นางพลันพบว่าหมู่นี้เหยียลี่ว์ฉีดูจะซูบผอมลง คางแหลมกว่าเดิมเล็กน้อย ใต้ตามีรอยเขียวคล้ำเลือนราง ขนตาของเขาไม่ได้แผ่ยาวโค้งงอนแต่ดำขลับแน่นขนัดอย่างยิ่ง เบียดเสียดดุจใบพัด รัศมีโค้งใต้ดวงตาผุดเผยความอ่อนโยนที่ไม่อาจมีได้ในยามปกติ
คนคนนี้คล้ายมีนิสัยเลือดเย็นเฉยชาทว่าริมฝีปากเร่าร้อนอวบอิ่ม ขณะนอนหลับรัศมีโค้งเสมือนยิ้มแย้มแบบนั้นหายไปแล้ว ราบเรียบเม้มเล็กน้อย แลดูผ่องใสน่ารักใคร่หลายส่วน เพียงแต่หางตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเปล่งประกายสีดอกท้อที่บดบังไม่ได้
จิ่งเหิงปัวเบนสายตาออก เหยียลี่ว์ฉีตอนนอนหลับงดงามบริสุทธิ์แตกต่างจากความงดงามสง่าผ่าเผยในเวลาปกติ แต่ความหล่อเหลาของผู้ชายแทบไม่แตกต่างจากผู้หญิง ยิ่งงดงามยิ่งมีพิษร้ายแรง
นิ้วมือของเหยียลี่ว์ฉียังไขว่คว้าอยู่ มือเขาเริ่มกวาดมาทางมือของนางอย่างเชื่องช้า นางจึงลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกไปทันที
เคาะแค่ครั้งเดียวทำให้คนตายไม่ได้หรอก สลบไสลสักหนึ่งชั่วยามก็คงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว
ขณะที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั้น ที่นอกประตูพลันมีเสียงแปลกประหลาดหลายเสียงดังขึ้น
เสียงสั้นเจ็ดเสียงเสียงยาวหนึ่งเสียง ฟังดูแล้วคล้ายเสียงจิ้งหรีดร้อง แต่สภาพอากาศแบบนี้จะมีจิ้งหรีดมาจากไหน?
ท่วงท่าที่จะผลักประตูของจิ่งเหิงปัวกลายเป็นปิดประตูในทันทีเพราะว่าเสียงดังอยู่นอกประตู
ผ่านไปครู่หนึ่ง เศษกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาจากซอกประตู จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนคว้าเศษกระดาษมาไว้ในมือ
พอนางรับเศษกระดาษไว้ อีกฝ่ายก็ดั่งคล้ายเสร็จสิ้นภารกิจ จากนั้นมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอย่างยิ่งเฉียดผ่าน จิ่งเหิงปัวรอให้เสียงฝีเท้าหายไปแล้วถึงเปิดประตูออก มองเห็นแค่เงาด้านหลังที่รีบร้อนเข้าสู่ลานกลางแจ้งเงาหนึ่ง ดูท่าทางไม่แตกต่างจากลูกจ้างคนอื่น
นางไม่ได้ไล่ตาม หันกลับมามองดูเหยียลี่ว์ฉีที่ยังไม่ฟื้น เปิดเศษกระดาษในมือออก
‘ศาลเจ้าร้างยามจื่อ[1]ใต้แสงจันทร์ ฝนผ่านผันหวนคืนอย่าลืมเลือน’
ดูท่าทางคล้ายเป็นกระดาษเชิญนัดพบ จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่าที่มุมเศษกระดาษมีลวดลายสีทองดูคุ้นตา นางมองดูพลางเอียงเศษกระดาษไปมา สาดส่องแสงอาทิตย์ที่หักเหลงมาโดยไม่ตั้งใจ มองเห็นเงาเมื่อลวดลายนั้นสะท้อนบนกำแพง คล้ายเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง
พอมองดูโดยละเอียดอีกครั้ง ลวดลายนั้นคล้ายเป็นดอกชบาสีทองครึ่งดอก
จิ่งเหิงปัวนึกถึงสัญลักษณ์ที่มองเห็นบนรถม้าของเฟยหลัวในวันนี้ขึ้นมาทันที
โอ้? เฟยหลัวนัดพบเหยียลี่ว์ฉี? วันนี้นางมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีแล้ว? สังเกตเห็นตนเองด้วยหรือเปล่า?
