ตอนที่ 5 - 4 นัดพบใต้แสงจันทร์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ศาลบรรพชนเพดานสูง แสงไฟมืดสลัว พอช่องโหว่ถูกผ้าสีดำคลุมไว้ ดูท่าทางไม่แตกต่างจากกระเบื้องหลังคามากนัก นางหรี่ตาลง มองไม่ออกไปชั่วขณะ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีพลันโน้มกายเล็กน้อย จับคางของนางไว้ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้าดีดพลาดไปเสียงเดียว เจ้าต้องตกใจขนาดนี้เชียวหรือ?” เขาหยุดไปชั่วครู่ น้ำเสียงเจือด้วยความหดหู่หลายส่วนเอ่ยว่า “เฟยหลัว เจ้ายังทำท่าทางตกใจเช่นนี้อยู่อีก มองแล้วพาให้ข้ารู้สึกว่าจริงใจเหลือเกิน สนิทสนม…เหลือเกิน”

 

 

เฟยหลัวชะงัก เบนสายตามองเขาอย่างเชื่องช้า จากนั้นสายตาพวยพุ่งด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น

 

 

หลายปีมานี้ นางพยายามเอ่ยถึงเรื่องราวครั้งเก่ากับเขานับครั้งไม่ถ้วน พยายามฟื้นคืนความทรงจำนุ่มนวลที่เขามีให้ในยามนั้น หวังได้เติมเต็มรอยร้าวใหญ่โตที่การจากลาและการตัดเยื่อใยเหล่านั้นได้ฝากฝังไว้ ทว่าอาจจะด้วยเพราะยามนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือด้วยเพราะไอเหน็บหนาวคราวนั้นสะท้านถึงกระดูกเนิ่นนานแล้ว รอยยิ้มแย้ม ความเหินห่าง การหลบหน้าและการหลบเลี่ยงของเขาลอยล่องเวียนวนดั่งไอควันกลุ่มหนึ่ง พาให้นางจับต้องไม่ได้เสมอมา

 

 

ทว่ายามนี้ ได้ฟังเขาเอ่ยขึ้นมาก่อนจนได้

 

 

“ท่านพี่…” นางพลันค่อยๆ แนบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเขาอย่างซาบซึ้งใจ เอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ แท้จริงแล้วพอไม่มีท่าน หลายปีมานี้ในใจของข้าโศกเศร้าระทมทุกข์ตลอดมา…”

 

 

จิ่งเหิงปัวกับเทียนชี่ยังยืนแข็งทื่ออยู่บนชายคา

 

 

นางถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของเทียนชี่ แขนทั้งสองข้างของเขาโอบเอวของนางไว้ ไอร้อนของทั้งสองฝ่ายแผ่ซ่านออกมารำไร ภายในสมองของนางรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ

 

 

รู้สึกตกใจจากเมื่อครู่บางส่วนและรู้สึกงงงวยกับตอนนี้บางส่วน

 

 

ทว่าหลังจากผ่านไปพริบตาหนึ่งนางจึงได้สติขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วจิ้มข้อมือของเทียนชี่ วันนี้ยัยกะเทยบ้าคนนี้เป็นอะไรไป

 

 

พอจิ้มลงไปก็รู้สึกว่าแขนของเขาแข็งแกร่งแต่อบอุ่นเหลือเกิน

 

 

นิ้วมือของนางค่อยๆ หยุดชะงักลงคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง

 

 

เขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย รีบเร่งปล่อยนาง ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันอย่างงงงวยอยู่ชั่วครู่ จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนทิศทาง นั่งยองๆ ข้างช่องโหว่อย่างเงียบเชียบอีกครั้ง

 

 

ผ่านไปสักพักเทียนชี่ถึงตามมาด้วย ผมยาวยุ่งเหยิงเล็กน้อยท่ามกลางสายลม

 

 

ทว่าบรรยากาศการสนทนาข้างล่างแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

“ท่านพี่…” เฟยหลัวผลักพิณออกไปในครั้งเดียว พุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเหยียลี่ว์ฉี เอ่ยว่า “ยามนั้นข้าทรยศความเชื่อใจของท่าน หันหลังออกจากตระกูล เป็นความผิดของข้าเอง ท่าน…ท่านจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่…”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีนิ่งเงียบ สีหน้าขาวกระจ่างเล็กน้อยใต้แสงเทียน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “เจ้ามีฐานะเป็นบุตรสาวบุญธรรม ไม่เต็มใจพึ่งพาอาศัยตระกูล พอมีโอกาสที่ดีกว่าจึงหวังหลุดพ้น แต่เดิมแม้กระทำผิดพลาดทว่าต่อว่ามิได้ เพียงแต่หากเจ้าต้องการการยกโทษ ไม่ต้องมาเอ่ยกับข้าก็ได้ เจ้าควรจะเอ่ยกับพี่สวินหรูถึงจะถูกต้อง”

