ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 93 สายฝนฤดูใบไม้ผลิที่แปลกประหลาด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เวลาต่อมา ความตื่นเต้นของเขาบรรเทาลงเล็กน้อย เพราะเขาเห็นเส้นผมสีดำที่แผ่สยายราวน้ำตกก็มิปาน ไม่ใช่เพราะว่านั่นคือหญิงสาว แต่หากเป็นมือสังหาร ก็คงจะไม่เคลื่อนไหวออกมาง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งจะไม่นอนหลับอยู่บนเตียงของผู้อื่น

มีน้ำฝนปรอยๆ ร่วงหล่นบนหน้าต่าง ทำให้ก่อเกิดเสียงซ่าๆ คนผู้นั้นจึงพลิกตัว แต่ไม่ได้ตื่นขึ้นมา มองเห็นหูที่ถูกผ้าแพรลื่นจากซูโจวมันปกคลุมอยู่รางๆ รูปร่างหน้าตางดงามเพริศพริ้งเหมือนยามปกติ ทว่าไม่รู้ว่าเพราะสายตาที่ปิดสนิทยามหลับใหลหรือไม่ที่ทำให้ไม่มีความรู้สึกเหยียดยามและเฉยชา

เมื่อมองเห็นใบหน้าที่สวยวิจิตร เฉินฉางเซิงตะลึงงัน เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าคนผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นม่ออวี่ เป็นคนต้าโจวที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความไว้วางใจที่สุด นางควรที่จะทำงานยุ่งอย่างมาก แล้วขณะนี้จะมาปรากฏตัวอยู่ที่อาคารหลังเล็กๆ ของสำนักฝึกหลวงได้อย่างไร ทั้งยังหลับสนิทอยู่บนเตียงของตนอีก

ม่ออวี่กำลังนอนหลับจริงๆ เพราะว่าสาเหตุบางอย่าง นางนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง หรืออาจจะกำลังนอนหลับฝันไม่ต้องการครุ่นคิดวางแผนเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายใดๆ ชัดเจนยิ่งนักว่าผ่อนคลาย มีเสียงกรนเบาๆ ลิ้นที่เปียกชื้นออกมาเลียริมฝีปากบ่อยครั้ง ไม่ใช่ตั้งใจยั่วยวนผู้ใด เพียงแค่เหมือนเด็กเท่านั้นเอง

หัวคิ้วของเฉินฉางเซิงขมวดเข้าหากัน เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จ้องมองร่องรอยเครื่องประทินโฉมที่ยังลบไปไม่หมดที่ระหว่างคิ้วของม่ออวี่ ทั้งยังตกตะลึงที่จิตใจอำมหิตของหญิงสาวท้ายที่สุดยังมีด้านที่ไร้เดียงสาและเหนื่อยล้า

กระบี่สั้นกลับลงไปยังฝัก ถ้าหากม่ออวี่มาเพื่อสังหารเขา ถึงแม้ว่าเขาจะถือหอกน้ำค้างเทพก็คงจะไม่มีความหมายใดๆ เขายื่นมือไประหว่างผ้าห่มแล้วผลักม่ออวี่เบาๆ ถึงแม้ว่าผ้าห่มที่กั้นไม่ได้บาง แต่ปลายนิ้วมือสัมผัสเข้าอย่างชัดเจน อ่อนนุ่มยิ่งนัก

นิ้วมือของเขาราวกับว่าเพิ่งร่วงบนผ้าห่ม ม่ออวี่พลันเบิกตาขึ้น

รุ่งอรุณนี้คิดว่านางไม่มีเวลานอนหลับยาวนาน ทว่านอนหลับสนิทอย่างยิ่ง นอนหลับสนิทยิ่งกว่าอยู่ในพระราชวังหรือว่าในสวนส้มจี๊ด นี่ทำให้นางรู้สึกว่านอนหลับเพียงพอ ดวงตากำลังหรี่ลงเหมือนกับใบหลิวที่อยู่ข้างทะเลสาบ ด้านในเต็มไปด้วยความรู้สึกเบิกบาน

หลังจากนางมองเห็นเฉินฉางเซิง จึงคิดออกว่าตนอยู่ที่ไหน เตรียมที่จะมาทำสิ่งใด เพราะเหตุใดถึงนอนหลับ นัยน์ตาเยือกเย็น รอยยิ้มเหมือนกับภาพเงาของใบหลิวในทะเลสาบที่ถูกเด็กซนโยนก้อนหินใส่ หาร่องรอยไม่เจออีกต่อไป

