ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 91 ประตูสำนักกับจิตใจมนุษย์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

จินอวี้ลวี่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับเศรษฐี แขนเสื้อทั้งสองข้างเหมือนกับชาวนาผู้ชำนาญ มองไม่ออกว่ามีตรงไหนที่ไม่ธรรมดา จนกระทั่งเขาเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา

ผู้คนที่ได้ฟังประโยคเหล่านี้ต่างรู้สึกไม่เหมือนกัน ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั้น ข้าไม่ได้ผิด เช่นนั้นเพราะเหตุใดข้าจะไม่แข็งขืน พละกำลังเพราะเหตุใดจะไม่มีเล่า

เมื่อเข้ามาเมืองจิงตู อยู่ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ อยู่ด้านนอกหอจงซื่อ เขาก็เคยเอ่ยประโยคทำนองนี้

เพราะว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของโลกภายนอก ที่จริงแล้วเขาเป็นกังวลมาตลอด ตนเองนั้นไม่เหมือนกับคนทั่วไปใช่หรือไม่ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ตนยืนหยัด จากผู้อื่นมองแล้วช่างแข็งกระด้างเกินไป ทุกข์ยากเกินไป เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก จนกระทั่งเขาได้ยินคำพูดนั้นของจินอวี้ลวี่ ถึงรู้ว่า เดิมทีบนโลกใบนี้ยังมีคนที่เหมือนตนอยู่มากมาย

นี่ทำให้เขารู้สึกยินดี

“หรือว่าผู้อาวุโสจะปกป้องสำนักฝึกหลวงได้ตลอดหรือ”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเดินออกมาจากด้านหลังของเฟ่ยเตี่ยน จ้องเขม็งดวงตาของจินอวี้ลวี่ด้วยความเยือกเย็นยิ่งนัก

จินอวี้ลวี่กล่าวด้วยความสงบ “เพราะเหตุใดจะไม่ได้”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยนกล่าวออกมา “ท่านอาวุโสเป็นเสนาธิการของแม่น้ำแดง หรือว่าไม่ปรารถนาดูแลชีวิตความเป็นอยู่ขององค์หญิง ไม่ต้องการใส่ใจความปลอดภัยขององค์หญิงหรือ”

จินอวี้ลวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “พวกเจ้าคนต้าโจวกล่าวว่าในพระราชวังหลีเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงให้องค์หญิงออกจากสวนร้อยหญ้า เข้าไปพำนักอยู่…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความปลอดภัยขององค์หญิงจักต้องเป็นความรับผิดชอบของพวกเจ้าคนต้าโจว แล้วข้าจะต้องกังวลสิ่งใดอีกหรือ”

ตระกูลเทียนไห่ต้องการจัดการสำนักฝึกหลวง ก่อนอื่นจะต้องใช้ข้ออ้างเพื่อเชิญองค์หญิงออกจากสำนักฝึกหลวง

ขณะนี้จินอวี้ลวี่กลับใช้เหตุผลนี้ เพื่อที่จะไม่ต้องอยู่พระราชวังหลี และยังอยู่สำนักฝึกหลวงได้เป็นเวลานาน

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยนหาเหตุผลอื่นไม่เจอ

ยิ่งเวลานี้ ตรอกไป่ฮวาท่ามกลางสายฝนมีรถมาเพิ่มมาอีกหลายคัน

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพาลูกน้องมาสำนักฝึกหลวง เลือกเวลายามรุ่งอรุณ เป็นเพราะว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก ในเมืองจิงตูยังมีบางคนที่คอยปกป้องสำนักฝึกหลวง เขาอยากจะถือโอกาสสายฝนยามรุ่งอรุณ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะโต้ตอบออกมา ใช้พละกำลังราวอสนีบาตทำให้สำนักฝึกหลวงราบเป็นหน้ากลอง

เขาคิดไม่ถึงว่านักเรียนสำนักฝึกหลวงทั้งสามจะต่อต้านได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจินอวี้ลวี่ปรากฏตัว ตามเวลาที่หมุนไป บรรดาผู้คนที่แอบสอดส่องอยู่ในตรอกไป่ฮวาเหล่านั้นนำสถานการณ์นี้แก้แค้นให้กับคนของตน เป็นธรรมดาที่คนเหล่านั้นจะรีบออกมา

