ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 30-2 คุกเข่าเนิ่นนาน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

นิ่งเงียบจนทำให้หัวใจของซูซิ่วเวยและเว่ยเจิ้งอินเย็นเฉียบดังน้ำแข็ง

จวบจนเที่ยงวานนี้ เมื่อเห็นว่าซูอวี๋อู่ยังคงยืนกรานจะคุกเข่าต่อไป ด้วยเป็นกังวลว่าบาดแผลของเพิ่งจะหาย ร่างกายยังคงไม่ฟื้นคืนทั้งหมด เมื่อสองสามีภรรยาหารือกันเบาๆ เสร็จแล้ว ซูซิ่วเวยจึงถอนหายใจยาวๆ หนหนึ่ง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจากบ้านเพื่อไปหารือกับซ่งอวี่วั่งเรื่องการแต่งงาน

เว่ยเจิ้งอินจงใจรั้งรอไม่บอกข่าวนี้แก่บุตรชาย คิดว่าเขาคุกเข่ามาสองวันสองคืนแล้ว เวลานี้ก็น่าจะเห็นเหนื่อยจนสิ้นแรงแล้ว และเมื่อได้รับข่าวว่าไปเอ่ยเรื่องแต่งงานให้เขาที่ตระกูลซ่งแล้วก็จะมีทางให้ลงได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงจะถือโอกาสนี้ล้มเลิกความคิดจะไปตงหู… เว่ยเจิ้งอินหารือกับสามีแล้วก็มีความเห็นตรงกันว่า การแต่งงานกับตระกูลซ่งครานี้ให้แต่งได้ แต่ไม่มีทางปล่อยให้เขาไปตงหูอีกแล้ว!

เมื่อเทียบกับตำแหน่งประมุขตระกูลแล้ว แน่นอนว่าบุตรชายเพียงคนเดียวย่อมล้ำค่ามากกว่า!

ตอนที่นางเฉียนมาพร้อมกับแม่เฒ่าเติ้งเพื่อกล่อมให้ซูอวี๋อู่ลุกขึ้นนั้น เว่ยเจิ้งอินไม่มีทางประมาทต่อสายตาของนางเฉียนที่ไม่อาจปิดกั้นความสุขบนความทุกข์ของนางได้! ด้วยชื่อเสียงที่เกือบจะบีบสะใภ้จนตายของฮูหยินใหญ่ตระกูลซู่ผู้นี้ ทำให้เรื่องแต่งงานของซูอวี๋เหลียงบุตรชายที่เหลืออยู่ของนางมีอุปสรรคหนักหนา จนไม่มีทางเลือกต้องลดคุณสมบัติของตัวเลือกลงมา โดยไม่อาจหวังจะได้บุตรีจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์หรือเหล่าองค์หญิงและพระธิดา…แต่แม้จะเป็นดังนี้ เหล่าตระกูลใหญ่ที่สนใจเข้ามาขอเอ่ยเรื่องแต่งงานกับนางก็ยังมีไม่มาก

เพราะอย่างไรเหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่ได้โง่ เห็นชัดอยู่แล้วว่าซูอวี๋เหลียงไม่มีหวังกับตำแหน่งประมุข ..หากเขามีหวัง ตั้งแต่ซูอวี๋เซี่ยนล้มป่วยจนตาย ซูผิงจ่านก็ควรเริ่มบ่มเพาะบุตรจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่เช่นเขาเสียตั้งนานแล้ว ปรากฏว่าจนหลายมาผ่านมา ระหว่า ซูอวี๋เหลียงและซูอวี๋อู่ ซูผิงจ่านกลับยังคงเงียบงันอยู่ นี่เห็นชัดว่าเขาหมายตาบุตรชายของบ้านสามแล้ว แต่กลัวว่าจะทำให้บ้านใหญ่เสียหน้า และกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างทายาท

ประสาอะไรที่ซูอวี๋เหลียงยังพลาดโอกาสที่จะไปสร้างความชอบที่ชายแดนด้วย …แม่สามีที่อยู่ถัดขึ้นไปก็ไร้ความเมตตาเพียงนั้น ด้วยเหตุที่เขาต้องช่วงชิงตำแหน่ง ประมุขตระกูลกับซูอวี๋อู่ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าประมุขคนใหม่จะสร้างความลำบากให้เขาด้วยหรือไม่ ตนเองไร้อนาคต มารดาก็เคยมีตัวอย่างว่าทารุณลูกสะใภ้ มีแต่พวกโง่เท่านั้นจึงจะยกบุตรสาวให้แต่งกับบ้านใหญ่ตระกูลซู! ต่อให้เป็นแม่เลี้ยง แต่คนที่ไม่ได้มองเห็นบุตรสาวของภรรยาคนก่อนเป็นคนเช่นนางจางก็มีไม่มาก …ไม่ว่าอย่างไรหลิวรั่วอวี้ก็ได้รับอานิสงค์จากสถานะพระชายาองค์รัชทายาท ลำพังแค่สถานะนี้ผู้อื่นก็ไม่เหมาะจะต่อว่านางจางว่าไม่จัดการงานแต่งดีๆ ให้แก่ลูกเลี้ยงแล้ว

การให้บุตรสาวแต่งกับคนที่สูงศักดิ์กว่า มีผู้ใดบ้างที่ไม่หวังจะได้บุญบารมีไปด้วย ทว่าหากยกบุตรสาวให้แต่งกับซูอวี๋เหลียง กลับไม่มีข้อดีทั้งยังทำให้บุตรสาวต้องถูกรังแกด้วย คนบ้านใดจะยอมทำเรื่องเสียเปรียบเช่นนี้?