ท่าทางของนางแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างยิ่ง รูปร่างหน้าตาสวยหยาดเยิ้มได้หายไป มีเพียงแค่ความเฉยเมยไร้สิ่งใดเปรียบ

นางกะพริบตาปริบๆ ได้ตื่นขึ้นมาทั้งหมดแล้ว สงบนิ่งราวกับเวลาปกติ ไม่ได้ยิ้มแย้ม มิได้เยือกเย็น มิได้งดงาม มีเพียงแค่ความสงบนิ่ง

เพียงระยะเวลาสั้นๆ จากเด็กไร้เดียงสาแปรเปลี่ยนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เฉยเมย หลังจากนั้นกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ราบรื่นไร้สิ่งขัดขวางยิ่ง

เมื่อเห็นภาพภาพนี้ เฉินฉางเซิงรู้สึกหดหู่ใจ ในใจครุ่นคิดในชีวิตสวมใส่การแต่งแต้มใบหน้าหลากหลาย ท้ายที่สุดแล้วยังสามารถจดจำตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้หรือไม่

“เวลากี่ยามแล้ว” ม่ออวี่กล่าวถาม

เฉินฉางเซิงเอ่ยบอกนาง

ม่ออวี่จ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง จ้องมองสายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้ใบไม้สีเหลืองเปียกชื้น ฟังเสียงฝนที่ดังเปาะแปะ พลางเอ่ยว่า “สายฝนฤดูใบไม้ร่วงมาเคาะหน้าต่าง แท้จริงแล้วทำให้นอนหลับสนิท”

กล่าวประโยคนี้จบ นางยืดตัวลุกขึ้นเดินไปนั่งด้านหน้ากระจกทองแดงข้างหน้าต่าง หยิบหวีไม้ออกมาจากแขนเสื้อจัดความเรียบร้อยของผม การกระทำเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ไม่มีการกระทำที่เก้อเขินหรือตื่นเต้นใดๆ ราวกับว่าที่นี่มิใช่สำนักฝึกหลวง แต่คือห้องตำหนักที่ตนพักในสวนส้มจี๊ด

สายตาของเฉินฉางเซิงเคลื่อนย้ายไปตามกระโปรงของราชสำนักมีสายรัดเอวที่งดงามวิจิตร หลังจากนั้นจดจ้องไปยังใบหน้าที่อยู่บนกระจกทองแดงของนาง จ้องมองรูปหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมและไร้หนทางที่จะฉาบความเหนื่อยล้าได้ พลางเอ่ยว่า “ราวกับว่าเจ้าเหนื่อยอย่างยิ่ง”

มีเพียงแค่คนที่มีร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้าจริงๆ ถึงจะนอนหลับสนิทผ่อนคลายดังเช่นนางก่อนหน้านี้ เขามั่นใจอย่างยิ่ง

มือที่กุมหวีของม่ออวี่ชะงักเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงหวีเส้นผมที่นุ่มลื่นต่อไป พลางเอ่ยเยาะหยันเล็กน้อย “เด็กเยาว์วัยจะเข้าใจอะไร”

สำหรับนางแล้ว เฉินฉางเซิงก็เป็นเพียงแค่เด็กเยาว์วัย

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ถึงแม้เป็นเพียงแค่เด็กเยาว์วัยก็คงจะไม่วิ่งไปนอนหลับบ้านเรือนผู้อื่น”

มือที่จับหวีของม่ออวี่ชะงักอีกครั้ง

“ได้ยินว่าวันนี้สำนักฝึกหลวงครึกครื้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาดูเสียหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะน่าเบื่อเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับเสียได้”

นางเอ่ยสงบนิ่ง ในความเป็นจริงยากที่จะหลีกเลี่ยงความเก้อเขินเล็กน้อย เพียงแค่มิอาจให้เฉินฉางเซิงล่วงรู้ว่าตนเก้อเขิน เช่นนั้นจะทำให้เก้อเขินยิ่งขึ้น ก็เหมือนกับหลังจากนางตื่นขึ้นมา แรกเริ่มจึงเอ่ยนำถึงสาเหตุของการนอนหลับสนิทเช่นนี้ ยกไปอยู่ที่สายฝนฤดูใบไม้ร่างที่ตกดังซ่าๆ

