ตอนที่ 5 - 3 นัดพบใต้แสงจันทร์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เทียนชี่พาจิ่งเหิงปัวห้อตะบึงบนสันหลังคายามค่ำคืน ข้างหน้าคือเงาร่างโบกสะบัดพัดพลิ้วของเหยียลี่ว์ฉี

 

 

จิ่งเหิงปัวนอนอยู่บนหลังของเทียนชี่อย่างสบายอกสบายใจ ไม่มีภาระทางใจแม้แต่นิดเดียว เทียนชี่เก่งกาจวิชาตัวเบา เชี่ยวชาญการซ่อนเร้นร่องรอย ซ้ำยังมีนิสัยตามใจตนเอง เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือเวลาอยู่ร่วมกันกับเขาตามลำพังเหมือนอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง รู้สึกสบายใจ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมุ่งตรงไปยังชานเมืองคล้ายคุ้นเคยเส้นทางยิ่งนัก มองจากไกลๆ เห็นเขาหยุดลงตรงหน้าบ้านเรือนทอดยาวเหยียดแถวใหญ่แถวหนึ่ง บ้านเรือนเหล่านั้นชายคาสูงคานแข็งแรง กระเบื้องครามกระดิ่งทอง ดูท่าทางเป็นจวนตระกูลใหญ่โตแห่งหนึ่ง เพียงแต่บนกระเบื้องหลังคามีหญ้าขึ้นรกร้าง ส่วนใหญ่ชำรุดทรุดโทรม ดูคล้ายเจ้าของย้ายออกไปแล้ว

 

 

แขนเสื้อสีดำเหลือบเงินของเหยียลี่ว์ฉีพัดพลิ้วใต้แสงจันทร์ เงาร่างเลือนรางดั่งจะหลอมรวมสู่กลางไอควันเจือจางแห่งค่ำคืนนี้

 

 

ด้วยเพราะเขาหยุดลงแล้ว เทียนชี่ต้องลงข้างล่างหาสถานที่หลบซ่อนเรือนร่างเช่นกัน ตอนเขาเหินลงมา จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฝ่าเท้าของเทียนชี่พลันสั่นสะท้าน

 

 

“อะไรหรือ?” นางถามทันที

 

 

เทียนชี่ลงสู่พื้น ตรงนี้คือข้างถนน บริเวณใกล้กันมีศาลตี่จู๋เอี๊ยะเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาเอียงศีรษะมองดูศาลตี่จู๋เอี๊ยะที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด กุมท้องไว้โดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ข้าคล้ายจะปวดท้องนิดหน่อย…”

 

 

จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว กล่าวด้วยท่าทางบึ้งตึงว่า “เช่นนั้นรีบไปปลดทุกข์แล้วค่อยมา”

 

 

เทียนชี่ทั้งเดินทั้งวิ่งเข้าไปข้างหลังศาลตี่จู๋เอี๊ยะ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หยิบหน้ากากดินปั้นยื่นศีรษะออกมา เอ่ยว่า “ภายในศาลตี่จู๋เอี๊ยะแห่งนี้มีหน้ากากตี่จู๋เอี๊ยะวางบูชาอยู่ด้วย เจ้าดูสิข้าเหมือนท่านตี่จู๋เอี๊ยะหรือไม่”

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าเทียนชี่จะยังมีนิสัยเหมือนเด็กแบบนี้ เช่นนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมา โบกมือพลางกล่าวว่า “เหมือนๆ ท่านตี่จู๋เอี๊ยะ เจ้ารีบไปปลดทุกข์ก่อน ระวังเถิดเจ้าไปแย่งหน้ากากท่านซ้ำยังปลดทุกข์ข้างหลังท่านอีก ประเดี๋ยวท่านตี่จู๋เอี๊ยะตัวจริงจะเอาวิญญาณเจ้าไป”

 

 

เทียนชี่หัวเราะฮิๆ แล้วสวมหน้ากากบนใบหน้าตนเอง หดศีรษะกลับไป

 

 

จิ่งเหิงปัวหายตัวขึ้นสันกำแพง มองเห็นเรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีที่เหินลงตรงสิ่งปลูกสร้างกลุ่มนั้นพอดี

 

 

ดูท่าทางแล้วจุดหมายคงอยู่ที่นั่น

 

 

นางกำลังจะติดตามไป ทว่าข้างกายมีเงาคนกะพริบวูบ เทียนชี่ปรากฏกาย จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ ร้องขึ้นว่า “เร็วจัง”

 

 

