ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 31-1 ผู้มาแนะนำเหนือความคาดหมาย

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เว่ยเจิ้งอินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ!

ในขณะที่แม่นมชวี่พยายามปลอบนางทุกวิถีทางก็ยังไม่อาจทำให้นางสงบลงได้ ข้างนอกก็มีคนมารายงานว่า “คุณหนูรองกลับมาเจ้าค่ะ ยามนี้อยู่ที่หน้าประตู บอกว่าอยากจะมาคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”

“อวี๋หลี?” เว่ยเจิ้งอินกำลังโกรธที่บุตรชายไม่ได้ความและพี่สะใภ้ใหญ่ก็มาซ้ำเติม เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาเยี่ยมบ้านมารดา ทั้งยังจะมาคารวะตนก็ไม่อยากพบนางเสียยิ่งนัก จึงสั่งไปว่า “บอกนางว่าเวลานี้ข้าเพลียนัก เจตนาดีของนางข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว อย่างไรก็ไว้คราวหน้าค่อยว่ากันเถิด”

พวกบ่าวก็รู้ว่าคุณชายห้าคุกเข่าอยู่สองวันสองคืนแล้ว ฮูหยินย่อมอารมณ์ไม่ดี จึงรับคำอย่างนอบน้อมและไปบอกกับซูอวี๋หลี

ทว่าผ่านไปไม่นาน บ่าวก็ย้อนกลับมาทั้งเหงื่อท่วมตัว แล้วรายงานไปอย่างจนด้วยเกล้าว่า “คุณหนูรองบอกว่าไม่ได้พบกับฮูหยินมาหลายวันแล้ว คิดถึงฮูหยินนักเจ้าค่ะ จะต้องเข้าพบฮูหยินได้จงได้เจ้าค่ะ”

“เหตุใดสองแม่ลูกนี่จึงเหมือนกันนักนะ ไม่รู้จักกาลเทศะสักน้อย?” ปกติแล้ว เว่ยเจิ้งอินไม่ได้มีทัศนคติที่ไม่ดีกับหลานสาวผู้นี้ แต่เวลานี้นางกำลังกลัดกลุ้มเพราะบุตรชายหนักหนา จึงอดจะด่าออกไปคำหนึ่งไม่ได้ แต่เมื่อคิดๆ ไปก็กังวลว่าซูอวี๋หลีอยู่ดีๆ เหตุใดจึงกลับบ้านแม่มาเสียแล้ว อย่าได้เป็นนางเฉียนจงใจเรียกนางกลับมาเพื่อเล่นเล่ห์ให้ตนขืนไล่นางกลับไป แล้วก็จะได้โพนทะนาไปทั่วว่าตนเองซึ่งเป็นอาสะใภ้สามไร้ความเมตตา …ที่สุดจึงอดกลั้นความโกรธแล้วบอกว่า “ในเมื่อนางมีใจกตัญญูเพียงนี้ เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด”

สักพักจากนั้นซูอวี๋หลีที่สวมเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนแคบปักลายกิ่งก้านและดอกเหมยบนพื้นสีส้มแดง คาดกระโปรงย้วยผ้าย่นหลิวเซียนฉวินก็เดินเข้ามาคารวะอาสะใภ้ในโถงเพียงลำพัง โดยให้สาวใช้และบ่าวที่พานางเข้ามาล้วนรออยู่ที่นอกประตู เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างราบเรียบให้นางลุกขึ้น ยังไม่ทันทักทายก็ถามไปว่า “เหตุใดวันนี้เจ้าจึงกลับมาเล่า?”