รถม้าหลายคันโผล่มาจากสายฝน ชัดเจนว่ารีบเร่งอย่างยิ่ง

เมื่อเฉินหลิวอ๋องลงมาจากรถม้าที่อยู่ด้านหน้าสุด ถึงขนาดที่ว่ากระดุมของอาภรณ์ด้านหน้าติดผิดไปหนึ่งเม็ด ทำให้พอจะรู้ว่าเขารีบร้อนเพียงใด

บุรุษวัยกลางคนผอมเพรียวผู้หนึ่งกำลังถือร่ม ปกป้องเขาให้เดินมาถึงยังประตูสำนักฝึกหลวง

เฉินหลิวอ๋องมองสถานการณ์ในที่เกิดเหตุก็พอจะรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น จ้องมองเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “กลับไป”

กล่าวตามลำดับอายุ เฉินหลิวอ๋องกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอยู่ในรุ่นเดียวกัน อายุของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยังจะมากกว่าเขาเสียเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์ของแซ่เฉิน ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติต่อเขาใกล้ชิดสนิทสนมมากเสียกว่าบรรดาลูกหลานของตระกูลเทียนไห่ ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงที่เขาเอ่ยต่อเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจึงมิได้เกรงใจ

ท่าทางของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเยือกเย็นปรายตามองเขา พูดเยาะหยันไม่ออก กลับไม่มีคำพูดโต้แย้งออกมา

สำหรับคนผู้นี้ที่สามารถพำนักอยู่พระราชวังได้เป็นระยะเวลายาวนาน บรรดาคนหนุ่มของตระกูลเทียนไห่ล้วนแต่อิจฉาและเกลียดชัง หลายปีก่อนหาใช่ว่าไม่มีคนเคยทดลองลงมือกับเขา ทว่าเป็นเพราะความกริ้วโกรธของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะไม่เคารพเขา อย่างน้อยที่สุดก็ต่อหน้า

คนที่ลงจากรถม้าคันที่สองก็คืออาจารย์ซิน

เมื่อวานทั่วทั้งจิงตูต่างล่วงรู้ ใต้เท้าสังฆราชเรียกองค์หญิงลั่วลั่วไปร่ำเรียนที่สำนักจวนราชวังหลี สำนักฝึกหลวงยังคงสั่นไหวไปตามแรงลมฝน จิตใจของเขาก็โคลงเคลง ไร้วิธีจะสงบนิ่ง คิดใคร่ครวญด้วยความกระวนกระวายใจ เริ่มแรกเมื่อได้เห็นจดหมายแนะนำฉบับนั้น ตนจึงเอาใจใส่เฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงเพิ่มมากขึ้น หรือว่าจะผิดพลาดเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เช้าตรู่ของวันนี้ หลังจากรู้ว่าสำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องราวขึ้น อันดับแรกเขามิได้รีบเร่งไปยังที่เกิดเหตุ แต่ไปยังที่พักของใต้เท้ามุขนายก เพราะเขากังวลว่าตนเข้าใจความคิดของใต้เท้ามุขนายกผิดพลาดอีกครา

ใต้เท้ามุขนายกยิ้มมิได้เอ่ยสิ่งใด นี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด หรือว่าความคิดเห็นของใต้เท้ามุขนายกไม่เหมือนกับใต้เท้าสังฆราช หรือว่าใต้เท้ามุขนายกเตรียมที่จะนำเรื่องในปีนั้นพลิกกลับมาอีกครั้งจริงหรือ เตรียมที่จะยืนข้างใต้เท้าสังฆราชจริงหรือ นิกายหลวงจะแตกแยกจริงหรือ

อาจารย์ซินหวาดกลัวยิ่งนัก ทว่าเขาพบว่าตนไร้ทางที่จะถอยหลังกลับ เพราะว่าทั่วทั้งจิงตู ทั่วทั้งพระราชวังหลีต่างก็ทราบดี สำนักฝึกหลวงมีโอกาสได้รับการฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง ถูกรับเชิญเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ล้วนแต่เป็นการดำเนินการจากเขา ผู้ใดจะเชื่อว่าเขาเป็นเพียงแค่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นเล่า

ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับสำนักฝึกหลวง ด้วยเหตุนี้เขาจะต้องยืนอยู่ฝั่งเดียวกับสำนักฝึกหลวง

เป็นความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับให้ยืนในแถวด้วยความหวาดหวั่น เดิมทีมักจะทำให้คนที่อยู่ในแถวกลายเป็นกล้าหาญอย่างยิ่ง เพราะว่าเขาได้ทุ่มสุดตัว ด้วยเหตุนี้การแสดงของอาจารย์ซินจึงยิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเฉินหลิวอ๋อง มิได้พะว้าพะวังหน้าตาเกียรติยศของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยแม้แต่น้อย พลันก่นด่าออกไป!

ใบหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยิ่งนานยิ่งขาวซีด ยิ่งนานยิ่งโกรธเคือง

ทว่าเฉินหลิวอ๋องกับคนของสำนักการศึกษากลางล้วนแต่มาถึงแล้ว เขาเสียโอกาสในการเหยียบย่ำสำนักฝึกหลวงให้จมดิน

จินอวี้ลวี่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง

สิ่งสำคัญก็คือ การแสดงออกของนักเรียนสำนักฝึกหลวงทั้งสามคนทำให้ผู้คนเกินความคาดหมาย

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงทั้งสามคน ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นรับบังเหียนมาจากทหาร ตะโกน “ไป!”

“ไป?”

คำที่เหมือนกัน ทำนองไม่เหมือนกัน แสดงความหมายของคำทั้งสองไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง

ถังซานสือลิ่วกุมกระบี่ จ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา “เจ้าอยากจะเดินไปอย่างนี้หรือ”

การต่อสู้ตอนเช้าวันนี้ นักเรียนของสำนักฝึกหลวงทำให้องครักษ์ใกล้ชิดของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสี่คน จินอวี้ลวี่กำจัดคู่ต่อสู้จำนวนมากในคราเดียว ทำให้เฟ่ยเตี่ยนได้รับบาดเจ็บ ยิ่งเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยตนก็รับความตื่นตกใจไม่ได้ ทางด้านสำนักฝึกหลวงกลับไม่ได้รับความบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กลายเป็นว่าพวกเขาเหนือกว่า

ถังซานสือลิ่วยังคงไม่ยอมเลิกรา เฉินหลิวอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองไปยังนายน้อยของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย คิดไปถึงคืนก่อนที่วังเว่ยยางหนุ่มน้อยผู้นี้แสดงออกได้หยาบคายและไร้มารยาทอย่างยิ่ง รู้สึกไม่ชื่นชอบการกระทำที่บุ่มบ่ามมุทะลุ มิได้พิจารณาไตร่ตรองสถานการณ์ถี่ถ้วนของเขา

“ข้าต้องการคำอธิบาย”

ฝนฤดูหนาวค่อยๆ หยุด เฉินฉางเซิงเดินไปข้างหน้าสองก้าว ชี้ไปยังประตูที่เป็นซากหักพังอยู่ทางด้านหลัง กล่าวว่า

เพราะเหตุใดเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยต้องมาพังประตูสำนักฝึกหลวงด้วยเล่า จนกระทั่งปรารถนาจะทำลายสำนักฝึกหลวงเลยหรือ เพราะอยากจะแก้แค้นแทนเทียนไห่หยาเอ๋อร์หรือ ถึงแม้เวลาปกติเขากับเทียนไห่หยาเอ๋อร์จะไม่สนิทสนมกันมากนัก แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นคนของเทียนไห่ ผลสุดท้ายก็ถูกสำนักฝึกหลวงทำให้กลายเป็นคนพิการเสียแล้ว

แต่การต่อสู้ในการชุมนุมไม้เลื้อย เป็นการต่อสู้ที่มีผลชี้ขาดยุติธรรม พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ แล้วจะมีเหตุผลอะไรมาแก้แค้น ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะเป็นการแก้แค้น เขาก็ควรจะไปหาลั่วลั่วถึงจะถูก ใช้สำนักฝึกหลวงมาระบายบันดาลโทสะ นี่แท้จริงแล้วเป็นเหตุผลที่ไม่อาจหยิบยกขึ้นได้

ยังมีความตั้งใจที่ปกปิดไว้ส่วนลึก นั่นก็เป็นเรื่องยุ่งยากใจที่จะแก้ไขแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลนี้ยิ่งไม่สามารถประกาศให้ผู้คนล่วงรู้