เทียนชี่ไม่ได้เอ่ยวาจา อาภรณ์สีดำทั่วร่างพลิ้วไสว บนใบหน้ายังสวมหน้ากากตี่จู๋เอี๊ยะอันนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวตบหลังของเขา บอกใบ้ให้เจ้าคนนี้รีบนั่งยองลงมา นางจะปีนขึ้นไป

 

 

เทียนชี่มองนางปราดหนึ่ง

 

 

นัยน์ตาที่โผล่ออกมาจากหน้ากากดำขลับดุจค่ำคืนมืดมิด แสงมืดมนกะพริบวูบ

 

 

จิ่งเหิงปัวเขย่งเท้ามองทิศทางที่เหยียลี่ว์ฉีหายตัวไปอย่างมุ่งมั่น เร่งเร้าอย่างร้อนใจว่า “เร็วหน่อยๆ”

 

 

เทียนชี่นั่งยองลงมาอย่างเชื่อฟัง จิ่งเหิงปัวปีนขึ้นบนหลังของเขา ยามที่เทียนชี่ลุกขึ้นยืน สองมือก็จับเอ็นร้อยหวายของนางโดยสำนึก อุ้มนางเอาไว้

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อทันที

 

 

ระหว่างที่เหม่อลอยนั้นนางก็รู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางนี้ คุ้นเคยเสมือนได้สลักไว้ในชีวิต ทว่าได้ลบเลือนไปในชั่วพริบตา

 

 

แผ่นหลังใต้ร่างกายคล้ายแข็งทื่อเช่นกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวใจลอยไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะแล้วตบหลังของเทียนชี่ กล่าวว่า “เช่นนี้ถูกต้องแล้ว แบบนี้ข้าจะนั่งได้อย่างมั่นคง เมื่อครู่เจ้าไม่สนใจข้า ทำให้ข้าต้องพยายามกอดคอของเจ้าไว้เหนื่อยเหลือเกิน”

 

 

เทียนชี่คล้ายหัวเราะเล็กน้อย เกร็งข้อศอกแน่น แล้วทะยานขึ้นสู่ข้างบน

 

 

“อยู่ทางนั้น สันหลังคาหลังที่สาม” จิ่งเหิงปัวตั้งใจบอกทาง

 

 

ครู่ต่อมาสองคนก็ตามมาถึงจุดหมาย หมอบอยู่บนสันหลังคาชะโงกหน้ามองลงไป ข้างล่างมีวัชพืชขึ้นแน่นขนัด จิ้งจอกป่าหนูขนเสี้ยนปรากฏกายอย่างต่อเนื่อง ที่นี่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างอย่างที่คิดเอาไว้ ดูจากรูปแบบของสิ่งปลูกสร้างแล้วข้างล่างน่าจะเป็นศาลบรรพชนเก่าแก่ที่ตระกูลใหญ่โตสร้างไว้เซ่นไหว้บูชาภายในจวน ตระกูลนี้น่าจะย้ายออกไปแล้ว ศาลบรรพชนแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางลานกว้าง ไม่ได้เข้าสู่ศาลบรรพชน

 

 

ที่กลางศาลบรรพชนพลันมีเสียงพิณแว่วมา

 

 

เสียงพิณเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างฉับพลันดุจแจกันเงินแตกร้าว รบกวนความเงียบสงัดยามราตรีนี้ ทั้งจิ้งจอกทั้งหนูในลานบ้านพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง เศษไม้ใบหญ้าเหินว่อน

 

 

จิ่งเหิงปัวตกใจจนคิ้วกระตุกเช่นกัน ก้มหน้ามองกระเบื้องหลังคา…มีคนอยู่ใต้กระเบื้องแผ่นนี้เอง!

 

 

คืนนี้แสงจันทร์มัวสลัว จันทร์เสี้ยวดั่งตะขอสาดแสงครามเจือจางสาดส่องกลางลานบ้านพาให้หญ้ามืดครึ้มแน่นขนัด สัตว์ปีกบินเฉียดผ่านพงหญ้าดังสวบสาบ ทว่ายิ่งทำให้ค่ำคืนนี้อ้างว้างวังเวงมากขึ้น ส่วนเสียงพิณสะอึกสะอื้น ฟังดูน่ากลัวมากขึ้นหลายส่วน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้เข้าไปภายในนั้น เขาเงี่ยหูฟังเสียงพิณ หัวคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย แสงจันทร์วูบไหวอยู่บนแก้มของเขา ทั้งเยือกเย็นทั้งขาวซีดหลายส่วน

 

 

เสียงพิณเริ่มถี่กระชั้นขึ้นดั่งกำลังเร่งเร้า ประตูศาลบรรพชนพลันถูกลมพัดจนเปิดออกดังพลั่ก เหยียลี่ว์ฉีเชิดสายตามองไป พริบตาหนึ่งนั้นสีหน้าซับซ้อนยากจะอธิบาย

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูใบหน้าครึ่งซีกรำไรในแสงจันทร์ของเขา คิดอยู่ว่าเขาคงไม่ได้มองเห็นวิญญาณสาวชุดแดงหรอกมั้ง?

