เริ่มแรกโจวเจิ้นฟังแล้วก็เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด กระทั่งโจวเสาจิ่นเล่าถึงตอนที่เฉิงฉือผลักจี๋อิ๋งออกมา คิ้วของเขาคลายลงอย่างช่วยไม่ได้ หัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “กลยุทธ์ดึงฟืนออกจากหม้อเพื่อจัดการเหตุในยามคับขันนี้นำออกมาใช้ได้ดียิ่ง!”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีจนดวงตาและคิ้วโก่งโค้งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือมักจะมีแผนการมากมายอยู่เสมอเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นถอนหายใจกล่าว “แต่ต้องมาดูแลกิจการของตระกูลเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดีไปชั่วขณะหนึ่ง
โชคดีที่โจวเจิ้นเพียงถอนหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมาที่เรื่องที่เกิดขึ้นในโพรงหินต่อ “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตอนที่เจ้าเดินทางมานั้นยังสืบไม่เจอว่าผู้ใดเป็นคนวางยาใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นกล่าวอธิบายแทนเฉิงฉือว่า “เรื่องราวไหนเลยจะสืบออกมาได้ง่ายดายเพียงนั้นกันเจ้าคะ ตอนแรกทุกคนเอาแต่สนใจจะไปไล่เรียงเรื่องที่จี๋อิ๋งทุบตีเฉิงเจียซ่านเท่านั้น กระทั่งตอนที่ได้สติกลับมาเกรงว่าคนวางยาผู้นั้นคงจะกำจัดเศษซากทำลายหลักฐานจนสะอาดเอี่ยมอ่องไปแล้ว นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงจวนรอง จวนรองยังมีท่านผู้นำตระกูลอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง จะไปสืบสวนได้อย่างไรเจ้าคะ”
โจวเจิ้นอดมองโจวเสาจิ่นเพิ่มอีกสองสามครั้งไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก เรื่องตกมาอยู่บนหัวของตัวเองแล้วก็ยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอีก”
โจวเสาจิ่นประหม่า รีบกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้เฉิงเจียซ่านจะมีเจตนาร้ายต่อข้า แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านน้าฉือกลับดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าคงไม่อาจกล่าวโทษจวนหลัก กล่าวโทษซอยจิ่วหรู เพียงเพราะเฉิงเจียซ่านเพียงคนเดียวหรอกกระมัง ผู้ใดเป็นผู้กระทำผู้นั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ หากข้าอยากโกรธเกลียด ก็ควรจะไปโกรธเกลียดเฉิงเจียซ่านถึงจะถูก”
โจวเจิ้นได้ยินแล้วดวงตาสว่างวาบขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดเสาจิ่นของพวกเราก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงหูแดงไปหมด
โจวเจิ้นหัวเราะฮ่าขึ้นมาดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อมาเมืองเป่าติ้งแล้ว ก็ให้ฮูหยินพาเจ้าไปเดินเล่นให้ทั่วทุกที่ก็แล้วกัน”
รอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปแล้ว ค่อยหาตระกูลดีๆ ให้เสาจิ่นสักตระกูล จากนั้นเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว
โจวเจิ้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกฮูหยิน นางจะได้ไม่คิดโน่นคิดนี่”
และหลีกเลี่ยงไม่ให้นางคิดว่าเสาจิ่นทำผิดอะไรมา แล้วมาดูแคลนนาง
นี่มิใช่เรื่องดีอะไร!