 

 

สีหน้าของเฟยหลัวซีดเผือดเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้ารู้สึกผิดต่อพี่สวินหรูเช่นกัน…”

 

 

“ข้ากับพี่สวินหรูเห็นเจ้าเป็นน้องสาว ไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นบุตรสาวบุญธรรม พอยามนั้นเจ้าร้องห่มร้องไห้ขอร้องพวกเราเช่นนั้น พวกเราจึงช่วยเหลือเจ้าสุดกำลัง…” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีแผ่วเบาลง เอ่ยว่า “โชคร้ายนักยามนั้นสวินหรูประสบเคราะห์กรรมด้วยเพราะเจ้า โชคดีนักนางไม่รู้เลยว่าเป็นเจ้าที่ทำร้ายนาง”

 

 

“ข้า…ข้า…” เฟยหลัวก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เอ่ยว่า “…ยามนั้นข้าหลงผิดไป…”

 

 

จิ่งเหิงปัวชูนิ้วกลางอยู่ข้างบนอย่างเงียบเชียบ การแกล้งร้องไห้ก็ต้องอาศัยทักษะเหมือนกันนะ จะจริงใจสักหน่อยได้ไหม?

 

 

“ข้ากลายเป็นนักโทษของตระกูลเพราะเจ้าเช่นกัน” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ทว่าได้เห็นเจ้าก้าวหน้าราบรื่น เลื่อนตำแหน่งสูงส่ง จากฐานะเด็กหญิงกำพร้ากลายเป็นเสนาหญิงแคว้นเซียง นับเป็นเรื่องปลอบใจเรื่องหนึ่ง”

 

 

จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าวาจานี้ผิดปกติอย่างยิ่ง พอรวบรวมข้อมูลจากบทสนทนาของทั้งสองคนจะพบว่าแต่เดิมเฟยหลัวน่าจะเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ของเหยียลี่ว์ฉีรับเลี้ยงไว้ ฉะนั้นนางจึงเรียกเขาว่าพี่ชายแต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะยังเคยมีช่วงเวลาหยอกเย้าเล่นด้วยกันตั้งแต่วัยเด็กสักพักหนึ่ง จากนั้นพอเฟยหลัวเติบโตขึ้น อาจไม่เต็มใจเป็นแค่ลูกสาวบุญธรรมที่ไม่เป็นที่รู้จักในตระกูลใหญ่โต ประจบสอพลอพึ่งบารมีผู้มีอิทธิพลหวังจะได้หลุดพ้นจากตระกูล แต่การหลุดพ้นของนางคงไม่ค่อยมีเกียรติศักดิ์มากเท่าไร เช่น ออกเรือนเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นอะไรประมาณนั้น ตระกูลเหยียลี่ว์ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่โตต้องไม่อนุญาตแน่นอน ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกัน ตอนนั้นเหยียลี่ว์ฉีคงปกป้องเฟยหลัวแต่ผลลัพธ์น่าเศร้า แน่นอนว่าเฟยหลัวไม่ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์นี้ สุดท้ายนางก้าวหน้าในตำแหน่งอย่างแท้จริง

 

 

แต่เรื่องเหยียลี่ว์ฉีเป็นนักโทษของตระกูลคุ้มค่าให้นางคาดเดา ถ้าเป็นนักโทษของตระกูลแล้วทำไมถึงให้เขาเป็นตัวแทนของตระกูลเหยียลี่ว์ออกมาเป็นราชครูฝ่ายซ้าย? แต่ในทางกลับกัน เหมือนว่าก่อนหน้านี้ แม้ตระกูลเหยียลี่ว์จะมีคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตี้เกอแต่คนตระกูลเหยียลี่ว์โผล่มาเข้าร่วมการเมืองในราชสำนักน้อยมาก หลายครั้งหลายคราวเหยียลี่ว์ฉีต่อสู้อยู่เพียงลำพัง ตระกูลเหยียลี่ว์ส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ที่แคว้นอวี่ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิม พอมองมุมนี้แล้ว ดูเหมือนมาชดใช้ความผิดจริงด้วย…

 

 

“ท่านพี่…” เฟยหลัวพลันดั่งคล้ายยากจะยับยั้งความรู้สึก ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเหยียลี่ว์ฉีอย่างรุนแรง กอดเขาเอาไว้แนบแน่น “ช่วยข้า…ช่วยข้าด้วย…”