 

 

ครู่ต่อมา เหยียลี่ว์ฉียกเท้าก้าวเข้าศาลบรรพชนจนได้ จิ่งเหิงปัวฟังตำแหน่งเสียงพิณพลางขยับตามอย่างเงียบเชียบ หวังจะรื้อกระเบื้องข้างกายออกเพื่อแอบมอง

 

 

มือข้างหนึ่งพลันกุมหลังมือของนางไว้ ขัดขวางการกระทำขั้นต่อไปของนาง จิ่งเหิงปัวชะงักหันหน้ากลับมา เทียนชี่ที่อยู่ข้างหลังกำลังขยับกายเข้ามาขัดขวางนาง ริมฝีปากของนางเฉียดผ่านติ่งหูของเขาพอดี

 

 

เทียนชี่นิ่งงัน

 

 

ภายใต้แสงจันทร์ จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าติ่งหูของเขาแดงซ่านขึ้นมาแทบจะทันที

 

 

ติ่งหูขาวนวลประหนึ่งลูกปัดหยกพลันแดงก่ำกลายเป็นพริกฝรั่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน ฉากนี้ยังคงคุ้นเคยเหลือเกิน จนทำให้ช่องทรวงอกของนางแทบจะเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน อดจะขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

เทียนชี่ขยับร่างกายหลบหลีกเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น สายลมเฉียดผ่านจากชายคาเขียวมุมนั้น พัดสยายผมยาวดำขลับข้างจอนผมของเขา ผุดเผยลำคอทรวดทรงเรียบลื่นผืนหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวแหงนหน้ามองดูเขา ก่อนรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่าครู่หนึ่งนี้ เทียนชี่ที่ยังสวมหน้ากากท่านตี่จู๋เอี๊ยะน่าขบขันมีลักษณะท่าทางสูงส่งเลิศล้ำ

 

 

จากนั้นนางก็หลุดหัวเราะ…หน้าตาแบบเทียนชี่น่ะหรือ? ช่างมันเถอะ

 

 

นางยื่นนิ้วมือออกไป หัวเราะพลางจิ้มตัวเขาแล้วชี้ไปยังกระเบื้องหลังคาข้างล่าง บอกใบ้ว่าเช่นนั้นเจ้าช่วยหน่อยสิ

 

 

เล็บแวววาวเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่ได้ทายาทาเล็บ สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบยิ่งนัก เพียงแต่ด้วยเพราะพิษยังไม่หายไป ตรงรอยเสี้ยวพระจันทร์บนเล็บจึงเจือด้วยสีม่วงเล็กน้อย

 

 

แววตาของเทียนชี่เฉียดผ่านนิ้วมือของนาง จากนั้นก็พยักหน้า โน้มกายลงอย่างแผ่วเบา นิ้วมือวาดผ่านบนกระเบื้องหลังคา

 

 

ที่ซึ่งฝ่ามือวาดผ่านมีควันธุลีกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา กระเบื้องหลังคาหายไปแล้ว

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงพบว่ามีกระเบื้องหลังคาหลายแผ่นแตกร้าว ถ้านางรื้อมันออกโดยตรงต้องเกิดเสียงดังแน่นอน

 

 

วรยุทธ์ของเทียนชี่คราวนี้ไม่เลวเลย นางยกนิ้วโป้งขึ้นมากดไลก์ แล้วชะโงกหน้าลงไปมอง

 

 

ภายห้องมีวิญญาณสาวชุดแดงอยู่จริง…อ้อ ไม่ใช่ ผู้หญิงคนหนึ่ง

 

 

ผู้ที่ดีดพิณคือเฟยหลัวอย่างที่คิดเอาไว้ ทว่ายามนี้พิณถูกผลักไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว เฟยหลัวยกเท้าทั้งสองข้างขึ้น หดขาวางไว้บนโต๊ะวางพิณ ท่วงท่าดุจดั่งสาวน้อยที่กำลังมองดูเหยียลี่ว์ฉีด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง

 

 

เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่ตรงหน้าพิณนั้น เอื้อมมือประเดี๋ยวดีดสายพิณประเดี๋ยวหยุดยั้ง