ซูอวี๋หลีสังเกตดูสีหน้าก็รู้ว่ายามนี้อาสะใภ้สามไม่ได้อยากพบตน จึงรีบยิ้มสู้แล้วว่า “สองสามวันนี้ข้าอยู่ว่างๆ คิดว่าไม่ได้พบคนที่บ้านมานานแล้ว จึงขออนุญาตแม่สามีกลับมาเยี่ยมสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“เวลานี้เจ้าออกเรือนแล้ว นับว่าเป็นคนบ้านเฉียนแล้ว ไม่เหมาะจะมาเท่าเหมือนกับตอนที่เจ้าเป็นบุตรสาวที่นี่” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างมีนัยยะสำคัญว่า “แม้ว่าแม่สามีจะพูดจาง่าย แต่หากกลับมาบ้านแม่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าพวกคู่สะใภ้จะบ่นเอา”

ซูอวี๋หลีวางตัวไม่ถูกพลางขอบคุณคำสอนสั่งของอาสะใภ้ เมื่อเห็นเว่ยเจิ้งอินจะพูดอีก ก็กลัวว่านางจะไล่ตนกลับไปอีก จึงรีบบอกว่า “ท่านอาสะใภ้เจ้าคะ หลานเพิ่งกลับมาก็ได้ยินเรื่องของน้องชายห้า?”

เว่ยเจิ้งอินปั้นหน้าไม่ค่อยไหว สักพักหนึ่งจึงบอกว่า “ข้าคิดว่าเจ้าก็คงมาด้วยเรื่องนี้ เจ้าลูกอกตัญญูนี่…ปล่อยให้เขาคุกเข่าไปเป็นดี เจ้าไม่ต้องสนใจเขา”

ซูอวี๋หลีฟังออกถึงน้ำเสียงประชดของอาสะใภ้เรื่องที่ตนเองบอกไปก่อนหน้าว่าจะมาคารวะอาสะใภ้ พลันหน้าแดงขึ้นมา ทว่าก็ยังบอกไปว่า “เมื่อครู่นี้ได้ยินท่านแม่และคนใกล้ตัวท่านแม่พูดคุยกันสองสามคำที่บ้านใหญ่เจ้าค่ะ ความเป็นมาโดยคร่าวหลานก็ทราบแล้ว …หลาน…กลับมีความคิดบางอย่างเจ้าค่ะ”

เว่ยเจิ้งอินตื่นตะลึงและรู้สึกยินดีขึ้นมาก่อน …เวลานี้นางรู้สึกค่อนข้างขัดเขิน ทั้งสงสารบุตรชายที่บาดแผลเพิ่งจะหาย ร่างกายก็ยังไม่ทันกลับมาแข็งแรงดังเดิมเลย ที่ต้องมาคุกเข่าอยู่สองวันสองคืนเช่นนี้ก็อย่าได้ล้มป่วยไปอีกเล่า เวลานี้จี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ก็ล้วนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเสียด้วย! แต่ก็ไม่ยอมรับปากให้ซูอวี๋อู่กกลับไปรบอีก เวลานี้จึงอยู่ในช่วงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นหนักหนา ไม่ว่าเป็นผู้ใดหรือต่อให้เป็นนางเฉียนจะมาเสนอความคิดให้นางทั้งกระแนะกระแหนกลายๆ นางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือหลายแล้ว…

เพียงแต่เมื่อคิดถึงนางเฉียน เว่ยเจิ้งอินก็รู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจว่า แม้จะบอกว่านางมีความรู้สึกที่ไม่เลวเลยกับซูอวี๋หลี แต่อย่างไรหลานสาวก็ยังเป็นหลานสาว ผู้ใดจะรู้ว่าเพื่อตำแหน่งประมุขตระกูลของน้องชายแท้ๆ แล้วซูอวี๋หลีจะอาศัยความรู้สึกดีๆ ที่บ้านสามมีต่อนางย้อนมาลงมือเอาสักหนหรือไม่?

