ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 92 เวรยาม บทสนทนา คนที่อยู่บนเตียง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงขอบคุณจินอวี้ลวี่ ถ้าหากไม่มีเขา ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อจะองอาจกล้าหาญเพียงใดก็ไม่สามารถปกป้องสำนักฝึกหลวงได้ก่อนที่เฉินหลิวอ๋องและอาจารย์ซินเร่งรีบมาถึง จินอวี้ลวี่จ้องมองเขาพลางยิ้มออกมา “เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์หญิง ก็เป็นคนของข้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงรู้สึกเกรงใจ ฝ่ายตรงข้ามเป็นบุคคลที่อยู่ในตำนานจริงๆ เสนาธิการจินปรากฎตัวที่สำนักฝึกหลวง ออกหน้าแทนหนุ่มน้อยทั้งสาม ธรรมดาว่าเป็นความประสงค์ของลั่วลั่ว แม้กายลั่วลั่วจากสำนักฝึกหลวง ทว่าจิตใจยังคงอยู่ ทำให้เขายินดีอย่างยิ่ง

“ท่านจะอยู่สำนักฝึกหลวงหรือไม่”

เซวียนหยวนผ้อจ้องมองจินอวี้ลวี่ กล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเคารพ เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วกำลังครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ถึงแม้จินอวี้ลวี่จะเอ่ยทำนองนี้กับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ทว่าเขาจะต้องดูแลลั่วลั่ว จะอยู่ที่นี่ไปตลอดได้อย่างไร จึงให้สัญญาณเซวียนหยวนผ้อไม่ต้องเอ่ยให้มาก

“อยู่ที่นี่เลยก็คงจะไม่ได้” จินอวี้ลวี่จ้องมองดวงตาของคนหนุ่มทั้งสาม หัวเราะฮ่าๆ ออกมา พลางกล่าวว่า “ในชีวิตของข้าก็มิเคยกระทำสิ่งใดผิด ไม่มีสิ่งที่ชื่นชอบมากนัก เพียงแต่ข้าชื่นชอบเงินตราอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเสื้อผ้าที่พิมพ์ลายของเหรียญกษาปณ์ทองแดงจึงยิ้มออกมา รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเตรียมที่จะอยู่แล้ว จึงประสานมือแสดงความขอบคุณ

ถังซานสือลิ่วเขยิบเข้าไปใกล้ข้างๆ จินอวี้ลวี่ จับมือหยาบกระด้างของเขา เขย่าไม่หยุด เอ่ยว่า “ท่านคงจะทราบครอบครัวของข้าดี ครอบครัวของข้าไม่ได้มีสิ่งใด แต่มีเงิน ทุกๆ สิ่งล้วนแต่ขาด ทว่ามิได้ขาดเงิน”

ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นเศรษฐีที่มีชื่อเสียง สั่งสมมานานหลายพันศตวรรษ ไม่รู้ว่ามีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด การก่อกบฏสิบกว่าปีก่อนครานั้น ราชวงศ์เก่าเวลานั้นได้เสาะแสวงพบตระกูลถัง คาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา ถึงแม้สุดท้ายจะไม่สำเร็จ ทว่าพอจะรู้ถึงระดับความมั่งมีของตระกูลถัง

“หากไม่นับองค์หญิง ตอนนี้สำนักฝึกหลวงมีพวกเราเป็นนักเรียนสามคน แต่ยังคงขาดอาจารย์”

เฉินฉางเซิงจ้องมองจินอวี้ลวี่คารวะ พลางเอ่ยว่า “เชิญอาจารย์อยู่ชี้แนะพวกเรา”

ระดับวรยุทธ์ของจินอวี้ลวี่เหนือกว่าเสี่ยวซงกงผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซาน คิดแล้วก็เทียบเท่ากับเหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้า ยิ่งบวกกับคุณสมบัติและประสบการณ์ทางด้านการบำเพ็ญเพียร เป็นอาจารย์ของสำนักฝึกหลวง นั่นเหลือเฟือเสียด้วยซ้ำ