ในความเป็นจริงนางเองก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดถึงนอนหลับ ทั้งยังเป็นบนเตียงของเฉินฉางเซิงด้วย นางเพียงคิดได้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นเด็กเยาว์วัย อีกทั้งเรื่องราวในราชสำนักก็มิได้วุ่นวายยุ่งเหยิงอะไร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางผ่อนคลายได้ง่ายดาย โดยเฉพาะกลิ่นของผ้าห่ม…หอมอย่างยิ่ง

นั่นคล้ายกลิ่นของแสงแดด ทว่าไม่ได้รุนแรง และยังเหมือนกลิ่นของสายฝนฤดูใบไม้ร่วง ทว่าไม่ได้ชื้น เหมือนกับกลิ่นของผลไม้ ทว่าไม่ฉุน โดยสรุปแล้ว หอมอย่างยิ่ง

ม่ออวี่ตื่นจากภวังค์ พบว่าตนเองคิดมากเกินไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่เข้าใจ จ้องมองใบหน้าของตนที่อยู่ในกระจกทองแดง และรู้สึกไม่ยินดี เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าห้องของหนุ่มน้อยเช่นเจ้าจะมีกระจกทองแดงบานเบ้อเร่อวางอยู่ ปกติเจ้าไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอาง ไม่เหมือนกับคนที่สนใจรูปร่างภายนอก”

“กระจกทองแดงสามารถจัดระเบียบอาภรณ์ และก็สามารถจัดระเบียบจิตใจ” เฉินฉางเซิงกล่าวอธิบาย

“มีเหตุผล” ม่ออวี่หยุดชะงัก หลังจากนั้นหวีผมต่อ

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ผมสีดำขลับก็นุ่มนวลเหมือนตอนแรก นางยื่นนิ้วชี้ออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชัดเจนว่ามีความห่างระยะหนึ่ง ทว่าปลายนิ้วกลับมีหยดน้ำเกาะรวมกันอยู่

ภาพฉากนี้งดงามอย่างยิ่ง ถ้าหากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เข้าใจการฝึกบำเพ็ญเพียรมองเห็นก็คงจะรู้สึกว่ามหัศจรรย์ไร้สิ่งใดเปรียบ

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวที่ควบคุมสภาพรอบๆ ได้อย่างชำนาญ เพียงแค่ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดนางจะต้องทำเช่นนี้

ม่ออวี่ใช้ปลายนิ้วมือกดที่ระหว่างคิ้วตนเอง ถูไปมาเชื่องช้า สิ่งที่แต่งแต้มไว้กลายเป็นแป้ง ราวกับกลีบดอกของต้นไม้ถูกตีแล้วร่วงหล่นมานับไม่ถ้วน

เฉินฉางเซิงถึงจะเข้าใจ นางขับพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งและควบคุมได้ลึกซึ้งสมบูรณ์เช่นนี้ออกมา ที่จริงเพียงแค่เพราะว่าล้างใบหน้าที่ถูกแต่งแต้ม…เขาคิดว่าสตรียากที่จะเข้าใจอย่างยิ่ง สำหรับเรื่องนี้เขามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าคิดใคร่ครวญ จึงนิ่งเงียบไม่เอ่ยออกมาเสีย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างไร” ม่ออวี่กำลังล้างเครื่องประทินโฉมที่หลงเหลือเมื่อคืนออก เอ่ยถาม

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวกับถังซานสือลิ่ว อยากจะรู้อากัปกิริยาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ ความคิดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏออกมาแล้ว ทว่าเขาอยู่ๆ กลับไม่อยากรู้แล้ว

“จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า เด็กเยาว์วัยก็ชื่นชอบทำเรื่องวุ่นวาย”

ม่ออวี่มิได้หันกาย เอ่ยต่อ “ถึงแม้เจ้าจะเป็นเด็กเยาว์วัย ทว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มิได้หมายถึงเจ้า”

เฉินฉางเซิงเข้าใจ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แม้จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้จักตัวเขา นางกล่าวว่าเด็กเยาว์วัยแน่นอนว่าก็คือลั่วลั่ว

“คู่สามีภรรยาไป๋ตี้ฝากฝังองค์หญิงลั่วลั่วให้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้อาวุโส นางจะต้องสั่งสอน ฉะนั้นองค์หญิงลั่วลั่วจะต้องเชื่อฟัง ก่อนหน้านี้องค์หญิงศึกษาตำราอยู่ที่สำนักฝึกหลวง คารวะท่านเป็นอาจารย์ จึงมองเป็นการก่อเรื่องวุ่นวายของเด็กเยาว์วัย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สนใจ ทว่าในชุมนุมไม้เลื้อย พวกเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายรุนแรงเหลือเกิน”

ม่ออวี่จ้องมองหนุ่มน้อยที่อยู่ในกระจก เอ่ยว่า “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้องค์หญิงก่อเรื่องวุ่นวายกับเจ้าอีกต่อไป”

เฉินฉางเซิงก้มศีรษะจ้องมองพื้น เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

“ไม่ต้องคิดว่าตนเองสามารถอาศัยพลังขององค์หญิงลั่วลั่วได้จริงๆ เพียงประโยคเดียว สิ่งใดเจ้าก็จะล้วนไม่มีทั้งสิ้น เจ้าจะต้องเข้าใจกระจ่างในจุดนี้”

“ข้าอยู่จิงตูเดิมทีก็ไม่มีสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสิ่งใดจะต้องเสีย”

“แล้วชีวิตเล่า เวลานี้คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถปรากฏตัวต่อหน้าข้า นี่ทำให้ข้ารู้สึกเกินความคาดหมายไปบ้าง ดูแล้วเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอยู่ที่จิงตูจะต้องระมัดระวังมากกว่าปีนั้นมาก…ถูกแล้ว เจ้าไม่รู้จักเด็กผู้นั้น อย่าได้มองเขาเหมือนคนปกติทั่วไป ในความเป็นจริงหากบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว แม้แต่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็ไม่มีคุณสมบัติถือรองเท้าให้เขา ถ้าหากเขามิได้ไปฝึกฝนอย่างยากลำเข็ญที่ด่านยงเสวี่ยมานานหลายปี จากนิสัยของเขา วันนี้เจ้าจะต้องเสียชีวิตที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเป็นแน่”

เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น จ้องมองนางที่อยู่ในกระจก เอ่ยว่า “อารมณ์ของขุนพลเทียนไห่นับว่าไม่ดีอย่างยิ่ง ยามอรุณวันนี้ที่จริงแล้วเขาอยากจะสังหารคน ที่ข้าสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ มิใช่เพราะว่าเขาเผยให้เห็นว่าตนเป็นคนมีเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทว่าเป็นเพราะเขาไร้หนทางที่จะสังหารข้า…”

เขากล่าวตอบโต้ “เหมือนกับคืนก่อนที่ข้าสามารถแสดงหนังสือสมรสในวังเวยยางได้ มิใช่เพราะเป็นความสงสารจากท่าน ทว่าเป็นเพราะท่านหมดหนทางที่จะคุมขังข้า”

ม่ออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่ยินดี

“ลืมบอกท่านไป เสนาธิการจินตอนนี้เป็นเวรยามของสำนักฝึกหลวง…เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไม่มีโอกาสที่จะเหยียบย่ำสำนักฝึกหลวงได้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าหากท่านยังปรารถนาจะทำเรื่องเหล่านี้ คงจะต้องให้ท่านออกหน้าด้วยตนเอง อาจจะไม่เหมือนตอนนี้ ที่หลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปก็มาเจรจาสองสามประโยค”

หัวคิ้วของม่ออวี่ขมวดแน่นขึ้น

“เวลาปกติราวกับเจ้าไม่ได้เอ่ยวาจาจากมากมาย”

“ข้าก็แปลกใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่หน้าวังเวยยาง หรือว่าในสวนรกร้าง หรือว่าเวลานี้ เมื่อพบเจอกับท่าน วาจาของข้าแปรเปลี่ยนเป็นมากขึ้นมา”

ม่ออวี่หันกายกลับมา จ้องมองเฉินฉางเซิงเงียบๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พยักหน้าหงึกๆ

นางไม่เข้าใจ หนุ่มน้อยผู้นี้ชัดเจนว่าเป็นคนธรรมดาที่สุด เพราะเหตุใดกลับสามารถทำให้องค์หญิงลั่วลั่วให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ แม้แต่สวีโหย่วหรงก็ยังส่งจดหมายเกี่ยวกับคนผู้นี้ให้แก่ตนโดยเฉพาะ ถึงแม้การแสดงของเฉินฉางเซิงในการชุมนุมไม้เลื้อยเป็นประจักษ์อย่างยิ่ง แต่นางยังคงไม่เข้าใจ