 

 

“ท่านพี่” คำเรียกขานคำแรกที่ออกจากปากเฟยหลัวทำให้จิ่งเหิงปัวขนลุกอีกครั้ง

 

 

พอมองสีหน้าสนิทสนมไร้เดียงสาประหนึ่งสาวน้อยบนใบหน้าของเฟยหลัวที่อยู่ภายใต้แสงไฟเหลืองสลัวแล้ว นางก็อดจะสั่นเทิ้มไม่ได้

 

 

ทว่าเทียนชี่ที่อยู่ข้างหลังคล้ายนึกว่านางกำลังหนาว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงปลดผ้าคลุมสั้นสีดำบนร่างกายมาคลุมไว้บนไหล่นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักเล็กน้อย หันหน้ากลับไปมอง แวบหนึ่งมองเห็นเทียนชี่กรีดกรายนิ้วมือด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์พอดี เช่นนั้นก็อดจะหัวเราะไม่ได้

 

 

มองไม่ออกเลยว่าบางครั้งเจ้าคนนี้จะละเอียดอ่อนเหมือนผู้หญิงด้วย

 

 

ใต้กระเบื้องหลังคา เฟยหลัวกำลังเอื้อมมือกวักมือเรียกเหยียลี่ว์ฉี ร้องว่า “ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงไม่เดินเข้ามาเล่า”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีดีดพิณเรื่อยเปื่อย ไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ เอ่ยขึ้นว่า “นัดพบกลางดึกเพียงเพื่อคุยเล่นกับข้าหรือ?”

 

 

“ไม่ได้หรือ?” เฟยหลัวเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนว่า “นับดูสิว่าพวกเราไม่ได้สนทนากันมานานเพียงใดแล้ว? ยามอยู่ตี้เกอ ขนาดอยู่ใกล้กันถึงเพียงนั้น ทว่าท่านกลับหลบหน้าข้าเสมอ ปล่อยให้ข้าโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ต่างแคว้น ท่านช่างใจร้ายยิ่งนัก”

 

 

‘ใจร้าย’ สองคำเปล่งออกมาจากริมฝีปากแดงอย่างแผ่วเบา ไม่คล้ายต่อว่าแต่คล้ายเชื้อเชิญ

 

 

“โดดเดี่ยวเดียวดาย?” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะ เอ่ยว่า “เป็นความโดดเดี่ยวเดียวดายที่ครึกครื้นยิ่งนัก”

 

 

“ท่านกำลังเกลียดชังกล่าวโทษข้าหรือ…” เรือนร่างของเฟยหลัวโน้มข้ามตัวพิณเข้ามาอย่างอ่อนช้อย เหยียลี่ว์ฉีจึงเดินถอยก้าวหนึ่งโดยพลัน ยืนอยู่ท้ายพิณนั้น

 

 

เฟยหลัวไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน นางถือโอกาสทำท่วงท่าบิดขี้เกียจ ทัดจอนผม ยิ้มแย้มโปรยเสน่ห์ เอ่ยว่า “ท่านน่ะ…นิสัยเย็นชามากขึ้นทุกวัน”

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มทว่าไม่เอ่ยวาจา สีหน้าเร่งเร้าชัดเจน

 

 

เฟยหลัวคล้ายทำอะไรเขาไม่ได้ จำเป็นต้องเข้าสู่หัวข้อหลัก เอ่ยว่า “วันนี้ข้าอยู่ในรถม้ามองเห็นท่านยืนอยู่ข้างทางยังนึกว่าตาฝาดไป ท่านก็ควรไปทางแคว้นอวี่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงโผล่มาแคว้นเซียงได้ อะไรกัน หรือทะเลาะกับตระกูลอีกแล้ว? หรือว่าเพียงแค่ไม่อยากกลับบ้าน?” สองมือของนางไขว้กัน กอดเข่าไว้ ยิ้มแย้มเงยหน้ามองเขา เอ่ยสืบต่อว่า “จริงสิ ไม่ใช่ว่าคิดถึงข้าเลยมาหาหรอกกระมัง?”