ส่วนเหตุผลข้างหลังสุดนี้ ก็ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาเอ่ยได้

เฉินฉางเซิงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเอ่ยเหตุผล ด้วยเหตุนี้จะต้องการคำอธิบายจากฝ่ายตรงข้าม

ท่าทางของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไม่น่ามองเล็กน้อย

เฟ่ยเตี่ยนถอนหายใจ จ้องมองสายฝนยิ่งนานยิ่งเบาบาง ชี้ไปยังแอ่งน้ำที่อยู่ในตรอก กล่าวว่า “ฝนตกถนนลื่น รถพังทลายคนเสียชีวิต นี่จะอธิบายอย่างไรเล่า”

รถม้าที่พุ่งชนสำนักฝึกหลวง มีตู้รถที่ดีที่สุด มีม้าศึกที่ดีที่สุด ก่อนถึงด่านยงเสวี่ยหนทางเกาะตัวเป็นน้ำแข็งพันลี้ ไม่ต้องพูดถึงฝนตกที่ตรอกในเมืองจิงตู ครั้งต่อไปถึงแม้จะเป็นหิมะตกหนักปลิวว่อน ก็มิอาจลื่นล้มแล้วก่อเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ได้

การอธิบายเช่นนี้เป็นเรื่องไร้เหตุผลอย่างยิ่ง แต่เพราะว่าไร้เหตุผล ด้วยเหตุนี้เป็นการยอมแพ้

ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือถังซานสือลิ่ว ต่างก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก

“ข้าจะต้องกลับมาอีก”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพลิกตัวขึ้นบนหลังม้า จ้องมองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยออกมา

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ กล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าอยากจะมาแก้แค้นสำนักฝึกหลวง ข้าไม่ต้อนรับ”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยโมโหจนกลับเป็นยิ้มออกมา ไม่เอ่ยสิ่งใด เดินออกไป

เฟ่ยเตี่ยนจ้องมองจินอวี้ลวี่พยักหน้าเอ่ย “เจ้ามิใช่โจวตู๋ฟู เจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งใดมิได้”

มือทั้งสองข้างที่อยู่ในแขนเสื้อของจินอวี้ลวี่ ไม่ได้สนใจเขา ไม่ได้กล่าวตอบโต้ออกไป

สายฝนยามรุ่งอรุณในที่สุดก็หยุดลง ผู้คนรอบๆ ตรอกไป่ฮวาค่อยๆ แยกย้ายออกไป

จากยามเช้าตรู่จนถึงเวลานี้ เรื่องราวเกิดขึ้นด้านหน้าของประตูสำนักฝึกหลวงตกอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก

หากมองจากภายนอก นี่เป็นการปะทะกันอย่างดุเดือดรุนแรงครั้งแรกระหว่างเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับสำนักฝึกหลวง ในความเป็นจริง ผู้คนต่างล่วงรู้ นี่เป็นอำนาจใหม่กับอำนาจพระราชวงศ์เก่าของราชวงศ์ต้าโจว การต่อสู้ระหว่างใต้เท้าสังฆราชของนิกายหลวงและกลุ่มผู้อาวุโส เพียงแค่พลังที่อยู่ภายใต้ของสำนักฝึกหลวงชัดเจนว่าเล็กน้อยและอ่อนแอมากกว่า

คู่ต่อสู้เพียงแค่ส่งเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่เพิ่งกลับมาจากด่านยงเสวี่ย ทางด้านเฉินหลิวอ๋องกับใต้เท้ามุขนายกต้องมาถึงสนามประลอง จึงจะสามารถปกป้องสำนักฝึกหลวงได้ เจ้าสามารถพูดได้ว่าเฉินหลิวอ๋องและใต้เท้ามุขนายกให้ความสำคัญอย่างชัดเจน ทว่าในสถานการณ์เป็นจริง ทางด้านสำนักฝึกหลวง เดิมก็ไม่มีคนที่จะออกมืออย่างอื่นได้