จิ่งเหิงปัวอยากรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเฟยหลัวกับเหยียลี่ว์ฉีอย่างมาก…ตอนยังไม่ได้เข้าสู่ต้าฮวง เหยียลี่ว์ฉีเคยลักลอบเข้ากระโจมกงอิ้นเพื่อลอบสังหาร นางจำสีหน้าแปลกประหลาดของเขาตอนพบเจอเฟยหลัว อีกทั้งคำว่า ‘ท่านพี่’ คำนั้นของเฟยหลัวได้อย่างชัดเจน
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพับเศษกระดาษให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วยัดไว้ภายในซอกประตู เดินออกจากประตูพลางยัดหินก้อนเล็กไว้ตรงบานพับประตูนั้นแล้วปิดประตูลง
พอกลับสู่ภายในห้องของตนเองแล้ว นางก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเก็บกวาดน้ำกับซากงูออกไป ฉวยมือให้รางวัลเสี่ยวเอ้อร์เป็นเหรียญทองแดงครึ่งพวง แล้วกล่าวว่า “รบกวนน้องชายซื้อสิ่งของเหล่านี้กลับมาให้ข้า”
ผ่านไปไม่นาน เสี่ยวเอ้อร์ก็นำสิ่งของที่นางต้องการมามอบให้นางอย่างกระตือรือร้น กล่องใหญ่ใบหนึ่งเต็มไปด้วยชาดแดงแป้งร่ำ สิ่งของจำพวกแป้งโคลนและพู่กันขนแพะหลายด้าม ส่วนกล่องใหญ่อีกใบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า
“แม่นางต้องการแป้งร่ำทุกสีสันทั้งหมดที่มีในท้องตลาดนี้ ข้าน้อยวิ่งไปทั่วทั้งเมืองเพื่อตามหามาให้ท่านจนได้แล้ว” ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น
จิ่งเหิงปัวฉวยมือมอบเงินให้เขาเป็นรางวัลอีกครั้ง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “สามีของข้าไม่ชอบให้ข้าซื้อของพวกนี้ น้องชายอย่าลืมช่วยข้าเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไปอย่างยินดีปรีดา จิ่งเหิงปัวเปิดกล่องออกดู ก่อนจะเริ่มลงมือแต่งหน้า
กล่องเครื่องสำอางและสิ่งของทั้งหมดของนางถูกทิ้งไว้ที่ตำหนักอวี้จ้าว ตอนนี้จำเป็นต้องใช้สิ่งของที่มีในท้องตลาดแห่งนี้
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าคนหนึ่ง การเรียนรู้ว่าจะแต่งหน้าให้กลายเป็นอีกคนหนึ่งได้อย่างไรจึงเป็นทักษะที่จำเป็นเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นางมาถึงต้าฮวง นางก็เคยเรียนรู้การแปลงโฉมจากอาซั่นมาสักพักด้วย
พู่กันขนแพะแตะสีดำวาดคิ้วให้หนาเข้มขึ้น แป้งโคลนเปลี่ยนแปลงเค้าโครงจมูก เอ็นแพะเส้นบางฝังตรงหางตาให้หางตาดูยาวขึ้น แป้งร่ำหลากสีปั้นรูปเค้าโครงใบหน้าอีกครั้ง แป้งร่ำสีเข้มเปลี่ยนแปลงสีผิวใบหน้าและลำคอ จากนั้นลงแป้งให้เครื่องสำอางอยู่ทนอีกครั้ง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้หญิงที่ปรากฏในกระจกก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผิวสีน้ำผึ้งแลดูสุขภาพดี คิ้วหนาดวงตาเรียวยาว จมูกสูงโด่ง พอมองแล้วดูมีเสน่ห์แบบต่างแดน
บางครั้งศาสตร์การแต่งหน้าขั้นสูงก็มีประสิทธิผลในการแปลงโฉมด้วย ช่วยสร้างผลลัพธ์รูปโฉมที่แตกต่างจากเดิมด้วยการใช้แสงเงาและภาพลวงตา
นางถอดเสื้อผ้าบนร่างกายทิ้งไป แม้แต่ชุดชั้นในที่ใส่เป็นประจำยังถอดออกด้วย จากนั้นก็ใช้ผ้ารัดหน้าอกของสตรีต้าฮวงที่นางไม่เคยสนใจใยดีพันหน้าอกที่ตนเองภาคภูมิใจอยู่เสมอจนแบนราบเป็นครั้งแรก
บางครั้งลักษณะรูปร่างบางอย่างที่มองเห็นได้ชัดเจนเกินไปจะกลายเป็นลักษณะเด่นของแต่ละบุคคล พอดูไม่สะดุดตาแล้วจะทำให้คนเกิดภาพลวงตาเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนได้เช่นกัน
พันช่วงหน้าอกจนแบนราบ เสริมช่วงเอวให้อวบหนา ขยับเข็มขัดลงไปข้างล่างเล็กน้อย ลักษณะภายนอกกลายเป็นผู้หญิงที่ท่อนบนค่อนข้างสูงเพรียว รูปร่างแบนราบยังไม่เจริญเติบโตเท่าไร แต่เดิมหน้าอกและเอวของผู้หญิงเป็นจุดสำคัญในการสร้างทรวดทรงทั้งร่างกาย พอไม่มีอกไม่มีเอวแล้วจะแตกต่างกันอย่างมาก
ผู้หญิงในกระจกสวมเสื้อผ้าสีฟ้าทั้งร่าง ไม่สง่างามและไม่ซอมซ่อ ไม่อวบอ้วนและไม่อ้อนแอ้น ไม่นับว่างดงามล้ำเลิศแต่ก็ไม่อัปลักษณ์ ไม่ว่ามองจากมุมไหนเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา เดินไปตามถนนยังยากจะทำให้คนหันกลับมามองได้
จิ่งเหิงปัวดีดนิ้วครั้งหนึ่ง แสดงความพึงพอใจต่อฝีมือที่ยังอยู่ครบถ้วนของตนเอง
จากนั้นนางจึงฝึกปลอมเสียง เจ็ดสังหารเคยสอนทักษะบีบคอหอยเปลี่ยนเสียงให้นาง พวกเขามีทักษะความชำนาญยิบย่อยที่ใช้ประโยชน์ได้บ้างใช้ประโยชน์ไม่ได้บ้างเต็มไปหมด นางคิดจะค่อยๆ เรียนรู้ระหว่างทาง
ต่อไปแค่รอให้ฟ้ามืด
ตอนจื่อหรุ่ยมาส่งอาหาร นางก็เป่าตะเกียงจนดับแล้ว ห่มผ้าห่มนอนหันหลังให้จื่อหรุ่ยอยู่บนเตียง กล่าวว่าจะนอนสักพักแล้วค่อยกินข้าว อาหารสามมื้อของนางไม่เคยตรงเวลา จื่อหรุ่ยกลัวว่าจะรบกวนการนอนหลับของนางจึงไม่ได้ฝืนใจบังคับอะไร
จิ่งเหิงปัวนอนหลับต่อไปอีกสักหน่อย พอกลางดึกก็ลืมตาขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า
พิษที่เหลืออยู่ในร่างกายนางออกฤทธิ์บ่อยครั้ง พอออกฤทธิ์ทั่วร่างก็ไร้เรี่ยวแรง แต่ตอนนี้ยังพอสดชื่นอยู่ คิดดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหา
พอคำนวณว่าใกล้ได้เวลาแล้ว นางจึงฟังความเคลื่อนไหวข้างห้องของห้องถัดไปโดยละเอียด พลันได้ยินบานพับประตูดังแอ๊ดเสียงหนึ่ง
เสียงแผ่วเบามาก แต่ในค่ำคืนเงียบสงัดได้ยินชัดเจนอย่างยิ่ง
นางลุกขึ้นทันที หายตัวไปภายในห้องของเทียนชี่ที่อยู่ชั้นล่าง
เทียนชี่ยังไม่นอน หันหน้าหาแสงไฟเขียนบางอย่างอยู่ พอกะพริบตามองเห็นเบื้องหน้ามีคนเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง มือสั่นเทิ้มด้วยความตกใจ เศษกระดาษเบาบางแผ่นนั้นติดขึ้นมากับแขน ลอยสู่เปลวไฟบนเทียนไขแล้วมอดไหม้
จิ่งเหิงปัวมีเรื่องในใจจึงไม่ได้สังเกตเช่นกัน หัวเราะฮิๆ สองเสียงแล้วกระซิบว่า “นี่ ข้าเอง”
ไม่รอให้เทียนชี่ที่จำเสียงของนางได้ขานรับด้วยใบหน้าตื่นตะลึง นางก้าวขึ้นไปคล้องแขนของเขาไว้ กล่าวว่า “ไปสถานที่หนึ่งด้วยกันกับข้าหน่อย”
…
[1] ยามจื่อ (子时) หมายถึง กลางดึก ถือเป็นช่วงเวลาแรกในการนับเวลา โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 23:00-01:00 นาฬิกา