ตอนที่ 357 ที่ทำการปกครองเมือง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

หลี่ซื่อไม่ได้ใส่ใจว่าฮูหยินหวงจะคิดอย่างไร

มองจากมุมของนางแล้ว ขอเพียงตนยึดมั่นในความตั้งใจเดิม ไม่โลภไม่โกรธ ก็จะไม่สร้างปัญหาให้โจวเจิ้น โจวเจิ้นเองก็จะยิ่งให้ความเคารพนางมากขึ้น

หลี่ซื่อออกไปส่งฮูหยินหวงด้วยรอยยิ้ม

หลังจากจัดสถานที่ให้โจวเสาจิ่นกับกระถางดอกไม้พวกนั้นของนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มตระเตรียมของฝากท้องถิ่นให้บรรดาผู้คุ้มกันที่มาส่งโจวเสาจิ่นเหล่านั้น

ฮูหยินหวงเห็นแล้วก็หายใจไม่ออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยิน ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”

หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเฉิง ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมาเปล่าๆ ได้”

ฮูหยินหวงได้ยินแล้วกลอกลูกตาไปมาไม่หยุด

หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

พวกนางนัดแนะกันแล้วว่าจะไปไหว้พระที่วัดต้าฉือเก๋อในวันมะรืนที่จะถึงนี้

ฮูหยินหวงยิ้มพร้อมกับยกกล่องอาหารในมือขึ้น กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าทำของกินเล่นอีกแล้วเล็กน้อยจึงนำมามอบให้”

โดยปกติแล้วโจวเสาจิ่นไม่กินของของคนแปลกหน้า

หลี่ซื่อรับมายิ้มๆ กล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “พันคนพันความชอบ ของกินเล่นของท่านนี้ข้าชอบกินเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคุณหนูรองของพวกข้ากลับไม่ค่อยคุ้นชินนัก นางเติบโตอยู่ทางใต้ ชอบกินอะไรที่หวานๆ”

ฮูหยินหวงเองก็ไม่ย่อท้อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินชอบกินก็ดียิ่งแล้ว! รอคุณหนูรองกลับไปแล้ว ข้าค่อยทำมาให้ท่านกินอีกเป็นการเฉพาะ อย่างไรก็ตาม คุณหนูรองมีแผนการอย่างไรหรือ ตั้งใจจะอยู่ยาวหรือว่าหลังจากฉลองปีใหม่เสร็จก็จะกลับจินหลิงเลย?”

หลี่ซื่อพลันระแวดระวังตัวขึ้นมา

ทุกคนต่างอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณจวนหลังเดียวกัน อีกทั้งโจวเจิ้นก็เป็นเจ้านาย จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ทว่าโจวเจิ้นกลับเป็นคนที่ไม่ชอบให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่สุด หลี่ซื่อจึงระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก กระทำการใดๆ ก็พยายามถ่อมตนลง ไม่ให้ผู้อื่นมาสอดแนมเรื่องในบ้านของนางได้

“แน่นอนว่าต้องให้ผ่านปีใหม่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” นางกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ต่อให้คุณหนูรองอยากกลับไป นายท่านของพวกข้าก็คงไม่อาจปล่อยให้นางกลับไปหรอกกระมัง!”

นี่มิใช่เท่ากับว่าตอบก็เหมือนไม่ตอบหรอกหรือ

ฮูหยินหวงยังอยากจะถามต่อไปอีก ฮูหยินของถานเตี๋ยนสื่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็เข้ามา

ในมือของนางถือกล่องขนมเอาไว้สองสามกล่อง หลังจากที่กล่าวทักทายหลี่ซื่อและฮูหยินหวงอย่างยิ้มแย้มไปแล้ว ก็แจ้งว่านางมาเยี่ยมโจวเสาจิ่น

