เว่ยเจิ้งอินจึงให้ซูอวี๋หลีกลับไปอย่างง่ายดายดังนี้ โดยไม่ได้บอกว่าจะใช้หรือไม่ใช่วิธีของนาง
ซูอวี๋หลีกลับไปถึงบ้านใหญ่ พอเข้าประตูไปก็มีสาวใช้รุ่นเล็กเข้ามารายงานนางด้วยท่าทีหวั่นหวาดว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินใหญ่กำลังหาท่านเจ้าค่ะ! เมื่อได้ยินว่าท่านไปบ้านสามก็ไม่พอใจยิ่งเจ้าค่ะ”
จะเพียงแค่ไม่พอใจได้ที่ใด? หลังจากซูอวี๋หลีเข้าเรือนมาก็เห็นว่าแจกันที่เคยจัดวางไว้หน้าฉากกันลมคู่หนึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ใบเดียวยังไม่ว่า พรมที่พื้นก็เพิ่งจะเปลี่ยนมาใหม่ เห็นชัดว่ามารดาไม่เพียงไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นระเบิดอารมณ์เสียอย่างหนักอีกแล้ว นางถอนใจอยู่ในใจ แล้วเข้าไปคารวะนางเฉียนที่กำลังหน้าเขี้ยวคล้ำและจงใจไม่มองตนเองว่า “ท่านแม่!”
นางเฉียนเอ่ยกระแนะกระแหนว่า “ที่แท้ในสายตาเจ้าก็ยังเห็นว่าข้าเป็นแม่อยู่? ข้าก็นึกว่าท่านอาสะใภ้สามของเจ้าจึงจะเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้าเสียอีก!”
ซูอวี๋หลีเม้มปาก ก้มหน้าเอ่ยว่า “ลูกมิกล้าเจ้าคะ”
“เจ้าไม่กล้า? เจ้ามีอันใดไม่กล้ากัน! อุตส่าห์กลับมาเยี่ยมบ้านแม่ทั้งที ข้าก็สู้อุตส่าห์กุลีกุจอให้คนไปนึ่งของว่างที่เจ้าชอบกินที่สุดเอาไว้ ปรากฏว่าของว่างยังไม่ทันยกมา แม่ลูกสองคนยังไม่ทันได้พูดคุยกันดีๆ เจ้าก็วิ่งรี่ไปทักทายท่านอาสะใภ้สามของเจ้าที่บ้านสามเสียแล้ว!” นางเฉียนเอ่ยประชดประชัน “หากมิใช่ว่าเจ้าอ่อนกว่าอวี๋ลี่เพียงไม่กี่เดือน และในจวนก็ไม่ได้มีคนร่ำลือกันว่าท่านอาสะใภ้สามของเจ้าคลอดลูกแฝด ก็กลัวว่าเจ้าคงต้องสงสัยว่าความจริงแล้ว ท่านอาสะใภ้สามของเจ้าเป็นคนคลอดเจ้าออกมาแล้วกระมัง?! แต่แม้จะเป็นดังนี้ จิตใจเจ้าก็ยังคงเข้าข้างนาง! นี่ข้าข้าเลี้ยงบุตรสาวคนหนึ่งมาเสียเปล่าจริงๆ!”
“ท่านแม่…” ซูอวี๋หลีคิดอยากแก้ต่าง แต่นางเฉียนกลับไม่อยากฟังนางเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ระบายอารมณ์ออกมายกใหญ่ พอเหนื่อยแล้วจึงประคองตัวอยู่กับโต๊ะ ถามนางว่า “เจ้าไปพูดสิ่งใดกับนางเว่ยนั่น?”
ซูอวี๋หลีเอ่ยไปตามจริงว่า “ลูกไปเสนอความคิดว่าให้ท่านอาสามและ ท่านอาสะใภ้สามทำตามคำขอของน้องชายห้า ไปสู่ขอคุณหนูใหญ่บ้านซ่งมาเป็นภรรยา…”
นางยังพูดไม่ทันสิ้นความ นางเฉียนก็โมโหจนตบหน้านางไปหนหนึ่ง ตวาดด่าทอว่า “ใต้หล้านี้กลับมีคนเลอะเลือนที่เห็นขี้ดีกว่าไส้เช่นเจ้า! คุณหนูใหญ่บ้านซ่ง… ชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมของนางเป็นตระกูลซ่งสอนสั่งออกมาอย่างพิถีพิถันนัก! แม้จะเสียโฉมแล้วก็จะไม่มีทางช่วยเหลือสามีไม่ได้! ยิ่งไม่ต้องบอกว่านางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวในเจียงหนานถังรุ่นนี้ ทั้งยังเป็นบุตรีจากภรรยาเอก! ซ่งอวี่วั่งผู้นั้นก็คิดถึงภรรยาเก่าไม่ลืมเสียที หลายปีมานี้อย่าว่าแต่แต่งภรรยาใหม่เลย แม้แต่อนุสักคนก็ยังไม่มี! แล้วเจ้าว่าเขาจะรักใคร่บุตรสาวเพียงคนเดียวผู้นี้เพียงใด?! หากอวี๋อู่แต่งกับนาง แม้ครานี้อาจจะเสียผลประโยชน์ไปสักน้อย ทว่า ซ่งอวี่วั่งพ่อลูกล้วนยังอยู่ในวัยแข็งแรง แต่ ฮ่องเต้กลับแก่จนจะ….”
แรกเริ่มนั้นซูอวี๋หลีกำลังฟังคำสอนสั่งของนางอยู่ แต่เมื่อได้ยินคำก็อดจะตื่นตกใจยกใหญ่ไม่ได้ รีบเอ่ยยับยั้งว่า “ท่านแม่โปรดระวังคำเจ้าค่ะ!”
บ่าวทั้งเรือนล้วนกำลังดูกำลังฟังอยู่! แม้ไม่ว่าผู้ใดล้วนรู้ว่าฮ่องเต้พระชันษาสูงแล้ว ไม่แน่ว่าวันหน้าวันใดก็จะสวรรคตแล้ว จนถึงยามนั้น คุณหนูใหญ่บ้านซ่งก็จะไม่ต้องวางตัวลำบากเช่นนี้แล้ว ฉะนั้นหากว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องที่เป็นอุปสรรค์ของซ่งไจ้สุ่ยจริงๆ ก็ยังคือเรื่องที่นางเสียโฉม …ทว่าหากท่านเอ่ยออกมาดังนี้ แล้วเกิดมีคนพูดออกไป ก็เท่ากับว่าท่านสาปแช่งฮ่องเต้เชียวนะ!
ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์โฉดจริงดังว่า ทั้งทรงเกรงกลัวตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ยังเป็นฮ่องเต้! แผ่นดินนี้ก็ยังคงเป็นของตระกูลเซิน! ท่านมาสาปแช่งว่าพระองค์จะสิ้นอายุขัยเช่นนี้ แล้วพระองค์จะละเว้นท่านหรือ? ถึงยามนั้นแม้แต่ตระกูลซูก็ต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย!
นางเฉียนถูกบุตรสาวต้องทัดทานดังนี้ก็ได้สติขึ้นมา แล้วกวาดตามองรอบๆ อย่างเย็นเฉียบ …พวกบ่าวล้วนรู้ถึงความดุร้ายของนาง จึงต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นอย่างตื่นตระหนก ร่ำไห้ว่า “เมื่อครู่นี้พวกบ่าวไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”
นางเฉียนเอ่ยเสียงเย็นว่า “พวกเจ้าออกไปที่ห้องด้านข้างก่อน อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าพาคนไปคอยดูพวกนางเอาไว้ รอสักพักข้าจะไปจัดการ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั้งโถง …ทว่าก็ถูกอิ๋งเอ๋อร์บ่าวคนสนิทของนางเฉียนและพวกแม่นมคู่ใจขืนปิดปากและลากออกไป หลายคนในนั้นพากันร้องว่าขอให้คุณหนูรองช่วยชีวิตด้วย ซูอวี๋หลีขบริมฝีปากแล้วข่มใจหันหน้าหนี ท่าทีเช่นนี้ทำให้นางเฉียนรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็โมโหขึ้นมาอีกว่า “ยามนี้กลับรู้ว่าต้องโหดเหี้ยมขึ้นมาแล้วรึ? แล้วเหตุใดจึงได้เข้าข้างบ้านสามนัก? เว่ยเจิ้งอินถือดีว่าอวี๋อู่ได้ไปสร้างความชอบใหญ่หลวงที่ตงหู ยามนี้นางจึงคอยเลือกหาสะใภ้ด้วยมาตรฐานสูงลิ่ว จึงได้ดูแคลนคุณหนูใหญ่บ้านซ่ง! คนที่อายุเหมาะสมในตระกูลสูงศักดิ์ก็ไม่ได้มีมากมาย นอกจากซ่งไจ้สุ่ยแล้วก็มีตวนมู่ซินเหมี่ยว แต่หากว่ากันเรื่องเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวยังห่างไกลจากซ่งไจ้สุ่ยกี่ลี้! สะใภ้ที่เก่งกาจหลักแหลมเห็นแก่ส่วนรวมเช่นนี้ หากบ้านสามพลาดไปได้เป็นดีที่สุด! แต่เจ้ากลับยังไปช่วยเตือนนาง!”
เมื่อครู่นี้ ซูอวี๋หลีเพิ่งจะถูกตบหน้า แม้นางเฉียนจะสงสารบุตรสาวจึงไม่ได้ออกแรงนัก ทว่าเวลานี้ก็ไม่กล้าพูดต่อไปว่านางเสนอให้ท่านอาสะใภ้สามยอมให้ซูอวี๋อู่แต่งกับซ่งไจ้สุ่ย จากนั้นก็ให้ซ่งไจ้สุ่ยไปกล่อมไม่ให้ซูอวี๋อู่ไม่ไปตงหู จึงได้แต่เอ่ยเบาๆ ไปว่า “แต่แรกนั้น เพื่อให้ลูกได้แต่งงานกับท่านพี่ไวๆ เพื่อมิให้ท่านพี่ไปตงหูล่าช้า พี่หญิงใหญ่ก็….ต้องเสียหน้ามากแล้ว แต่ท่านอาสะใภ้สามและพี่หญิงใหญ่กลับไม่ได้ถือโทษลูก กลับกันก็ยังเข้าใจลูกยิ่งนัก ลูกจึงคิดว่ายามปกติก็ไม่มีเรื่องใดจะตอบแทน ท่านอาสะใภ้สามและพี่หญิงใหญ่ได้ ยามนี้พี่หญิงใหญ่ติดตามพี่เขยใหญ่ไปทำงานต่างเมือง น้องชายห้ามาเป็นดังนี้ …ลูกจึงไปช่วยปลอบโยนท่านอาสะใภ้สามสองสามคำแทนพี่หญิงใหญ่ก็เป็นการสมควรเจ้าค่ะ”
นางเฉียนยิ้มหยันพลางว่า “เจ้าไปปลอบนางแทนอวี๋ลี่? อวี๋ลี่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนาง แล้วเจ้าใช่รึ? ไม่รู้หรือว่านางจงเกลียดจงชังข้าเป็นที่สุด ยามนี้กำลังว้าวุ่นใจด้วยเรื่องของอวี๋อู่ เมื่อเห็นเจ้าไปหา นางไม่รำคาญใจก็ไม่เลวแล้ว แล้วยังจะเอาเจ้ามาเป็นตัวแทนของอวี๋ลี่! น่าขันสิ้นดี!”
ซูอวี๋หลีไม่กล้าโต้เถียงมารดา อึกอักอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยปากว่า “ท่านอาสะใภ้สามไม่ได้พาลมาโกรธลูกเจ้าค่ะ กลับเกรงอกเกรงใจยิ่งนัก”
“รั่วเฉียนไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า!” นางเฉียนสูดหายใจลึกคราวหนึ่ง “พี่น้องผู้ชายร่วมมารดาของเจ้าเวลานี้มีเพียงอวี๋เหลียงเขาก็มีเจ้าเป็นพี่สาวเพียงผู้เดียว หากเจ้าไม่คำนึงถึงเขา แล้วยังไปช่วยฝ่ายตรงข้ามของเขา เจ้าจะให้เขารู้สึกเช่นใด?”
ซูอวี๋หลีหน้าแดงหูแดง
นางเฉียนเห็นว่าบุตรสาวตอบออกมาไม่ได้ จึงผ่อนคลายน้ำเสียงลงแล้วพูดต่อไปว่า “เดิมทีอวี๋อู่รอดจากภัยคราก่อนมาได้ข้าก็ตายใจได้แล้ว! เหลือแต่เพียงคิดหาทางหาสมบัติให้อวี๋เหลียงอีกสักหน่อย วันหน้าเมื่อให้เขาไปทำงานนอกเมืองแล้ว ก็อย่าได้ถูกบ้านสามเหยียบจนจมดินเป็นพอ แต่ยามนี้อวี๋อู่มาทำเรื่องเลอะเลือนเสียเอง คราก่อนได้รับบาดเจ็บหนักหนาเพียงนั้น ดีที่จี้ชวี่ปิ้งเร่งไปถึงทันจึงสามารถรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้ แต่ยามนี้กลับไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตเอาไว้! ในเมื่อเขาอยากไปตายเอง นี่ก็เพราะสวรรค์ทนเห็นพวกเราบ้านใหญ่ถูกรังแกไม่ไหวจึงได้มาช่วยพวกเรา! เจ้าก็อย่าเอาแต่เห็นขี้ดีกว่าไส้หนแล้วก็หนเล่า!”
ซูอวี๋หลีฟังคำมารดาที่ไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อยว่าตนหวังให้ลูกผู้น้องสละชีพเพื่อบ้านเมืองในเร็ววัน นางพลันสั่นสะท้านไปทั่งตัว พึมพำไปว่า “ก็เพียงแค่ตำแหน่ง ประมุขตระกูลตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น น้องชายห้าก็เป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา ท่านแม่นี่ท่าน…ไยต้องเป็นเช่นนี้?”
“เจ้าจะไปรู้อันใด!” นางเฉียนเอ่ยอย่างเย็นเฉียบ “นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับลูกหลานรุ่นต่อไปเชียวนะ! หากวันนี้ข้าไม่ใจดำอำมหิต แล้ววันหน้าก็คอยต้องทนดูลูกหลานของบ้านเราไปเจียมเนื้อเจียมตัวกับพวกบ้านสามรึ?!” คำพูดนี้ของบุตรสาวทำให้นางไม่อาจวางใจได้จริงๆ จึงสั่งความไปว่า “เมื่อเจ้ากลับไปครานี้ หากไม่มีเรื่องใหญ่โตใดก็ไม่ต้องกลับมาบ้านแม่แล้ว! คนก็ออกเรือนไปแล้วแต่ยังชอบวิ่งกลับมาบ้านตนเอง แม่สามีและคู่สะใภ้ของเจ้าเห็นแก่ที่เป็นญาติกันจึงไม่ได้ต่อว่าเจ้า แต่ลับหลังก็จะครหานินทาว่าข้าไม่รู้จักสั่งสอนเจ้าให้ดี! รู้หรือไม่?”
นางฟังออกว่าเพราะมารดากลัวว่าตนเองกลับมาก็จะไปข้องแวะกับบ้านสามอีก ซูอวี๋หลีขบริมฝีปากอยู่เนิ่นนาน ที่สุดก็พยักหน้าต่อสายตาแข็งกร้าวของมารดา “ลูกรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
_______________