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อวางใจ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าโจวเจิ้นเชื่อใจโจวเสาจิ่น ถามถึงสถานการณ์ของโจวชูจิ่นขึ้นมา
โจวเสาจิ่นตอบคำถามทีละข้อ
เมื่อทราบว่าโจวชูจิ่นอยู่ที่ตระกูลเลี่ยวสุขสบายดี สีหน้าของโจวเจิ้นถึงได้ผ่อนคลายลงมาอย่างแท้จริง และเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
สองพ่อลูกอยู่ในห้องหนังสือกันเกือบหนึ่งชั่วยาม กระทั่งโจวเสาจิ่นหิวจนเสียงท้องร้องดังจ๊อกๆ ไม่หยุด โจวเจิ้นถึงได้ได้สติคืนกลับมา รีบตะโกนบอกให้สาวใช้จัดโต๊ะอาหาร
หลี่ซื่ออยู่ข้างๆ ช่วยจัดตะเกียบให้พวกเขาด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นรีบหยัดกายลุกขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินเองก็มานั่งด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อกำลังจะปฏิเสธ โจวเจิ้นก็เอ่ยกับนางยิ้มๆ ก่อนว่า “มานั่งด้วยกันเถิด! คนในครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องทำเหินห่างเช่นนี้ เสาจิ่นยังต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง”
หลี่ซื่อถึงได้ทรุดกายนั่งลง กล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าคุณหนูรองชอบกินอะไร จึงไปถามฝานมามา บางอย่างในครัวก็มีวัตถุดิบ บางอย่างก็ไม่มี คุณหนูรองฝืนทนไปก่อน ข้าจะค่อยๆ ไปหาซื้อมาให้”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินเรียกข้าว่าเสาจิ่นก็พอเจ้าค่ะ ข้าเองก็คุ้นเคยกับอาหารของทางเหนือเช่นกัน ที่ชื่นชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นต้มกระดูกแพะและเกี๊ยวไส้ผักกาดขาว บะหมี่ข้าก็ชอบกินเช่นกันเจ้าค่ะ”
รายการอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารของทางเหนือที่พบเห็นได้ทั่วไป ในครัวยังทำให้อยู่บ่อยๆ
“ไอ้โหยว” หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจและยินดี “เหตุใดคุณหนูรองถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ข้าจะให้คนทำให้เดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นจับหลี่ซื่อเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าเห็นฮูหยินให้คนทำต้มซี่โครงหัวซานเย่าแล้ว อันนี้ข้าก็ชอบกินเช่นกัน ฮูหยินอยากทำอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้เจ้าค่ะ”
“ก็ได้” หลี่ซื่อคิดครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติของทางเหนือหรือทางใต้คุณหนูรองล้วนคุ้นเคย หนึ่งวันสับเปลี่ยนกันทำแตกต่างกันไป ก็ไม่ต้องมาจำกัดหนึ่งวันสองวันแล้ว”
โจวเจิ้นไม่เคลือบแคลงสงสัยเลยสักนิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยอยู่จิงเฉิงมาสิบกว่าปี เฉิงฉือเองก็เติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เล็ก โจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่จวนหลัก อาหารการกินจะเปลี่ยนตามไปด้วยบ้าง ก็เป็นอะไรที่เป็นไปได้
เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “กินข้าวกันเถิด!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างอ่อนหวาน ไม่กล่าวอะไรอีก
ส่วนหลี่ซื่อลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
นางดีกับโจวเสาจิ่น นายท่านจึงมีความสุขเป็นอย่างมากตามที่คาดการณ์เอาไว้
มองโจวเสาจิ่นที่งดงามละมุนละไม อ่อนโยนและเชื่อฟังนั้นแล้ว ตัวนางเองก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากเช่นกัน
โชคดีที่คนที่กลับมาอยู่ด้วยเป็นนาง หากเป็นโจวชูจิ่น เกรงว่านางคงได้หัวมันทุกวันเป็นแน่แล้ว
โจวเสาจิ่นเป็นคนมาสองชาติภพ ก็ยังไม่เคยนั่งรถม้าเป็นเวลายาวนานขนาดนี้มาก่อน ความจริงแล้วไม่รู้สึกอยากอาหารเลย แต่เห็นหลี่ซื่อทำอาหารมาจนเต็มโต๊ะ นางจึงฝืนตัวเองกินไปหลายคำ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกจิตใจหดหู่ไปพร้อมๆ กันด้วยเล็กน้อย
โอกาสที่ท่านน้าฉือจะได้ผ่านทางมาที่เมืองเป่าติ้งนั้นมีน้อยมากเว้นแต่ว่าเขาจะเดินทางมาทางบก และทุกครั้งที่ท่านน้าฉือเดินทางทางบกก็มักจะเป็นเพราะมีธุระด่วนทั้งนั้น ต่อให้มาเยี่ยมบ้านของพวกเขาได้ แต่ก็คงทำได้เพียงมาประเดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบจากไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะได้พักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเลย
มาเป่าติ้งแล้ว วาสนาของนางกับท่านน้าฉือก็คงจะขาดไปแล้วเช่นกัน!
หากทำหน้าหนาอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเหมือนชาติก่อน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อความคิดดังกล่าววาบผ่าน โจวเสาจิ่นก็รีบกดมันเก็บเอาไว้ในใจทันที
เหตุใดตนถึงไร้ซึ่งพัฒนาการถึงเพียงนี้นะ พูดว่าจะไม่คิดถึงท่านน้าฉืออีก พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ พูดจากลับกลอกเช่นนี้ นางจะต่างอะไรกับตัวเองในชาติที่แล้วกัน!
โจวเสาจิ่นลอบตัดสินใจเงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่กลับไปที่จินหลิงอีก
ทั้งสามคนรับประทานอาหารเย็นกันอย่างเงียบๆ จากนั้นไปดื่มน้ำชาที่ห้องนั่งเล่น
แม่นมอุ้มโจวโย่วจิ่นที่มีอายุหนึ่งขวบกว่าๆ เข้ามา
นางคว้าแขนเสื้อของหลี่ซื่อเอาไว้พร้อมกับลอบมองสำรวจโจวเสาจิ่น หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นอุ้มนางเอาไว้ เริ่มแรกนางยังมองหลี่ซื่อกับแม่นมไม่หยุด ต่อมาเริ่มจับเครื่องประดับของโจวเสาจิ่นเล่น
หลี่ซื่อรีบตีมือนาง “ทำผมของพี่สาวยุ่งไม่ได้เชียว”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ไม่เป็นไรๆ ให้นางเล่นเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นเอาปิ่นลายเมฆมงคลสีฟ้าที่อยู่บนศีรษะมาให้นางเล่น
แม่นมของโจวโย่วจิ่นสะดุ้งตกใจเป็นการใหญ่ รีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง มิได้เจ้าค่ะ คุณหนูสามจะเอาเข้าปากได้”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง รีบยื่นปิ่นไปให้ชุนหว่านที่อยู่ข้างๆ
หลี่ซื่อกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องกังวลๆ มีพวกเราคอยดูอยู่ข้างๆ!”
โจวเสาจิ่นยังคงไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่ยื่นของอะไรให้โจวโย่วจิ่นเล่นอย่างส่งเดชอีก
โจวเจิ้นจึงบอกให้หลี่ซื่อพาโจวเสาจิ่นไปเที่ยวเล่นในเมืองเป่าติ้งให้ทั่วทุกที่ในอีกสองวันนี้ หากไม่สนุก ก็ไปอยู่จิงเฉิงสักสองสามวัน ไปหาซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับมาฉลองวันขึ้นปีใหม่
หลี่ซื่อขานรับคำอย่างแย้มยิ้ม
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่กำหนดคลอดเดือนสองปีหน้า ก็ต้องหาซื้อของให้ลูกน้อยของท่านพี่ด้วยถึงจะถูก ยังมีโย่วจิ่นอีก กำลังจะได้เป็นท่านน้าแล้ว ก็ต้องแต่งตัวให้งดงามถึงจะถูก”
โจวเจิ้นกับหลี่ซื่อหัวเราะร่า โจวเจิ้นยิ่งแล้วใหญ่เอ่ยเย้าแหย่โจวโย่วจิ่นว่า “ได้ยินที่พี่รองของเจ้าพูดหรือไม่ เจ้ากำลังจะได้เป็นท่านน้าแล้ว ต้องทำตัวให้เรียบร้อยหน่อยถึงจะถูก”
โจวโย่วจิ่นยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันซี่เล็กๆ
ทุกคนต่างหัวเราะลั่นออกมาพร้อมกัน
โจวโย่วจิ่นงุนงงไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรไปโดยสิ้นเชิง
ทุกคนจึงหัวเราะหนักมากยิ่งขึ้น
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินหวงมาเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “นางมาทำอะไรยามนี้”
หาได้ยากที่โจวเจิ้นจะมีความสุขและบรรยากาศจะดีมากขนาดนี้ นางไม่อยากให้คนมาทำลายมันไป
โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าคงมีเรื่องอะไรต้องการมาพบเจ้า ข้าไปห้องหนังสือก่อนก็แล้วกัน”
หลี่ซื่อหงุดหงิดฮูหยินหวงผู้นี้ที่ไม่รู้กาลเทศะ ทว่าไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ยิ้มพลางส่งโจวเจิ้นออกจากห้องนั่งเล่นไป ถึงได้ให้สาวใช้ไปเชิญฮูหยินหวงเข้ามา แล้วกล่าวอธิบายกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินหวงผู้นี้คือสตรีของเจ้าพนักงานธุรการประจำศาล”
โจวเสาจิ่นเข้าใจในทันที
ที่ว่าการเจ้าเมืองประกอบไปด้วยฝ่ายงานธุรการศาล ฝ่ายเสมียนดูแลเอกสาร ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและฝ่ายคุมขัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดามาเยี่ยมหลี่ซื่อนั่นเอง
แต่มาในเวลานี้ เกรงว่าคงจะอาศัยอยู่ในที่ว่าการแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นหยัดกายลุกขึ้น พลางกล่าว “เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ”
หลี่ซื่อครุ่นคิดว่านับตั้งแต่ตนติดตามโจวเจิ้นมาดำรงตำแหน่งที่นี่ก็เดินทางกลับจินหลิงไปสองครั้ง อีกทั้งยังวุ่นอยู่กับการคลอดบุตรและดูแลบุตรสาว งานสังคมของเมืองเป่าติ้งจึงแทบจะไม่ได้ออกหน้าไปร่วมสักเท่าไร จึงยิ่งไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบรรดาฮูหยินที่อาศัยอยู่ในที่ว่าการแห่งนี้เลย
แล้วเหตุใดถึงโผล่ออกมาในเวลานี้ได้!
นางจึงยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น พยักหน้าน้อยๆ กำลังจะส่งโจวเสาจิ่นออกไป ฮูหยินหวงผู้นั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วเสียก่อน
“ผู้นี้คงเป็นคุณหนูรองของท่านเจ้าเมืองกระมัง” นางเห็นโจวเสาจิ่นดูงดงามเป็นที่สุด เอ่ยขึ้นก่อนอย่างเป็นกันเองว่า “หลายวันก่อนได้ยินว่าคุณหนูรองของพวกท่านกำลังจะมา คิดไม่ถึงว่าจะงดงามดุจทำออกมาจากหยกเช่นนี้ ช่างงดงามจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเมืองเป่าติ้ง ข้าว่าทั่วทั้งเป่ยจื๋อลี่[1]ก็คงจะหาหญิงสาวที่งามเท่าคุณหนูรองได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น!”
ถ้อยคำของนางกล่าวได้เกินจริงทว่าก็ดูจริงใจยิ่งนัก มีความจริงใจและเรียบง่ายตามแบบฉบับของสตรีแต่งงานแล้วในชนบท ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกขยะแขยง
โจวเสาจิ่นเพ่งตามองสำรวจนางอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินหวงผู้นั้นเป็นสตรีอายุประมาณสี่สิบปี ผิวคล้ำเล็กน้อย ร่างกายอวบอ้วน ใบหน้ากลม ผิวหน้าแดงก่ำ รอยยิ้มสุกใสงดงาม สวมเสื้อเจี๋ยเผาผ้าไหมลู่สีเขียวนกแก้วตัวยาว บนนิ้วมืออันอวบอ้วนนั้นสวมแหวนทองทรงโกลนม้าวาววับเอาไว้
เมื่อถึงฤดูหนาวมามาที่ดูแลเรือนชั้นนอกของซอยจิ่วหรูส่วนใหญ่ล้วนแต่งกายเช่นนี้
นางย่อกายทำความเคารพ และเรียกออกมาคำหนึ่งว่า “ฮูหยินหวง”
ฮูหยินหวงรีบเบี่ยงตัวหลบไปข้างๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไหนเลยจะกล้ารับการคารวะจากคุณหนูรองกัน ทำให้ข้าซาบซึ้งยิ่งนักแล้ว”
คำพูดคำจาก็เหมือน
หลี่ซื่อเชิญฮูหยินหวงนั่งลง
ฮูหยินหวงเอ่ยถ้อยคำประจบประแจงออกมาอีกคำรบหนึ่ง โจวเสาจิ่นถึงได้จับใจความได้ว่า ที่แท้เป็นเพราะฮูหยินหวงผู้นี้ได้ยินว่านางมา ก็เลยตั้งใจทำของกินเล่นของซงเจียงบ้านเกิดของนางมาให้เป็นพิเศษ ยังเชิญให้โจวเสาจิ่นไปรับประทานอาหารที่บ้านของนางในวันพรุ่งนี้อีกด้วย
หลี่ซื่อไม่กล้าให้โจวเสาจิ่นกินของอะไรส่งเดช เอ่ยอย่างสุภาพว่า “…นายท่านให้ข้าพาคุณหนูรองไปเดินเล่นให้ทั่วในช่วงสองสามวันนี้”
คำว่า ‘คุณหนูรอง’ คำนั้นทำให้ฮูหยินหวงสำลัก แต่ก็ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้งขึ้นมา
“ฮูหยินจะออกไปเมื่อใดหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ข้าอยู่เป่าติ้งมาเจ็ดแปดปีแล้ว อีกทั้งเป็นคนชื่นชอบออกไปข้างนอกผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใหญ่หรือเล็กของเมืองเป่าติ้งแห่งนี้ล้วนไปมารอบหนึ่งแล้วทั้งนั้น หากถามว่าไปจุดธูปที่วัดไหนในเมืองเป่าติ้งแล้วรุ่งเรืองที่สุด นอกจากวัดต้าฉือเก๋อก็ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว นอกจากนี้ด้านหลังของวัดต้าฉือเก๋อแห่งนี้ยังมีวัดกวนตี้อยู่อีกหนึ่งแห่ง…ทางทิศใต้ของวัดต้าฉือเก๋อคือเจดีย์คุยโหลว ซึ่งก็คือที่ที่พวกเรามักจะเรียกกันว่าเหวินชังเก๋อแห่งนั้นนั่นเอง เป็นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว…”
นางพรั่งพรูกล่าวแนะนำธรรมเนียมปฏิบัติของเป่าติ้งออกมาไม่หยุด ความหมายโดยนัยคือจะบอกว่านางไปเดินเล่นเมืองเป่าติ้งเป็นเพื่อนหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นได้
หลี่ซื่อเห็นโจวเสาจิ่นฟังอย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งฮูหยินหวงยังเป็นคนคุยเก่งผู้หนึ่ง เจ้าพูดอะไรไปนางล้วนคุยต่อคำของเจ้าได้ตลอด ชั่วขณะนั้นจึงเกิดสนใจขึ้นมา รู้สึกว่าให้ฮูหยินหวงผู้นี้ไปเป็นเพื่อนก็ไม่เลวนัก
นางถือโอกาสตอนที่ฮูหยินหวงก้มหน้าจิบชานั้นหันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
จิตใจของโจวเสาจิ่นกำลังว่างเปล่าพอดี ถึงแม้ฮูหยินหวงผู้นี้จะพูดมากไปสักหน่อย ทว่าก็ประจวบเหมาะทำให้นางไม่ต้องคิดอะไรพอดี จึงพยักหน้าให้น้อยๆ ที่น้อยจนแทบจะมองไม่เห็นไปให้ครั้งหนึ่ง
หลี่ซื่อทราบความคิดของนางแล้ว จึงเชิญให้ฮูหยินหวงไปเที่ยวเมืองเป่าติ้งด้วยกันในอีกสองวันข้างหน้า
ฮูหยินหวงดีใจจนระงับความยินดีเอาไว้แทบไม่ได้
ทุกคนต่างรู้ดีว่าภรรยาคนแรกของโจวเจิ้นเป็นญาติผู้น้องของเฉิงจิง แต่ทั้งสองครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมกันหรือไม่ เฉิงจิงให้ความเคารพอดีตน้องเขยผู้นี้หรือไม่นั้น ไม่มีผู้ใดมั่นใจได้
ได้ยินว่าบุตรสาวคนรองของโจวเจิ้นคนที่อาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาตั้งแต่เด็กผู้นั้นมาเป่าติ้ง เจ้าพนักงานธุรการศาลหวงจึงนั่งไม่ติดที่ ถึงได้ให้ฮูหยินหวงมาหาโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้
………………………………………………………………….
[1] เป่ยจื๋อลี่ เป็นเขตการปกครองที่ครอบคลุมปักกิ่ง เทียนจิน บริเวณส่วนใหญ่ของเหอเป่ย เหอหนาน และบางส่วนของซานตง