ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 30-1 คุกเข่าเนิ่นนาน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

สายฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปราย ณ จวนซู

ในลานบ้านที่ว่างเปล่า ซูอวี๋อู่คุกเข่าอย่างเงียบงันอยู่ท่ามกลางสายฝน

เขาคุกเข่ามานานมากแล้ว หาไม่แล้วสายฝนบางเบาดังแท่งเข็มก็จะไม่ซึมเข้าไปในเสื้อผ้าจนเปียกปอนไปหมดดังนี้ น้ำฝนถึงกับหยดลงมาเป็นสายตามชายเสื้อของเขา เหมือนเป็นลำธารสายเล็กๆ กลายเป็นทางคิดเคี้ยวบนตะไคร่ที่เกาะอยู่ในลานบ้าน

บนบันไดหินห่างออกไปสามก้าว ชายคาที่ยื่นออกมาจากระเบียงทางเดินกันสายฝนเอาไว้ เว่ยเจิ้งอินจ้องมองบุตรชายอยู่ด้วยสีหน้าที่สับสนซับซ้อน แล้วเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงเฉยชาเป็นที่สุดว่า “วานนี้ท่านพ่อเจ้าก็ไปบอกกับท่านลุงบ้านซ่งเป็นการส่วนตัวให้แล้ว จะสำเร็จหรือไม่ ล้วนต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์ เจ้าก็ลุกขึ้นก่อนเถิด!”

ซูอวี๋อู่มีท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาพลันมีแววแห่งความยินดี แต่ในทันใดนั้นเขาก็ระงับอารมณ์แล้วเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อท่านแม่มากขอรับ”

ซ่งอวี่วั่งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วว่า “ทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว ไปเอ่ยปากขอแต่งงานที่บ้านซ่งให้แล้ว เจ้าจะยังคุกเข่าอยู่ทำสิ่งใด?”

“ลูกอยากกลับไปตงหู” ซูอวี๋อู่เอ่ยเสียงเบาทว่าหนักแน่น

“…” เว่ยเจิ้งอินนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะเย็นๆ คราวหนึ่ง แล้วตวาดกลับไปว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

นางระงับอารมณ์พลุ่งพล่านที่กำลังจะร้องไห้โฮออกมาเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ในเมื่อเจ้ายังคงเลอะเลือนเพียงนี้ เช่นนั้นก็จงคุกเข่าอยู่ที่นี่ พิจารณาตนเองให้ดีๆ ก็แล้วกัน!”

เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เว่ยเจิ้งอินก็หันตัวขึ้นไปบนระเบียงทางเดินโดยไม่แม้จะหันหน้ากลับมา และรีบกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็ว …เมื่อนางเข้าไป ประตูก็ถูกเหวี่ยงปิดอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงโทสะที่สุมในอกของนาง

ในลานบ้านเหลือเพียงซูอวี๋อู่คนเดียว เขาค่อนข้างผิดหวังที่มารดาสะบัดแขนเสื้อจากไป แต่ชั่วพริบตาเดียวความผิดหวังนี้ก็เลือนหายไป

เขายังคงคุกเข่าต่อไปเงียบๆ

เมื่อแอบมองเห็นภาพนี้จากช่องประตู เว่ยเจิ้งอินก็เดือดดาลจนมือสั่น น้ำขิงร้อนที่แม่นมฉวี่รินให้นางดื่มคลายหนาวถูกนางทำกระฉอกไปบนพื้นเกือบครึ่งหนึ่ง และไม่มีแก่ใจจะดื่มอีกแล้ว จึงวางไว้ข้างๆ เสียเลย พลางหันไปบอกกับแม่นมชวี่ว่า “แม่นมท่านดูเจ้าลูกอกตัญญูนี่สิ! ดูเจ้าลูกอกตัญญูนี่สิ!”

“ฮูหยินอย่างเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ ดื่มน้ำขิงสักคำก่อน สงบใจสักหน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมชวี่เอ่ยปลอบนางอย่างอ่อนโยน แต่คิ้วของตนกลับขมวดแน่นเข้ามา เห็นชัดว่าความแน่วแน่ของซูอวี๋อู่นี้ทำให้หญิงมีอายุทั้งสองหาความคิดดีๆ ไม่ได้เลย

 เว่ยเจิ้งอินถูกนางกล่อมหนแล้วหนเล่าจึงดื่มน้ำขิงไปอึกหนึ่ง ไม่มีแก่ใจไปคิดถึงคำพูดที่มักเอ่ยเป็นประจำว่าถ้าใส่น้ำตาลมากหน่อยปัญหาก็จะน้อยลงแล้ว แล้วเอ่ยต่อไปด้วยความเดือดดาลว่า “ข้าทำเวรกรรมอันใดไว้? ลูกชายดีๆ อยู่แท้ๆ แต่กลับส่งไปสังหารศัตรูแทนคุณบ้านเมืองที่หงตู เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ทำเอามีบาดแผลเต็มตัวจนเกือบจะสิ้นใจตาย! หากมิใช่เพราะท่านแม่มีบุญคุณล้นเหลือกับจี้ชวี่ปิ้ง วะ…วันหน้าข้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรแล้ว! สวรรค์เมตตาช่วยชีวิตเขากลับมาได้ แต่เขากลับยังหาเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้!”

อารมณ์พลุ่งพล่านเกือบจะร้องไห้โฮที่สะกดไว้ยามอยู่ต่อหน้าบุตรชายเมื่อถึงเวลานี้ที่สุดก็ระบายออกมาแล้ว เว่ยเจิ้งอินยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า เอ่ยพลางร่ำไห้หนักหนาว่า “คุณหนูผู้ดีเต็มเมืองหลวงเขาก็ไม่เอา ดันมาหมายปองบุตรสาวของ ลูกผู้พี่ซ่ง …ข้ากลับมิได้รังเกียจนางที่เคยเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทและเสียโฉมแล้ว แต่ผู้ใดจะไม่รู้ว่านางเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงรังเกียจ? ถ้าหากแต่งนางเข้ามา แล้ววันนี้มีการมีงานในราชสำนัก จะต้องพานางเข้าวังด้วยหรือไม่? การคบค้าสมาคมในงานพิธีต่างๆ นางจะเปิดเผยหน้าตาได้สะดวกหรือ?”

แม่นมชวี่ได้ฟังก็รู้สึกปวดร้าวใจ เอ่ยเสียงเบาไปว่า “ฮูหยินอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ไม่มีผู้ใด ให้บ่าวเอ่ยคำแสลงใจสักคำ… ฮ่องเต้พระชันษาสูงแล้ว แต่คุณชายและคุณหนูบ้านซ่งกลับยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว บางทีวันหน้าอาจไม่ต้องพะว้าพะวงเช่นนี้แล้วก็เป็นได้เจ้าค่ะ?”

“เขาเอาเรื่องที่จั้งเฟิงขัดความประสงค์ของที่บ้านเพื่อมาแต่งกับฉางอิ๋งและยามนี้ก็ยังอยู่กับอย่างดีมาเถียงข้า!” เวลานี้เว่ยเจิ้งอินไม่มีแก่ใจใดไปฟังคำที่แม่นมชวี่พูดแล้ว เพียงแต่สะอึกสะอื้นและระบายเอาคำพูดที่กดเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจออกมาจนหมดเท่านั้น “เขาก็ไม่คิดดูบ้างว่าสถานการณ์ของฉางอิ๋งในยามนั้นเหมือนกับของซ่งไจ้สุ่ยที่ใด? ฉางอิ๋งไม่ได้เสียโฉมนะ! ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เสื่อมเสียก็เพียงชื่อเสียงเท่านั้น และความจริงแล้วนางก็ไม่ได้เสียท่าอันใด! ยามนี้ก็มีกวงเอ๋อร์แล้ว พี่ใหญ่ก็กำลังจะหายป่วย วันหน้ายังจะมีผู้ใดกล้าวิจารณ์เรื่องนี้อีก? แต่รอยแผลของซ่งไจ้สุ่ยกลับตราอยู่บนใบหน้านางตลอดไป! ยิ่งไปกว่านั้นฉางอิ๋งก็ไม่ได้ถูกฮ่องเต้รังเกียจจนถึงขั้นไม่โปรดให้นางเข้าวังด้วย!”

“เรื่องเหล่านี้ก็ยังแล้วไป หากเขาต้องการจะแต่งเสียให้ได้ …ดีชั่วซ่งไจ้สุ่ยก็เป็นบุตรีจากภรรยาเอกของลูกผู้พี่ซ่ง นอกจากมีฐานะตระกูลเท่าเทียมกันแล้ว ตัวนางเองก็ไม่เลวเลย แม้การที่นางเสียโฉมจะทำให้เกิดคำครหานินทา แต่ด้วยฝีมือชั้นเชิงของเด็กผู้นี้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่าจะไม่ถูกคำหรหาโจมตีจนล้มได้ ส่วนเรื่องที่จะทำให้ซูอวี๋อู่พลอยลำบากไปด้วย …พวกเราล้วนแล้วแต่เขาแล้ว วานนี้ท่านพี่ก็ไปหารือกับลูกผู้พี่ซ่งด้วยตนเองมาแล้ว!” เว่ยเจิ้งอินปาดน้ำตา สะอื้นพลางว่า “แต่ไม่รู้ว่าเจ้าลูกคนนี้ไปถูกสิ่งใดครอบงำจิตใจ?! เพิ่งบาดเจ็บหนักหนาเพียงนั้นจากที่ตงหู พอข้าได้ยินข่าวแม้แต่ชีวิตตนก็ยังไม่เอาแล้ว ไม่แม้จะมีแก่ใจมาห่วงว่าฉางอิ๋งกำลังจะคลอด ขืนลากตัวจี้ชวี่ปิ้งเร่งเดินทางไปช่วยเขา …ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่สามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้ ยามนี้รอยแผลเขาเพิ่งจะหาย แต่กลับคิดแต่อยากจะเข้าสนามรบไม่ลืมเสียที?!”