หลี่ซื่อไปเชิญโจวเสาจิ่นออกมาคารวะทักทายฮูหยินถาน

ดวงตาของฮูหยินถานพลันดูตกตะลึงอย่างเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมทอเค่อซือสีน้ำเงินไพลิน เส้นผมดุจเส้นไหมสีดำม้วนขึ้นเป็นมวยมวยหนึ่ง ข้างแก้มขาวนวลเนียนนั้นมีตุ้มหูระย้าสีเหลืองขี้ผึ้งตกมาคลอเคลียอยู่ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในห้องข้างที่มีความร้อนของท่อทำความร้อนใต้พื้น ใบหน้าจึงแดงเรื่อเล็กน้อย ดูสุขภาพดีเปล่งประกายมีชีวิตชีวา แต่งกายสดใสเป็นอย่างยิ่ง

“นี่คือคุณหนูรองของพวกท่านหรือ” นางถามหลี่ซื่ออย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย “หน้าตางดงามจริงๆ! หมั้นหมายแล้วหรือยัง เมื่อวานมาถึงยามใด มาลงเรือที่เทียนจินหรือว่าเดินทางมาทางบกตลอดทาง…” นางยิงคำถามไม่หยุด ยังอยากจะถอดกำไลหยกโมราที่สวมอยู่บนข้อมือให้โจวเสาจิ่นเป็นของขวัญพบหน้าอีกด้วย

โจวเสาจิ่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก เป็นหลี่ซื่อเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมนาง นางถึงได้ยอมแพ้

ฮูหยินหวงกลับจ้องมองมุกสีเหลืองขี้ผึ้งที่อยู่บนหูของโจวเสาจิ่นไม่วางตา

แม้แต่หลี่ซื่อก็สังเกตเห็น

ฮูหยินหวงกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแล้วตุ้มหูของคุณหนูรองนี้ดูเหมือนจะมีลวดลายอยู่ด้วย?”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านดูไม่ผิด! มุกบนตุ้มหูของข้านี้เม็ดหนึ่งแกะสลักลายเทพยดาหมากู[1] ส่วนอีกเม็ดหนึ่งแกะสลักลายความผาสุกทั้งสี่ฤดูเจ้าค่ะ”

ฮูหยินหวงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “แกะสลักลายพวกนี้ได้อย่างไร มุกเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ความจริงแล้วนี่เป็นมุกบนสร้อยลูกประคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ซอยจิ่วหรู นางสวมใส่มาหลายปีแล้ว ต่อมามีครั้งหนึ่งข้าไม่สบาย ท่านหมอของตระกูลเฉิงให้ข้ากินยาหลายเทียบแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้คนนำมุกสีเหลืองขี้ผึ้งบนสร้อยลูกประคำนั้นมาสองเม็ดทำเป็นตุ้มหูให้ข้า จะว่าไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก ข้าสวมตุ้มหูนี้ไม่กี่วันก็หายป่วย ข้าเดินทางมาเมืองเป่าติ้งในครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าย้ำกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ข้าสวมตุ้มหูคู่นี้ระหว่างเดินทางด้วย ข้าเองก็ชื่นชอบยิ่ง จึงสวมใส่มาโดยตลอดมิได้ถอดออก” ขณะที่นางกล่าว ก็ทำท่าจะถอดมันออกมาให้ฮูหยินหวงดู

ฮูหยินหวงรีบกล่าว “ไม่ต้องๆ คุณหนูรองสวมเอาไว้ดีแล้ว”

เนื่องจากนางไม่สงสัยใคร่รู้แล้ว โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คะยั้นคะยออีก

ฮูหยินถานได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้นั้นเป็นคนเช่นไรหรือ ได้ยินมาว่านางมีบุตรชายสามคน ล้วนเป็นจิ้นซื่อหมดทั้งสามคน บุตรชายคนโตยิ่งแล้วใหญ่เป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็หัวเราะออกมา พยักหน้าพลางกล่าว “ทั้งสามท่านล้วนเป็นผู้มีความรู้สูงส่ง”

ฮูหยินหวงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าถามถึงเรื่องของซอยจิ่วหรูขึ้นมา