นางคิดไม่เข้าใจอย่างยิ่ง สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดก็คือเรื่องนั้น

“แท้จริงแล้วเจ้าออกมาจากวังถงอย่างไร”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่จ้องมองนาง

เวลานี้ม่ออวี่ได้ล้างเครื่องสำอางหมดแล้ว ผิวขาวราวกับใหม่เอี่ยม หน้าตาสวยงาม จ้องมองแล้วเหมือนเป็นหญิงสาวอายุสิบหกปี

ทว่านางมิได้เป็นหญิงสาวที่โง่เขลาไม่เข้าใจโลก แต่นางเป็นขุนนางหญิงเจ้าแผนการลึกล้ำผู้หนึ่ง

จากลั่วลั่วออกจากสำนักฝึกหลวงไปสำนักจวนราชวังหลี คนของตระกูลเทียนไห่มาโจมตีตั้งแต่รุ่งอรุณ เรื่องราวหลังจากนี้ ล้วนแต่สามารถมองเห็นเงานางได้

นางเป็นคนที่ควบคุมอยู่หลังม่าน และตอนนี้ก็เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักฝึกหลวง

“มีบางคนคิดว่าสำนักฝึกหลวงกับเจ้าจะเป็นการแทนความหมายถึงบางสิ่ง ทว่าเจ้าและข้าต่างทราบดี นี่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด”

นางจ้องมองเฉินฉางเซิงกล่าวว่า “สวีซื่อจีเวลานั้นมาขอร้องอยู่ด้านหน้าข้า บุตรธิดาของเขาดื้อรั้นส่งจดหมายมา ข้าคิดไปคิดมา ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงโยนเจ้ามาในสำนักฝึกหลวง เตรียมให้เจ้ามีชีวิตและมอดไหม้ด้วยตนเอง กลับมิได้คาดคิด คิดไม่ถึงเจ้าอยู่ที่นี่จะรู้จักองค์หญิงลั่วลั่ว ปีนป่ายออกมาจากสวนสุสานแห่งนี้”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ใช่แล้ว เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”

ท่าทางของม่ออวี่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น กล่าวว่า “ข้าทำเรื่องบางอย่างเรื่องหนึ่ง ผลลัพธ์แม้จะออกมาวุ่นวายเช่นนี้ ทว่านี้จะนับอะไรได้เล่า สำนักฝึกหลวงจะสามารถดำรงไว้ได้หรือไม่ ข้าไม่ได้ใส่ใจ ข้าเพียงแค่สนใจว่าเรื่องราวในความคิดข้ามิได้เกิดขึ้นจริง”

เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะทำสิ่งใด”

“การพัฒนาของเรื่องราวทุกอย่าง สุดท้ายแล้วมักจะวกกลับมายังจุดเริ่มต้น เรื่องราวเหล่านี้ก็เหมือนเป็นเช่นนี้…เริ่มจากจดหมายสมรสฉบับนั้น เริ่มจากหนังสือสมรสฉบับนั้นสิ้นสุดลงดีกว่า หยิบหนังสือสมรสออกมา ละทิ้งหนังสือสมรสด้วยตนเอง เริ่มมาใหม่อีกครั้ง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้า”

“สวีโหย่วหรงนางยอมรับหนังสือสมรสฉบับนี้แล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าคิดหรือไม่ เพราะเหตุใดนางถึงยอมรับหนังสือสมรสฉบับนี้ หรือเจ้าคิดว่านางจะชอบเจ้าจริงหรือ เจ้าคิดว่าสตรีเช่นนางจะเป็นเพราะคำพูดของแม่สื่อชีวิตของบิดามารดาจึงสมรสกับคนที่ไม่รู้จักจริงหรือ หรืออาจจะกล่าวว่า เจ้าคิดว่านางสนใจเรื่องคำมั่นสัญญาจริงหรือ”

ม่ออวี่จ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา “เจ้าสามารถโต้ตอบกับโกว่หันสือก็นับว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม ในค่ำคืนก่อนมองเห็นนกกระเรียนนำจดหมายมา เจ้าก็ควรรับรู้ได้ถึงเจตนาของนาง เพราะเหตุใดจะต้องเสแสร้งว่าไม่รู้ด้วยเล่า ถูกทำให้เป็นดังอนุสาวรีย์ เจ้าไม่รู้สึกไร้ยางอายบ้างหรือ”