 

 

จิ่งเหิงปัวเห็นว่าท่วงท่านี้บีบรัดหน้าอกได้ดียิ่ง เสียดายว่าเฟยหลัวได้ตรงนั้นมาน้อยเหลือเกิน

 

 

สายตาของเหยียลี่ว์ฉีล่องลอยอยู่เพียงบนตัวพิณ เสียงสายพิณใต้นิ้วดังติงๆ ตังๆ ไม่พบเห็นความวุ่นวายใจ เอ่ยว่า “หากเจ้าคิดว่าใช่ เช่นนั้นคงใช่”

 

 

“หรือว่าท่านรู้ว่าแคว้นเซียงนี้กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หวังกวนน้ำให้ขุ่นสักหน่อย?” มุมปากของเฟยหลัวโค้งขึ้นดุจมวลผกาภายใต้แสงไฟ ทว่ากลางแววตาไร้ซึ่งรอยยิ้ม

 

 

“หรือจะเอ่ยเช่นนั้นก็ย่อมได้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเช่นกัน ใต้นิ้วมือเวียนวนค่อยๆ กลายเป็นท่วงทำนองหงส์เกี้ยวหงส์[1]

 

 

เพียงแต่ยามนี้ผู้ใดจะมีอารมณ์มาฟังเพลง แววตาของเทียนชี่เปล่งประกายวิบวับ จิ่งเหิงปัวฟังไม่ออกเลยแม้แต่น้อย รู้สึกแค่ว่าเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ น่ารำคาญอย่างยิ่ง รบกวนการแอบฟังของนาง

 

 

เฟยหลัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยอมแพ้ กระทืบเท้าอย่างหนักหน่วง ร้องว่า “ท่านพี่ พวกเราอย่าได้เอ่ยวาจาอ้อมค้อมกันอีกเลย วันนี้ข้าเพิ่งกลับสู่แคว้นเซียงแล้วตรงมาหาท่านโดยพลัน ท่านคงรู้ว่าต้องมีเรื่องราวเร่งด่วนเป็นแน่ ข้าจะเอ่ยเพียงเรื่องสำคัญ บัดนี้ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบชั่วคราว ส่วนข้าเองพบเจอวิกฤตกาล ท่านมาช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“โอ้?”

 

 

“หากท่านช่วยข้า ข้าย่อมมีสิ่งตอบแทน” เฟยหลัวเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอเพียงข้าแก้ไขวิกฤตกาลยามนี้ กำจัดยงซีเจิ้ง เป็นเสนาหญิงแคว้นเซียงอย่างมั่นคงหรือก้าวสู่ตำแหน่งอีกขั้นหนึ่งได้ พอถึงยามนั้น ข้าจะช่วยท่านต่อต้านกงอิ้น แย่งชิงอำนาจของท่านที่ถูกกงอิ้นกุมเอาไว้โดยตลอดกลับคืนมาให้ได้!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะ เอ่ยว่า “โอ้? ยามนี้เจ้าไม่ใช่เสนาหญิงแคว้นเซียงหรอกหรือ? เช่นนั้นยามข้าถูกกงอิ้นขัดขวาง ราวกับไม่เคยเห็นเจ้าช่วยเหลือข้านะ”

 

 

สีหน้าของเฟยหลัวเก้อเขินเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าไม่มีโอกาสไม่ใช่หรืออย่างไร? ท่านน่ะคอยหลบหน้าข้าตลอดเวลา บัดนี้แตกต่างจากคราวนั้นแล้ว แคว้นเซียงคืออาณาบริเวณของข้า ข้ามีวิธีช่วยให้ท่านได้ล่วงรู้ความลับสำคัญเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกงอิ้นด้วย…”

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านขึ้นมากะทันหัน

 

 

สัมผัสเศษกระเบื้องข้างกายแผ่นหนึ่งจนดังแกร็ก

 

 

แม้เสียงแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดเจน จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แล้ว ขณะกำลังคิดจะหายตัวไป นางก็ถูกเทียนชี่ที่อยู่ข้างหลังหิ้วขึ้นมาโอบไว้ในอ้อมแขน เหินกายถอยหลังไปแล้ว

 

 

เขากอดจิ่งเหิงปัวไว้พลางเหินวูบไปข้างหลัง นิ้วมือสะบัดเพียงครั้ง ผ้าคลุมสั้นสีดำบนร่างของจิ่งเหิงปัวร่วงหล่นลงบนช่องโหว่ที่ถูกรื้อออกพอดี

 

 

ใต้กระเบื้องหลังคา เฟยหลัวเงยหน้าขึ้น ร้องว่า “เสียงใดกัน!”

 

 

 

 

 

 

[1] หงส์เกี้ยวหงส์ เพลงที่ซือหม่าเซี่ยงหรู (กวีสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ผู้สร้างรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า “ฟู่ 赋” เชี่ยวชาญการบรรเลงพิณโบราณ) บรรเลงเพื่อบรรยายความในใจที่มีต่อจั๋วเหวินจวิน (บุตรสาวของเศรษฐีจั๋วหวังซุน)