เรื่องที่เล่าได้โจวเสาจิ่นก็เล่า เรื่องที่เล่าไม่ได้ก็แสร้งทำเป็นบื้อใบ้ไปเสีย

ซางมามาเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง อีกประเดี๋ยวผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็จะออกเดินทางกลับจินหลิงแล้ว หัวหน้าคณะฉินหยางกล่าวว่าต้องการเข้ามาโขกศีรษะให้ท่านสักครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”

ฉินหยางเป็นหลานชายห่างๆ ของพ่อบ้านฉิน ครั้งนี้ก็ได้เขานำคณะผู้คุ้มกันมาส่งนางถึงเป่าติ้ง

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยมามาก แต่ให้เขาเข้ามาสักครั้งก็ได้ ข้ามีรางวัลจะมอบให้เขา”

ซางมามายิ้มพร้อมกับเดินออกไป

โจวเสาจิ่นกล่าวขออภัยฮูหยินหวงและฮูหยินถาน ขอตัวไปที่ห้องโถง

ฮูหยินหวงกับฮูหยินถานอดรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจไม่ได้

โจวเสาจิ่นเป็นสตรีบอบบางในห้องหอผู้หนึ่ง ต่อให้เป็นเพราะตระกูลเฉิงเป็นห่วงเป็นใยนาง จึงให้คนมาส่งนางจนถึงเมืองเป่าติ้ง แต่เมื่อจะเดินทางกลับ ก็ควรจะมากล่าวอำลาคนอย่างเช่นบิดาหรือพี่ชายของโจวเสาจิ่นถึงจะถูก เหตุใดผู้คุ้มกันเหล่านั้นยังต้องมาโขกศีรษะให้นางด้วย ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นเจ้านายก็ไม่ปาน…

ฮูหยินหวงยื่นคอมองออกไปด้านนอก

เห็นผู้คุ้มกันคนนั้นยืนอยู่หลังฉากกั้นค้อมตัวทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง ถึงได้หยัดกายขึ้นมา รับรางวัลจากซางมามา ลดเสียงลงกล่าวขอตัวลาโจวเสาจิ่น แล้วถอยออกไป

ฮูหยินหวงบีบมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อทั้งสองข้างแน่น

ไม่ถึงสองวัน ในที่ทำการปกครองเมืองของเมืองเป่าติ้งก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่าโจวเสาจิ่นเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใดตอนอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโจวและตระกูลเฉิงดีมากเพียงใด…

โจวเจิ้นได้ยินแล้วระบายยิ้ม

แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ นับตั้งแต่ที่ข่าวลือนี้แพร่ออกไปไวราวกับติดปีกจนเป็นที่ทราบไปทั่วทั้งที่ทำการปกครองเมืองแห่งนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาก็ปฏิบัติกับเขาด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพมากขึ้น เขาจะทำอะไรก็ราบรื่นขึ้นมา

โจวเจิ้นอดไม่ได้หัวเราะออกมาดังลั่น อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

กระทั่งถึงเวลาที่โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อจะไปไหว้พระที่วัดต้าฉือเก๋อ โจวเจิ้นให้ค่าขนมโจวเสาจิ่นเป็นเงินยี่สิบเหลี่ยง บอกนางว่า “เอาไปซื้ออะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็เอาไปซื้อ อย่าให้ตัวเองต้องลำบาก”

โจวเสาจิ่นรับมายิ้มๆ ทว่าไปคล้องแขนของหลี่ซื่อเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากได้อะไรฮูหยินย่อมซื้อให้ข้าเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อดีใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ ข้าจะซื้อให้คุณหนูรองเอง”

โจวเจิ้นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้ายังจะรับเงินของข้าไปอีกหรือ”

“ท่านอยากให้ข้า มันก็ย่อมเป็นของข้าแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ

โจวเจิ้นกับหลี่ซื่อเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

บรรยากาศอบอุ่นยิ่ง

ตอนที่หลี่ซื่อปรนนิบัติโจวเจิ้นเปลี่ยนชุดทำงานนั้น โจวเจิ้นกระซิบกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “ข้าอยากให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่บ้านสักสองสามปี” หลี่ซื่อเองก็ชื่นชอบโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็อยากให้คุณหนูรองรั้งอยู่ที่บ้านสักสองปี แต่เรื่องพูดคุยเรื่องแต่งงานก็ล่าช้าไม่ได้ มิสู้ให้นางหมั้นหมายเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยๆ กำหนดวันแต่งงานทีหลัง”

โจวเจิ้นรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวนัก เดินไปยังโถงหน้าด้วยมุมปากยกยิ้ม

หลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นรอฮูหยินหวงมาถึงแล้วก็เดินทางไปวัดต้าฉือเก๋อ

วัดต้าฉือเก๋อก่อสร้างขึ้นมาในรัชสมัยก่อนหน้า สวยงามโอ่อ่าตระการตา เต็มไปด้วยผู้มาจุดธูปเทียน แต่ก็เทียบไม่ได้กับวัดจีหมิงและวัดกันเฉวียนของจินหลิง โจวเสาจิ่นก็ชอบ แต่ก็ยังรู้สึกว่าวัดจีหมิงกับวัดกันเฉวียนดีกว่า

จากหลังจุดธูป กินอาหารเจที่วัดต้าฉือเก๋อเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินหวงเอ่ยขึ้นว่า “ผักดองของวัดต้าฉือเก๋อก็รสชาติอร่อยมาก พวกเราน่าจะซื้อกลับไปด้วยเล็กน้อย”

หลี่ซื่อทำตามคำแนะนำ ให้คนไปซื้อมาให้

ปรากฏว่าร้านขายผักดองนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน รอจนเกือบครึ่งชั่วยามถึงซื้อมาได้

เมื่อโจวเสาจิ่นกลับมาถึงห้องแล้วลองชิมดู รสชาติอร่อยมากจริงๆ

นางอดไม่ได้ทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “หากส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ก็คงจะดี นี่เป็นรสชาติที่นางชื่นชอบ”

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มีอะไรยากกันเจ้าคะ ให้หน่วยคุ้มกันช่วยนำกลับไปให้ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่ต้องกลัวว่าจะเสีย”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ยังคงเป็นซางมามาที่พิจารณาได้รอบคอบ”

วันต่อมานางให้คนไปซื้อผักดองกลับมากองใหญ่ นอกจากทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและแม้แต่สะใภ้ใหญ่เก้าที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ล้วนได้รับผักดองของนางกันถ้วนหน้า นางยังเขียนจดหมายไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนคนละหนึ่งฉบับ เพื่อบอกเล่าความเป็นอยู่ที่เป่าติ้งของตัวเองด้วย

กระทั่งถึงวันที่ไปเจดีย์คุยโหลว ค้นพบว่าขนมแป้งทอดข้างๆ เจดีย์คุยโหลวรสชาติดียิ่งนัก จึงให้คนซื้อกลับไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง

ฝานหลิวซื่อขบขันนาง “นี่คุณหนูรองต้องการจะยกเมืองเป่าติ้งย้ายไปตั้งที่จินหลิงหรืออย่างไร!”

ทุกคนต่างหัวเราะร่าดังลั่น

ไม่นานก็ถึงเดือนสิบสอง ทุกครอบครัวต่างเริ่มเตรียมตัวกินโจ๊กล่าปากันแล้ว มีของขวัญตอบแทนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งมาจากเมืองจินหลิง

ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเครื่องประดับ ส่วนของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเป็นผ้าไหมราคาแพง