ท้ายที่สุดจึงยังเป็นแม่เฒ่าเติ้งมาออกหน้า และรับประกันหนแล้วหนเล่าเป็นการส่วนตัวว่าครานั้นนางเฉียนก็เพียงแค่เศร้าเสียใจไปชั่วขณะ หาใช่เป็นคนที่ทารุณลูกสะใภ้จริงๆ จึงสามารถหมั้นหมายบุตรีจากภรรยาเอกอีกผู้หนึ่งของตระกูลเผยนามว่าเผยลี่เหนียงให้แก่เขาได้ ซึ่งนางก็ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นเดียวกับสตรีในตระกูลเผยคนอื่นๆ หลังจากเผยเหม่ยเหนียงก่อเรื่องวุ่นวายครานั้น

ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าเผยลี่เหนียงผู้นี้เป็นพี่น้องแท้ๆ ของเผยเหม่ยเหนียงฮูหยินน้อยสี่ตระกูลเสิ่นที่เกิดจากบิดามารดาเดียวกัน และอ่อนกว่าเผยเหม่ยเหนียงสองปีเท่านั้น เมื่อมีพี่สาวของนางเป็นตัวอย่างอยู่ก่อนหน้า ทุกคนจึงพากันเดาว่าพี่น้องสองคนน่าจะมีนิสัยคล้ายคลึงกันบ้าง ฉะนั้นเรื่องแต่งงานของนางจึงหาได้ยากเย็นนัก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ฮูหยินหมิ่นก็ยังไม่ใคร่ยินยอมนัก ในตอนแรกนางก็ปฏิเสธแม่เฒ่าเติ้งไปว่า “บ้านข้ามีอันดับตระกูลต่ำต้อย บุตรสาวก็ด้อยประสบการณ์ ทั้งยังเป็นคนขี้ขลาด เกรงว่าเมื่อไปถึงเรือนท่านแล้ว และเห็นว่ามีกฎระเบียบเข้มงวดมากมายก็จะตกใจเอาเจ้าค่ะ”

เดิมทีแม่เฒ่าเติ้งก็เป็นคนใจดีอยู่แล้ว ยามนี้เพื่อการแต่งงานของหลานชายจึงทำได้แต่เพียงยิ้มสู้กับเด็กรุ่นหลังว่า “ความจริงแล้วบ้านข้าก็มิได้มีกฎระเบียบเข้มงวดรุนแรงอันใด หาไม่แล้วท่านก็ดูหลานสาวสองสามคนของข้าสิ มิใช่มีแต่คนสดใสร่าเริงกันทั้งนั้นหรอกหรือ?”

“ความรักใคร่ที่ฮูหยินเฉียนมีต่อบุตรสาวแท้ๆ ข้าเองก็เคยได้ยินมา และยิ่งได้ยินเสมอมาว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตานักเจ้าค่ะ” นางหมิ่นจงใจเน้นเสียวตรงคำว่า ‘บุตรสาวแท้ๆ’ คำนี้ แล้วว่า “เพียงแต่ฮูหยินเฉียนควบคุมสะใภ้อย่างเข้มงวดนัก ข้ากลัวว่าบุตรสาวบ้านข้าถูกข้าเลี้ยงดูจนเสียคนแล้ว อาจจะทนไม่ไหวเจ้าค่ะ”

ยามนั้นนางเฉียนก็อยู่ข้างๆ ด้วยและมีหลายครั้งที่ทนไม่ไหวจนอยากจะเอ่ยคำ แต่ก็ถูกแม่เฒ่าเติ้งถลึงตากลับไปอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยครั้งนัก …แม่เฒ่าเติ้งไม่มาห่วงหน้าตา พยายามพูดจาดีๆ อยู่เป็นนาน นางหมิ่นจึงยอมรับปากว่าจะกลับไปหารือกับสามีดูสักหน่อย

และการไปหารือครานี้ จึงรับปากเรื่องแต่งงานครานี้แล้ว ทว่าตระกูลเผยก็เสนอข้อเรียกร้องที่จะต้องเป็นตามคำขอเท่านั้น หาไม่ก็จะไม่ยอมรับการแต่งงานครานี้ นั่นก็คือ หลังจากสามีภรรยาแต่งงานใหม่ครบหนึ่งเดือน ซูอวี๋เหลียงก็ต้องไปรับตำแหน่งนอกเมืองและต้องพาเผยลี่เหนียงไปด้วย

ส่วนจะไปรับตำแหน่งก็ให้ตระกูลซูเป็นคนไปจัดการ ขอเรียกร้องของตระกูลเผยก็คือไมว่าจะเป็นขุนนางตำแหน่งใด ก็ห้ามอยู่ใกล้กับแถบชานเมือง! ยิ่งไปกว่านั้นระยะเวลารับตำแหน่งอย่างน้อยก็ต้องให้ได้สามปีห้าปี!