เมื่อเทียบกับเรื่องที่ตัวเลือกสะใภ้ที่ซูอวี๋อู่หมายตาไม่เป็นดังใจ และเว่ยเจิ้งอินก็ทานความแน่วแน่ของบุตรชายไม่ได้จึงต้องตอบรับไปด้วยความกลัดกลุ้ม กลับเป็นเรื่องที่ซูอวี๋อู่ยืนกรานจะเดินทางไปแนวหน้าที่ตงหูต่อไปต่างหากจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เว่ยเจิ้งอินอยากกระอักเลือดสักหลายหน!

นางมีบุตรชายผู้นี้เพียงคนเดียว!

คราก่อนเพราะได้ฝีมือประเสริฐดังชุบชีวิตได้ของจี้ชวี่ปิ้ง จึงมิได้ต้องคนหัวขาวมาส่งคนหัวดำ แต่ยามนี้จี้ชวี่ปิ้งอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจวโน่น! หากซูอวี๋อู่เกิดเรื่องผิดคาดใดขึ้นมาอีก ต่อให้จี้ชวี่ปิ้งได้รับข่าวและออกเดินทางขึ้นเหนือไปทันที ระหว่างทางแสนไกลนี้ เกรงว่าเมื่อนางมาถึงแล้วก็คงทำได้เพียงให้ยาเก็บรักษาศพได้เท่านั้นแล้ว!

เพื่อยับยั้งความคิดที่บุตรชายจะไปรบต่อ ซูซิ่วเวยและเว่ยเจิ้งอินจึงพยายามพูดเหตุผลต่างๆ อย่างปากเปียกปากแฉะกระทั่งตีอกชกตัวเอาความตายมาบีบก็ยังไม่อาจสั่นคลอนจิตใจของซูอวี๋อู่ได้ กระทั่งเพื่อให้ได้รับคำอนุญาตจากบิดามารดา ซูอวี๋อู่ก็ไม่กลัวที่จะต้องคุกเข่าขอร้องอยู่ในลานบ้านเป็นเวลานาน

เขาเริ่มคุกเข่ามาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ครั้งนั้นซูซิ่วเวยโมโหเสียจนสะบัดแขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คุกเข่าไปเถิด! ดีชั่วพวกเราก็ให้กำเนิดเจ้าเลี้ยงดูเจ้ามา แค่เจ้าคุกเข่านานๆ ก็ไม่ถึงกับทำให้สิ้นบุญตายไปหรอก!”

ปรากฏว่าเช้าวานนี้ สองสามีภรรยาเปิดหน้าต่างออกมาด้วยความคับข้องใจนานา และเห็นว่าบุตรชายยังคงคุกเข่าอยู่ในลานบ้าน …อากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น กลางคืนน้ำค้างลงหนา แต่เขากลับคุกเข่าอยู่เช่นนี้หนึ่งคืนจริงๆ!

หลังจากซูซิ่วเว่ยปิดหน้าต่างลงด้วยสีหน้าเขี้ยวคล้ำ ก็คว้าเอาของประดับห้องชิ้นหนึ่งที่ปกติแล้วเขาโปรดปรานเป็นที่สุดขว้างลงกับพื้น!

เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านสามนี้ไม่อาจปิดบังบ้านใหญ่ที่คอยจับตาดูอยู่ได้ ยังไม่ทันเที่ยงวันของวานนี้ทั่วทั้งจวนก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว แม่เฒ่าเติ้งที่รักใคร่หลานๆ เป็นที่สุดถึงกับเร่งมาเกลี่ยกล่อมด้วยตนเอง นางเฉียนที่มาด้วยกลับยิ่งเติมเชื้อไฟด้วยคำพูดก้ำๆ กึ่งๆ ส่วนคุณหนูทั้งสองคนของบ้านสองก็ใช้ความเป็นลูกผู้น้องและอายุยังน้อยหาทางออดอ้อนรบเร้าเขา…

ทว่า ซูอวี๋อู่กลับเอ่ยกับแม่เฒ่าเติ้งเพียงไม่กี่คำว่าขอให้ท่านย่ารักษาสุขภาพและขอให้กลับไปที่เรือนหลักก่อน จากนั้นไม่ว่าผู้ใดจะมาเกลี่ยกล่อมมาตักเตือนมาด่าทออย่างไร เขาก็ล้วนนิ่งเงียบใส่

นิ่งเงียบจนทำให้ทุกคนได้แต่ต้องจากไปอย่างลำบากใจ

………………………………………….