สื่อมามาเป็นคนนำของขวัญมาส่งให้ นางเล่าให้โจวเสาจิ่นฟังว่า ทางด้านจวนสี่เริ่มตระเตรียมงานแต่งของเฉิงอี้แล้ว ส่วนเฉิงสวี่หลังจากแผลบนใบหน้าหายดีแล้วก็ไม่กลับไปอยู่ที่เรือนตัวจย้า ยังคงรั้งอยู่ที่ห้องหลังฉากกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตั้งใจอ่านตำราทุกวันไม่หยุดไม่หย่อน “…งานแต่งระหว่างตระกูลหมิ่นกับตระกูลเฉิงก็ถูกกำหนดลงมาแล้ว จะตบแต่งกันในเดือนเก้าของปีหน้า ฮูหยินขอให้คุณชายใหญ่สวี่กลับไปอยู่ที่เรือนตัวจย้าหลายต่อหลายครั้ง คุณชายใหญ่สวี่ล้วนไม่ตกลง”

แต่เสี่ยวถานกลับทราบมาจากปากของสาวใช้ที่ติดตามมากับสื่อมามาว่า สภาพของเฉิงสวี่ย่ำแย่ยิ่งนัก ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ กลับไร้ชีวิตชีวาประหนึ่งคนที่ผ่านความขมขื่นระทมทุกข์มามากมายก็ไม่ปาน หยวนซื่อเคยมีปากเสียงกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเรื่องนี้หลายครั้ง อยากให้เฉิงสวี่กลับไปอยู่ที่เรือนตัวจย้า แต่ล้วนคอตกกลับไปทุกครั้ง กล้าเอ่ยคำพร่ำบ่นอยู่ตรงทางเดินเพียงสองประโยคเท่านั้น

โจวเสาจิ่นฟังแล้วยังคงสงบนิ่ง

เพียงแต่รู้สึกหดหู่เล็กน้อยที่เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวของเฉิงฉือเลย

ไม่รู้ว่าเขาจะหมั้นหมายอย่างกะทันหันเหมือนเฉิงสวี่หรือไม่

นางเอนตัวนอนครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่บนเตียง ชุนหว่านวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านบุตรเขยใหญ่มาเจ้าค่ะ กำลังคุยกับนายท่านอยู่ในห้องหนังสือ!”

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่าเขากำลังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงหรอกหรือ มาหาท่านพ่อทำไมกัน”

ชุนหว่านส่ายศีรษะ พลางกล่าว “ข้าเพียงได้ยินมาว่าเดิมทีท่านบุตรเขยใหญ่เตรียมตัวจะนั่งเรือกลับเจิ้นเจียง แต่ไม่รู้เหตุใดถึงมาที่เป่าติ้งก่อน”

เวลานี้ในชาติก่อน พี่เขยผูกผมกับขื่อตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างหนักอยู่ที่จิงเฉิง เหตุใดชาตินี้ถึงวิ่งมาที่เป่าติ้งอย่างกะทันหันได้

นางให้ซางมามาไปแอบฟังที่มุมผนัง

ไม่นานซางมามาก็กลับมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง เป็นเรื่องดีเจ้าค่ะ ท่านบุตรเขยใหญ่ได้ร่ำเรียนกับนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว ฟังจากความหมายของคุณชายใหญ่เลี่ยวแล้ว เป็นความช่วยเหลือของนายท่านสี่ฉือเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่เลี่ยวตั้งใจมาแจ้งข่าวให้ทราบ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ว่าหากใต้เท้าโจวยังไม่ทราบเรื่อง เวลาเจอนายท่านสี่จะไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณเลยสักครั้งเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านน้าฉือถึงไม่กล่าวอะไรเลยสักอย่าง”

แอบไปจัดการเรื่องที่นางกำลังทุกข์ใจอย่างเงียบๆ ไปแล้ว

เช่นนี้ก็เท่ากับว่าพี่สาวยืนได้อย่างมั่นคงในตระกูลเลี่ยวแล้วกระมัง!

นางติดหนี้เฉิงฉือเพิ่มมากขึ้นแล้ว

…………………………………………………………………………

[1] เทพยดาหมากู สัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลและชีวิตยืนยาว