่ไหว จึงเปลี่ยนเป็นกินถึงวันที่ห้า วันที่ห้าก็ทนไม่ไหวอีก จึงเปลี่ยนมาเป็นวันที่หนึ่ง กินเจสี่มื้อยังอยู่ในจุดที่รับได้

เย่ฉูฉู่ได้ฟังก็หัวเราะไม่หยุด “แบบนี้ก็เปลี่ยนได้ด้วยเหรอ? ฉันนึกว่าจำเป็นต้องทำซะอีก”

จ้าวเหวินเทาก็ยิ้ม “พิธีรีตองของผู้ใหญ่คุณก็อย่าไปเชื่อเลย ไม่ว่าจะพูดยังไงพวกเขาก็มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ!”

เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “คุณพูดแบบนี้ หลังจากนี้ลูกของเราก็จะพูดถึงคุณแบบนี้เหมือนกัน”

“ผมไม่หลอกลูกชายอยู่แล้ว จริงไหม เจ้าลูกชาย?” จ้าวเหวินเทาพูดกับท้องของเย่ฉูฉู่ไปหนึ่งประโยค

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาพลางหัวเราะ ปากบอกไม่ได้รักผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ปากก็ยังเรียกลูกชายไม่หยุด

หลังห่อเกี๊ยวเสร็จ พี่รองจ้าวก็มาหาจ้าวเหวินเทาให้ไปเชิญปีใหม่แล้ว

เรื่องแบบนี้ไม่ต้องให้ผู้หญิงออกหน้า เย่ฉูฉู่จึงอยู่รอในห้อง

จ้าวเหวินเทาสวมชุดเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหยิบกระดาษเงินกระดาษทองหนึ่งมัดออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเดินไปที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลจ้าวกับพวกพี่ชาย

หลุมฝังศพของตระกูลจ้าวอยู่บนยอดเขาตงเหลียงในหมู่บ้าน คนที่มาเชิญปีใหม่ไม่ได้มีแค่บ้านพวกเขา หลุมฝังศพของคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็อยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด สถานที่ค่อนข้างไกล แต่ก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น บางคนก็ตั้งอยู่ในทุ่งนาซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง

ทุกคนต่างก็หิ้วกระดาษเงินกระดาษทอง ในมือถือไฟฉาย เดินไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ เพื่อขึ้นยอดเขา ตามหาหลุมฝังศพของตระกูลตัวเอง

พี่รองจ้าวกล่าว “ยังดีนะ ไม่มีลมแม้แต่นิดเดียวเลย”

“หนาวแบบแห้ง ๆ!” พี่สามจ้าวกระทืบเท้า น้ำมูกที่ไหลออกมาถูกแช่แข็งไปแล้ว

“ผมจะไปวาดวงกลม” จ้าวเหวินเทาหยิบกิ่งไม้บนพื้นมาหนึ่งแท่ง ก่อนจะวาดเป็นวงกลมรอบ ๆ หลุมฝังศพ

หลังจากพี่รองจ้าวรอให้วาดวงกลมเสร็จแล้ว เขาก็แบ่งกระดาษเงินกระดาษทองออกมาวางไว้ตรงทางเข้าหลุมฝังศพ คุกเข่าลงและจุดไฟ

พี่สามจ้าว พี่สี่จ้าวและจ้าวเหวินเทาก็หยิบกระดาษเงินกระดาษทองของตัวเองออกมานิดหน่อยเพื่อใส่ลงไปในกองไฟ

“บรรพบุรุษ วันนี้เป็นวันข้ามปีแล้ว พวกเราขอเชิญทุกท่านกลับบ้านไปรอต้อนรับปีใหม่ อีกสักครู่พวกท่านกลับไปกับพวกเรานะ” พี่รองจ้าวหยิบไม้มาดันกระดาษเงินกระดาษทองไปพลาง พูดพึมพำไปพลาง

……………………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตระกูลจ้าวเองก็มีเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันแฮะ ดีที่ไม่กระทบกับครอบครัวคุณพ่อจ้าวมาก

ต่างภูมิภาคก็ต่างธรรมเนียมกัน บ้านใครมีการอยู่ดึกรอข้ามปีกันบ้างคะ ตอนตรุษจีนบ้านผู้แปลแค่ทำกับข้าวเลี้ยงบรรพบุรุษในตอนกลางวัน แต่ไม่ได้อยู่ยันเที่ยงคืนเพื่อรอข้ามปีแบบนี้น่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)