ทว่าเขามิได้เห็นด้วยกับการร้องขอของเฉินฉางเซิง ยิ้มส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “มีเหตุผลอะไรที่นักเรียนจะต้องเชิญอาจารย์หรือ”

เฉินฉางเซิงรู้สึกจนปัญญา เอ่ยว่า “ตอนนี้ในสำนักฝึกหลวงมีเพียงนักเรียน และยังไม่มีเจ้าสำนัก”

จินอวี้ลวี่จ้องมองเขาเอ่ยด้วยความลึกซึ้งมากทีเดียว “ในเมื่อใต้เท้ามุขนายกได้มอบสมุดรายชื่อและกุญแจทั้งหมดให้แก่เจ้าแล้ว จะต้องมีความหมายของเขาเป็นแน่”

เฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วไม่รู้ว่าใต้เท้ามุขนายกกำลังคิดสิ่งใดอยู่ คิดเพียงแค่ว่าจินอวี้ลวี่ควรจะใช้ฐานะใดในการอยู่สำนักฝึกหลวง จึงขมวดคิ้วครุ่นคิด

“ตามความคิดเห็นของเจ้า ข้ามองแล้วประตูสำนักคงจะไม่ได้ซ่อมแซมภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ คงจะทิ้งไว้เช่นนี้อีกนาน”

จินอวี้ลวี่จ้องมองประตูที่พังทลาย กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นสำนัก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการท่องตำรา เกรงว่ามีเพียงแค่พวกเจ้าเป็นนักเรียนสามคน เวลาปกติก็ไม่ควรจะถูกรบกวนการร่ำเรียน รูปร่างของประตูสำนักเป็นเพียงแค่สิ่งสมมุติ อุปโลกน์ พวกเจ้าคงจะต้องการห้องยามสักห้องใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา รู้สึกตกตะลึง จะเป็นเรื่องสมควรได้อย่างไร

“ข้าอยู่เนินทางทิศตะวันออกของเมืองไป๋ตี้ทำนามาเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำเพียงแค่ห้องยามจะกลัวสิ่งใดเล่า”

จินอวี้ลวี่ยิ้มเอ่ยออกมา มิให้โอกาสแก่คนทั้งสามได้ปฏิเสธ เมื่อเอ่ยจึงเดินไปเตรียมอุปกรณ์ เพื่อซ่อมแซมห้องยามข้างประตูใหญ่ของสำนัก หลังจากนั้นจึงเดินจากไป

เซวียนหยวนผ้อยินดียิ่งนัก เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วจ้องมองกันและกันไร้คำพูด ในใจครุ่นคิดจะให้บุคคลที่เป็นตำนานดังเช่นจินอวี้ลวี่เป็นเวรยามหรือ นี่เป็นมาตรฐานของสำนักฝึกหลวงที่ค่อนข้างสูงไปเสียหน่อย ตั้งแต่วันนี้จนถึงภายภาคหน้าจะมีผู้ใดกล้ามาก่อกวนสำนักฝึกหลวงรึ

สายฝนฤดูใบไม้ร่วงได้หยุดลง ม่านหมอกยามอรุณค่อยๆ โรยตัวลง เซวียนหยวนผ้อขุดหลุมฝังศพม้าทางด้านทิศตะวันออกของกำแพงสำนัก มิได้ต้องการความช่วยเหลือจากเฉินฉางเซิง เขาคิดใคร่ครวญสักพัก กลับรู้สึกว่าการนอนหลับที่จริงยังไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจกลับไปงีบหลับที่อาคารหลังเล็กๆ ทว่ากลับถูกถังซานสือลิ่วลากไปถึงด้านหน้าของหอตำรา