ซึ่งขอเรียกร้องนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าพวกเขาไม่เชื่อคำสัญญาของแม่เฒ่าเติ้ง และกลัวว่าหลังจากเผยลี่เหนียงแต่งเข้าบ้านมาแล้วก็จะถูกนางเฉียนข่มเหง ฉะนั้นต้องให้บุตรสาวและบุตรเขยไปอยู่เสียให้ไกลๆ เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้นางเฉียนคิดจะรังแกสะใภ้สิ่งที่นางจะทำได้ก็ยังมีข้อจำกัด สามปีห้าปีผ่านไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเผยลี่เหนียงก็ต้องมีบุตรธิดาสักคน เมื่อถึงยามนั้นค่อยกลับมาบ้านแม่สามี พอมีบุตรธิดาคอยช่วยหนุนหลังแล้ว …เมื่อคิดถึงความร้ายกาจกล้าได้กล้าเสียของเผยเหม่ยเหนียงพี่สาวของนางแล้ว ต่อให้นางเฉียนอยากจะข่มเหงนางก็มิใช่เรื่องง่ายแล้ว!

เป็นเพียงตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง แต่กลับกล้าโอหังเพียงนี้! นางเฉียนพลันโมโหเสียจนเกือบเป็นลมล้มพับไปกับที่! จึงวิ่งตรงไปที่เรือนหลักแล้วบอกกับแม่เฒ่าเติ้งว่าต่อให้บุตรีตระกูลเผยจะเพียบพร้อมเพียงใดนางก็ไม่เอาแล้ว! ปรากฏว่าแม่เฒ่าเติ้งมองนางด้วยสายตาเย็นเฉียบคราวหนึ่ง แล้วย้อนถามว่า “เจ้าไม่เอาบุตรีตระกูลเผย เพราะติดสินใจให้เหลียงเอ๋อร์ไปเลือกเอาจากตระกูลสายห่างๆ ของตระกูลใหญ่ที่ตกยากเช่นนั้นใช่หรือไม่?”

เมื่อถูกสาดด้วยน้ำเย็นอ่างหนึ่ง นางเฉียนจึงได้สติขึ้นมา หากมิใช่เพราะแม่เฒ่าเติ้งออกหน้าเอง เพียงแค่ฮูหยินทุกท่านได้ยินนางเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานก็รีบเฉไฉกันไปเรื่องอื่น และหากยังยืนกรานจะพูดต่อไป เหล่าฮูหยินก็จะพากันจากไปหมด…

ด้วยกรณีของเสิ่นจั้งจู ทั่วเมืองหลวงจึงมีคำพูดเป็นการภายในแล้วว่า ‘จะต้องเป็นบ้านที่ชิงชังเหล่าบุตรีของตนจึงจะไปแต่งกับบ้านของฮูหยินใหญ่ตระกูลซู’…

บุตรชายไม่อาจเทียบกับบ้านสามได้ สะใภ้ก็หมั้นหมายได้แค่คนระดับนี้ ในวันหมั้นหมายสองสามวันนั้นใบหน้าของนางเฉียนล้วนเย็นเฉียบจนเหมือนจะกลั่นเป็นหยดน้ำหยดลงมาได้ทีเดียว! ปรากฏว่าผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ซูอวี๋อู่ก็ก่อเรื่องขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงแค่คนที่เขาต้องการจะแต่งงานด้วยคือคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งที่ทุกคนต่างรู้ดีกว่าเป็นคนมีอุปนิสัยและกริยามารยาทดีงามแต่กลับเสียโฉมทั้งยังถูกฮ่องเต้รังเกียจเดียดฉันท์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยืนกรานจะกลับไปรบที่ชายแดนต่ออีก …เว่ยเจิ้งอินล้วนไม่จำเป็นต้องอาศัยหูตาไปสืบถามดูก็รู้ว่าเมื่อนางเฉียนแอบยินดีเรื่องนี้ ยามนางกลับไปก็จะต้องไปกราบไหว้อ้อนวอนฟ้าดินให้ซูอวี๋อู่ตายที่ตงหูให้ได้ไวๆ!

แล้วนางจะยอมให้นังพี่สะใภ้ตัวร้ายสมหวังได้อย่างไร?!

_____________________