ฉะนั้นนางจึงสะกดอารมณ์ แล้วเอ่ยถามไปอย่างราบเรียบว่า “หลีเอ๋อร์มีความคิดใดหรือ? รีบพูดมาให้อาสะใภ้ฟังสักหน่อยเถิด”

ซูอวี๋หลีจึงว่า “ได้ยินว่าสิ่งที่น้องห้าร้องขอในวันนี้มีสองเรื่อง เรื่องแรกคือแต่งซ่งไจ้สุ่ยเป็นภรรยา ส่วนอีกเรื่องคือเมื่อสุขภาพแข็งแรงดีแล้วก็จะไปรบที่ตงหูต่อ?”

เว่ยเจิ้งอินนิ่งเงียบ ซูอวี๋หลีจึงอดจะทำตัวไม่ถูกไม่ได้ สักพักหนึ่งจึงว่า “หลานจึงคิดว่าท่านอาสะใภ้สามมิสู้อนุญาตเรื่องที่น้องชายห้าร้องขอประการแรก จากนั้นค่อยเอาเรื่องแรกนี้ไปกล่อมให้น้องห้าล้มเลิกความคิดเรื่องที่สองเถิดเจ้าค่ะ”

“เจ้าคิดว่าข้าและท่านอาสามไม่ได้ทำเช่นนี้หรือ?” เว่ยเจิ้งอินขมวดคิ้ว ถอนใจพลางว่า “เพียงแต่เจ้าลูกอกตัญญูนั่น…เขาไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจสักเรื่อง!” หากบอกเขาว่าถ้าไม่ยอมรับปากว่าจะไม่ไปตงหูอีกจะไม่ยอมให้เขาแต่งซ่งไจ้สุ่ยเป็นภรรยาสามารถทำให้ซูอวี๋อู่ตระหนกตกใจได้ เรื่องนี้ก็แก้ไขไปได้ตั้งนานแล้ว!

ต้องรู้เสียก่อนว่าแม้ซูซิ่วเวยสามีภรรยาจะเอ่ยปากเช่นนี้ก่อนจะไปหารือเรื่องแต่งงานกับซ่งอวี่วั่ง และแม่เฒ่าเติ้งที่สงสารหลานชายหนักหนาก็รับปากเรื่องจะไปเอ่ยเรื่องแต่งงานกับตระกูลซ่งอย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว ส่วนเรื่องหลังนั้น …ฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งก็ตกใจแทบเป็นแทบตายที่หลานย่าได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน จึงคิดว่าต้องปฏิเสธคำเดียวเท่านั้น! แม่เฒ่าเติ้งจึงเคยเอาเรื่องไปขอแต่งกับตระกูลซ่งมาข่มขู่ซูอวี๋อู่แล้ว บอกว่าหากหลานไม่ยอมลุกขึ้น และไม่ยอมรับปากว่าจะไม่ไปตงหูแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่ไปสู่ขอซ่งไจ้สุ่ยให้เขา …แต่ซูอวี๋อู่กลับไม่หวั่นไหวแม้สักน้อย!

แม้ในใจจะรู้สึกว่าไม่แน่ว่าการที่ซูอวี๋หลีมาจะเป็นแผนการร้ายของนางเฉียนก็ตาม ทว่านางก็ยังหวังว่าบางทีหลานสาวผู้นี้จะมีเจตนาดี? เมื่อได้ยินคำเสนอแนะของ ซูอวี๋หลีจึงอดรู้สึกผิดหวังหนักหนาไม่ได้

แล้วได้ยินซูอวี๋หลีเอ่ยว่า “ท่านอาสะใภ้สามเจ้าคะ หลานหมายถึงไยไม่ไปหมั้นหมายคุณหนูใหญ่บ้านซ่งให้น้องชายห้าก่อน จากนั้นก็ขอให้คุณหนูใหญ่บ้านซ่งมาช่วยพูดกล่อมน้องชายห้าเล่าเจ้าคะ?”

“เรื่องนี้…?” เว่ยเจิ้งอินนิ่งอึ้ง

ซูอวี๋หลีอธิบายว่า “เรื่องของคุณหนูใหญ่บ้านซ่งนี้ ทุกบ้านในเมืองหลวงล้วนรู้กัน หลานไม่ได้บอกว่าคุณหนูใหญ่บ้านซ่งไม่ดี เพียงแต่…ในเมื่อน้องชายห้าไม่ได้ถือสาเรื่องเหล่านี้ และยืนกรานจะแต่งกับนางให้ได้ ก็คงเพราะชอบพอนางจากใจจริง ในเมื่อเป็นดังนี้ ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่บ้านซ่งอาจจะทำให้น้องชายห้าเปลี่ยนความคิดได้นะเจ้าคะ?”

นางก็กลัวว่าเมื่อพูดไปดังนี้แล้ว เว่ยเจิ้งอินจะรู้สึกไม่ดีต่อซ่งไจ้สุ่ย จึงรีบเสริมไปว่า “หลานไม่ได้บอกว่าฐานะของคุณหนูใหญ่บ้านซ่งในจิตใจของน้องชายห้าจะสูงกว่าท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามนะเจ้าคะ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลานเพียงแต่คิดว่าครานี้น้องชายห้าก็ทำผิดและแสดงท่าทีอย่างชัดแจ้งแล้ว ไม่ว่าคนที่บ้านจะพูดจาดีเช่นใดเข้าก็ไม่ฟังเข้าหู ไม่แน่ว่าหากเปลี่ยนคนเปลี่ยนวิธีพูดจาอาจสำเร็จก็เป็นได้นะเจ้าคะ? เพียงแต่น่าเสียดายที่พี่หญิงใหญ่และลูกผู้พี่หญิงเว่ยล้วนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หาไม่ก็จะขอให้พวกนางมาช่วยกล่อมและไม่ต้องไปรบกวน คุณหนูใหญ่บ้านซ่งแล้ว” นางจงใจยกเอา ซูอวี๋ลี่และเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นลูกหลานที่เว่ยเจิ้งอินรักมาเปรียบเทียบ เพื่อจะได้ลดความรู้สึกไม่ดีที่เว่ยเจิ้งอินอาจมีต่อซ่งไจ้สุ่ย

เว่ยเจิ้งอินขมวดคิ้วแน่น และเคลือบแคลงเป็นนักหนาว่านี่จะเป็นความคิดของนางเฉียนหรือไม่ ซูซิ่วเวยไปหารือเรื่องแต่งงานกับซ่งอวี่วั่ง ก็เพราะไม่รู้ว่าตระกูลซ่งจะรับปากหรือไม่ อีกประการสองสามีภรรยาก็ไม่ใคร่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานครานี้นัก ฉะนั้นจึงแทบทนรอให้ตระกูลซ่งปฏิเสธมาไม่ไหว จะได้ไปกล่อมให้ซูอวี๋อู่ตายใจเสีย ดังนั้นจึงยังไม่ได้ให้คนอื่นในบ้านรู้เรื่องนี้

นี่เพราะ…นางเฉียนกลัวว่าซูอวี๋อู่จะไม่ได้แต่งกับตัวเลือกที่น่าอึดอัดใจเหลือล้นเช่นซ่งไจ้สุ่ยหรือ? หรือเพราะมีแผนการใดอื่น?

นางรู้สึกไม่พอใจนัก เพียงแต่เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานใด หลานสาวอุตส่าห์วิ่งมาช่วยคิดหาทางให้ถึงบ้าน ถ้าตนเองไม่ใช้ก็ยังแล้วไป แต่หากด่าทอนางกลับก็จะทำให้เป็นขี้ปากคน ฉะนั้นจึงเพียงเอ่ยอย่างราบเรียบไปว่า “ข้ารู้แล้ว เพียงแต่เจ้าลูกไม่รักดีนี่มันน่าชังนัก! ให้เขาคุกเข่าต่อไปอีกสักพักก็ดีเช่นกัน”

………………….