“เมื่อกี้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับคนติดตามของเขาได้บุกโจมตี ที่จริงแล้วข้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง” ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ทุกคนล้วนแต่กลัวการเสียชีวิต นี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เจ้าไม่ต้องดูถูกตัวเองเพียงเพราะเหตุผลนี้”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองท่าทางเขากล่าวอย่างหนักแน่นจริงจัง “ใช่แล้ว ทุกคนต่างก็เกรงกลัวการเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้น จึงล้วนแต่หวาดกลัว…แต่เมื่อข้าเหลือบไปมองเจ้า สุดท้ายแล้วข้ามองไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ บนใบหน้าเจ้า นี่ทำให้ข้าตกตะลึงยิ่งนัก”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ เอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเชื่องช้า บางทีความรู้สึกหวาดกลัวอาจจะไม่ทันได้แสดงออกมา”

“ไม่” ถังซานสือลิ่วส่ายหน้า กล่าวยืนยันต่อ “ข้ามองออก ตอนนั้นเจ้าไม่กลัวจริงๆ”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวถาม “ที่จริงแล้วเจ้าอยากจะเอ่ยสิ่งใด”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นคาดไม่ถึงว่าไร้ความหวาดกลัว มีเพียงความเป็นไปได้เพียงสองประการ หรือเจ้าอาจจะคาดเดาได้ว่าลั่วลั่วให้จินอวี้ลวี่มาสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่เกรงกลัว ทว่าชัดเจนยิ่งนัก เจ้าก็ไม่รู้ว่าจินอวี้ลวี่จะลงมือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งประการคือสิ่งใด”

ถึงซานสือลิ่วกล่าว “เดิมทีเจ้าไม่กลัวเสียชีวิต…ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกรงกลัวเป็นแน่”

เฉินฉางเซิงเกาหัวยิกๆ “ข้าเพิ่งจะพูดไปแล้ว ทุกคนล้วนแต่กลัวการเสียชีวิต”

ถังซานสือลิ่วเป็นกังวลอย่างยิ่ง เอ่ยถาม “ข้าก็คิดเช่นนี้มาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าเจ้าจะต้องมีความลับอะไรเป็นแน่ หรือว่าช่วงระยะใกล้ๆ นี้เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น”

เฉินฉางเซิงถอนหายใจ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนเป็นคนที่ปรารถนาจะเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วไม่เหมือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้สมรสกับสวีโหย่วหรง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่คิดอยากจะเสียชีวิต”

เฉินฉางเซิง กล่าว “ด้วยเหตุนี้เจ้ากำลังกังวลสิ่งใดอีกเล่า”

ถังซานสือลิ่วจ้องเขม็งดวงตาเขา เอ่ยถาม “เจ้าคงมิได้ป่วยหรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะฉลาดหลักแหลมจนถึงระดับนี้ อาศัยเพียงแค่รายละเอียดปลีกย่อยก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้มากมาย แน่นอนว่านี่เป็นสาเหตุที่เจ้าเด็กผู้นี้ใส่ใจตน เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ใบหน้ากลับเยือกเย็น กล่าวว่า “ข้ามีอาการป่วย”

เห็นใบหน้าของเขาไม่น่ามอง ถังซานสือลิ่วจึงคิดได้ว่าประโยคนี้ของตนที่จริงแล้วไม่เหมาะสม ตนคิดเรื่องราวไร้สาระเสียเหลือเกิน ต่อมาเขาจึงคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง จ้องมองเขาพลางถามอย่างตั้งใจ “เมื่อแรกเริ่ม เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”

หลังจากเฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ข้ารู้”

ถังซานสือลิ่วครุ่นคิดในใจนี่ถึงจะถูกต้อง เกรงว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากมาถึงจิงตูก็ท่องตำราฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักฝึกหลวงทั้งวัน ทว่าในเมื่อคาดเดาได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนของตระกูลเทียนไห่ เห็นอายุและลักษณะก็สามารถเดาได้ว่าเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

“เพราะเหตุใด”

คำถามนี้หมายถึงเพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงจะต้องแสร้งไม่รู้ เมื่ออยู่ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง อยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากจึงกล่าวไปถึงน้องสาวปู่ของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

“เพราะข้าอยากรู้ว่าผู้อาวุโสของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่จริงแล้วมีความคิดเห็นสิ่งใดต่อสำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ถ้าหากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้สำนักฝึกหลวงอยู่ในจิงตู ขัดหูขัดตา เพียงแค่ประโยคเดียว สำนักฝึกหลวงก็จะถูกกำจัดทิ้ง แล้วจะให้ยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้ทำไมเล่า”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “พวกเขาก็คงกำลังคาดเดาจิตใจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”

“พวกเขาคาดเดาได้ ทว่าข้าไม่อยากคาดเดา” เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ข้ามาจิงตูเพื่อศึกษาตำราฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ข้าต้องการเข้าร่วมการสอบใหญ่ เวลาเป็นสิ่งมีค่ายิ่งนัก สำนักฝึกหลวงมีความยุ่งยากเข้ามาเป็นระลอกๆ เช่นนี้ ช่างรบกวนเสียเหลือเกิน”

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางถามออกไป “ดังนั้น”

“ข้าก่นด่านางโดยตรง ประโยคนี้จะต้องถ่ายทอดไปยังพระราชวัง คงจะไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางระหว่างทาง”

เฉินฉางเซิงหลังจากหยุดนิ่งชั่วครู่ พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สุดท้ายแล้วมีความคิดเห็นเช่นไรต่อสำนักฝึกหลวง พวกเราก็คงจะได้ล่วงรู้ในเร็วๆ นี้”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกเย็นยะเยือก กล่าวว่า “เจ้าอยากจะเห็นมีดเล่มนั้นร่วงหรือไม่ร่วงลงมากัน นี่ช่างเป็นการไม่อดรนทนต่อการเสียชีวิตจริงๆ ”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “โดยสรุปแล้วความรู้สึกก็ดีกว่ามีดเล่มนั้นแขวนอยู่บนศีรษะตลอดเวลาเล็กน้อย”

“มองแล้วเมื่อแรกเริ่มที่ข้ากล่าวไว้ก็คงจะไม่ผิด เจ้าเป็นเด็กเยาว์วัยที่ไม่เกรงกลัวการเสียชีวิตจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขากล่าวด้วยความหวั่นไหว “ที่จริงแล้วเจ้าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่”

“ข้ามิได้ป่วย”

เฉินฉางเซิงยิ้มเอ่ยต่อ “ข้ารักษาโรคเป็น”

มีประโยคที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ก้นบึ้งหัวใจของเขา โรคที่ไม่สามารถรักษาได้ไม่ใช่โรค แต่คือโชคชะตา

“เหลวไหล เหลวไหลเสียจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวเสียงเบาๆ “ใกล้จะแซงล้ำหน้าองค์ชายผู้นั้นแล้ว”

เฉินฉางเซิงมิได้คาดคิดว่าอยู่ๆ เขาจะกล่าวถึงเฉินหลิวอ๋อง ตะลึงงันเอ่ยว่า “เฉินหลิวอ๋องทำให้เจ้าไม่พอใจตรงไหนหรือ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมา “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ ก่อนที่จะลงจากรถม้า มีกระดุมเม็ดหนึ่งของเขาติดผิดไปหนึ่งเม็ด”

“แล้วอย่างไร”

“ถ้าหากมิใช่เช่นนี้ จะแสดงท่าทีเร่งรีบเป็นห่วงต่อสำนักฝึกหลวงไปเพื่ออะไร”

“…เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงเลื่อมใสเจ้าเด็กช่างสังเกตผู้นี้ ทว่ากลับมิได้เห็นด้วยกับความคิดของเขา

“สรุปแล้ว ข้าไม่ชื่นชอบเฉินหลิวอ๋องผู้นี้ จอมปลอมเหลือเกิน”

“หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่เขาก็ไม่ค่อยชื่นชอบเจ้าอย่างนั้นหรือ”

“ข้าเป็นคนจริงเช่นนี้ เขาไม่ชื่นชอบข้า นั่นเป็นเรื่องเหลวไหล”

“เจ้าสามารถนำคำว่าคนจริงเปลี่ยนเป็นกำเริบก็ได้”