เฉินหลิวอ๋องแสดงความเคารพนักเรียนทั้งสามของสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงทำความเคารพกลับ ทว่ามิได้แสดงความขอบคุณ เอ่ยว่า “อยู่ในตำหนัก องค์ชายเคยพูดไว้แล้ว นี่เป็นเรื่องระหว่างบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของพวกท่าน บุคคลเล็กๆ เช่นพวกข้าก็จะถูกพวกท่านทำให้เดือดร้อน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่แสดงความขอบคุณพวกท่าน”

“คำขอบคุณ แท้จริงแล้วไม่ต้อง” เฉินหลิวอ๋องจ้องมองเขายิ้มพลางเอ่ยออกมา “เพียงแค่…หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อย ทั่วทั้งต้าลู่ต่างล่วงรู้ว่าเจ้าเป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง เจ้าไม่ได้เป็นคนหนุ่มที่ธรรมดาอีกต่อไป เจ้ามิได้ถูกพวกข้าทำให้เดือดร้อน ด้วยเหตุนี้ข้าก็จะไม่แสดงความขออภัยใดๆ ทั้งสิ้น”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ถึงจะคิดออกว่าการเปิดเผยการสมรสมีผลกระทบต่อตนเอง

มีผู้คนจำนวนมากไม่อยากให้ตนกับสวีโหย่วหรงสมรสกัน ตระกูลเทียนไห่ก็ไม่คิดเป็นแน่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเวลารุ่งอรุณวันนี้ หรือว่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้

“มีเรื่องอันใด ก็บอกกับข้า”

เฉินหลิวอ๋องกล่าวจบประโยค มิได้ปรารถนาจะทักทายอย่างเป็นมิตร กลับออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

บุรุษผอมเพรียวผู้นั้นชำเลืองมองเฉินฉางเซิง ถือร่มกันฝนเดินตามไป

อาจารย์ซินมาสนทนาไม่กี่ประโยค ด่าทอตระกูลเทียนไห่ที่บ้าระห่ำกับถังซานสือลิ่วอย่างเจ็บแสบ หลังจากนั้นจึงจากไป

จนกระทั่งเวลานี้ เซวียนหยวนผ้อในที่สุดจึงวางไม้กระดานที่อยู่ในอ้อมกอดลง

แผ่นไม้ประตูสำนักที่หนักอึ้งถูกเขาแบกเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าร่างกายเผ่าปีศาจจะมีความพิเศษ เขาก็คิดว่าก่อเกิดความลำบากอย่างยิ่ง

“อีกสักครู่ข้าจะฝังศพม้าตัวนั้น แล้วเมื่อไหร่ได้จะซ่อมแซมประตูเล่า” เขาเอ่ยถาม

เฉินฉางเซิงจ้องมองประตูที่หักพัง ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่ซ่อม”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ถ้าหากต้องการให้ตระกูลเทียนไห่ซ่อมแซมประตู ก่อนหน้านี้ก็ควรบังคับให้พวกเขายอมจำนนเสีย”

“ถ้าหากพวกเขายอมจำนวนแล้วซ่อมแซมขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ประตูสำนักพังทลายเช่นนี้ดีอย่างยิ่ง”

เซวียนหยวนผ้อเกาหัวยิกๆ มองเศษหินเศษไม้เต็มพื้น ในใจครุ่นคิดว่าดีตรงไหนเล่า

“มีความก้าวหน้า”

จินอวี้ลวี่ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยออกมา “รู้ว่าจะมุ่งแสวงหาผลประโยชน์มากที่สุดอย่างไร”

ประตูของสำนักฝึกหลวงก็ให้พังทลายเช่นนี้ วันเวลาที่ผ่านไปทุกวัน ผู้คนที่อยู่ในเมืองจิงตูก็จะยิ่งรู้สึกถึงความชั่วช้ากำแหงพองตัวของตระกูลเทียนไห่

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่ชื่นชอบความก้าวหน้าชนิดนี้”

“ข้าก็ไม่ชื่นชอบเช่นกัน”

จินอวี้ลวี่ตบไหล่ของเขา เอ่ยปลอบประโลม “ทว่ามีวิธีอะไรอีกเล่า คนชั่วช้าบนโลกใบนี้มีเยอะแยะ นอกเสียจากเจ้าอยากเหมือนกับข้า ไปปลูกนาหลบซ่อนตัวอยู่บนเทือกเขา ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง สรุปแล้วก็จะต้องยอมรับ”