“ข้ามิได้สนใจ เขาต่างหากที่เป็นคนจอมปลอม”

“ถ้าหากมิใช่เจ้าที่เป็นเด็กชอบสอดส่องผู้อื่น จะมีผู้ใดสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยที่เฉินหลิวอ๋องติดกระดุมผิดเล่า”

“ในตระกูลข้ามีคำสอนของบรรพบุรุษทำนองนี้ประโยคหนึ่ง ใช้เหรียญกษาปณ์ทองแดงมองผ่านผู้คน เป็นการมองที่แม่นยำที่สุด”

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้ คิดใคร่ครวญ ในเมื่อเฉินหลิวอ๋องจงใจติดกระดุมผิด เป็นเชื้อพระวงศ์เพียงลำพังที่อยู่ในจิงตู โดดเดี่ยวน้อยนักจะมีคนช่วยเหลือ ปรารถนาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของนิกายหลวงผ่านทางสำนักฝึกหลวง มีจิตใจมุ่งทำก็สามารถเข้าใจได้

หลังจากเซวียนหยวนผ้อนำม้าไปฝังยังกำแพงด้านทิศตะวันตก กลับมาได้ยินประโยคสนทนาที่ทั้งสองคุยกัน จึงพยักหน้าติดต่อกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความซื่อตรง กล่าวว่า “พวกเจ้าอายุเยาว์วัยกลับคิดเรื่องราวได้ซับซ้อนยิ่ง เผ่ามนุษย์โดยแท้จริงแล้วเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน มิอาจอยู่ร่วมกับพวกเจ้า”

กลับไปถึงห้องนอนในอาคารหลังเล็กๆ เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งเล็กน้อย ง่วงงุนอย่างยิ่ง

อารมณ์ของเขาก็หนักอึ้งเล็กน้อย เหตุเพราะชัดเจนว่าชีวิตการท่องตำราฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างสงบ ก็คงมิอาจหวนกลับมาเป็นแน่ เพียงเกรงว่าหลังจากประโยคของตนตอนรุ่งอรุณวันนี้ที่กล่าวว่าเยี่ยมน้องสาวปู่เจ้าสิเมื่อไปถึงพระราชวัง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะแสดงอากัปกิริยาอย่างไร ทว่าจะมองอย่างไรก็หาใช่เรื่องดี

ในสวนรกร้างในพระราชวัง ม่ออวี่กล่าวว่าเขาอาศัยอำนาจผู้อื่น กล่าวว่าเขาเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ในความเป็นจริงล้วนแต่เป็นลั่วลั่วที่สอนเขา…ถึงอย่างไรเสียก็เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของจักรพรรดิขาว ถึงแม้จะไม่มีพี่น้อง ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ แต่ว่ามีฐานะเป็นเชื้อพระราชวงศ์ ความสามารถโดยกำเนิดของลั่วลั่วก็เป็นดังเรื่องเช่นนี้

ส่วนตัวเขาเอง เขาชำนาญในการคิดคำนวณ ทว่าไม่ชำนาญการวางแผน

ก็เหมือนที่เขากล่าวกับจินอวี้ลวี่ เขาไม่ชื่นชอบอย่างยิ่ง เช่นนี้ทำให้เขาเหนื่อยยิ่งนัก

เขาเดินไปข้างเตียง เตรียมที่จะพักผ่อนชั่วครู่ อยู่ๆ ก็หยุดเท้าเดิน

เขาเดินกลับไปยังตู้ที่อยู่ข้างหน้าต่าง ยื่นมือไปหยิบกระบี่สั้น หลังจากนั้นกลับมายังข้างเตียงอีกครา

ไม่ได้หยุดนิ่ง เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

ส่วนคนผู้นั้นมิได้มีกิริยาโต้ตอบใดๆ

เฉินฉางเซิงจ้องมองบนเตียง นิ้วมือที่กุมด้ามกระบี่ขาวซีดเล็กน้อย

มีคนหนึ่งซ่อนอยู่ข้างใต้ผ้าห่ม