 

 

การสะอึกสะอื้นเจือด้วยเสียงร้องไห้สั่นเครือภายในค่ำคืนเงียบสงัด การขึ้นลงเปลี่ยนผันของทำนองเสียงคล้ายผ่านการขัดเกลาและการหล่อหลอม ดุจคับแค้นใจดั่งครวญคราง ฟังแล้วพาให้ทั่วร่างคล้ายจะมึนชาสั่นเทิ้มตามไปด้วย จิ่งเหิงปัวลูบแขนตนเอง มองดูเทียนชี่ที่อยู่ข้างกาย เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย สายตามีแสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับ

 

 

เจ้าคนนี้ควบคุมตัวเองได้ดีแฮะ…

 

 

ทว่าหากเปลี่ยนเป็นเหยียลี่ว์ฉีคงไม่แน่ว่าจะควบคุมตนเองได้ เคียงคู่ตั้งแต่เยาว์วัย นวลนางอยู่ในอ้อมแขน เรื่องราวครั้งเก่าพรูพรั่ง ร่ำไห้ดั่งดอกสาลี่ต้องฝน จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มเล็กน้อยว่าอีกเดี๋ยวถ้าเกิดฉากต้องห้าม ตนเองจะเสี่ยงอันตรายเลิกผ้าสีดำที่คลุมช่องโหว่ออกแล้วแอบดูหรือเพียงแค่ฟังสักหน่อยก็พอแล้ว…

 

 

เสียงของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างล่างทุ้มต่ำแผ่วเบาคล้ายคล้อยตามไปด้วยจนได้ เอ่ยว่า “ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

 

 

เฟยหลัวได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายของเขาก็เงยหน้าอย่างดีใจ รีบเร่งเอ่ยว่า “ง่ายดายยิ่งนัก สังหารยงซีเจิ้งก็พอแล้ว ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาหลบซ่อนเก่งยิ่งนัก หากเป็นเรื่องเล็กน้อยจะไม่ยอมก้าวออกจากจวน เพียงเข้าออกจวนต้องมีองครักษ์นับร้อยเคียงข้าง การลอบสังหารยากจะประสบความสำเร็จ ทว่ายามเขาสมรสคงไม่อาจหลบซ่อนต่อไปได้ องค์หญิงลดพระองค์สมรสด้วย ตามกฎเกณฑ์แล้ว ในวังจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ท่านเข้าร่วมงานกับข้า พอถึงยามนั้นข้าอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ท่านหาโอกาสช่วยข้าจัดการเขา พวกเรายังฉวยโอกาสโยนความผิดไปให้จี้อีฝานได้ด้วย เขาชื่นชอบองค์หญิงเหอหว่านมานาน ทว่าด้วยเพราะความสัมพันธ์เฉกเช่นสหายกับยงซีเจิ้ง อีกทั้งเหตุผลทางลำดับอาวุโสจึงยอมแพ้ด้วยตนเอง นอกจากยงซีเจิ้งแล้ว เขาคือผู้มีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งมหาเสนาบดีที่แข็งแกร่งที่สุดในราชสำนักแคว้นเซียง ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัวพอดี ตัดรากถอนโคนเขาไปด้วยเสียเลย!”

 

 

“โอ้? แผนดี” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เช่นนั้น ข้าควรเข้าร่วมงานเลี้ยงกับเจ้าในฐานะใดเล่า แน่นอนว่าหากใช้ฐานะดั้งเดิมของข้าคงไม่ได้”

 

 

“เช่นนั้น…พี่ชายน้องสาว?” เฟยหลัวชำเลืองตามองสีหน้าของเขา

 

 

“เจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ภูมิหลังของเจ้าไม่ใช่หรือ?” รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีไม่คล้ายรอยยิ้ม

 

 

“เช่นนั้น…คู่หมั้น?” เฟยหลัวพลันเอ่ยความคิดที่แท้จริงของตนเองออกมา

 

 

เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองนาง มุมปากกระหวัดขึ้นอย่างเชื่องช้า

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังแล้วเบะปาก…ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผู้หญิงคือชอบคิดเข้าข้างตัวเอง

 

 

นางพลันรู้สึกว่าผิดปกติ ข้างกายเหมือนมีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า มองเห็นคนคนหนึ่งปีนขึ้นมาข้างกายนางกะทันหัน นัยน์ตาหรี่ขึ้นเล็กน้อยคล้ายเมาสุราคู่หนึ่งกำลังพินิจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

 

 

ไม่ใช่เทียนชี่!

 

 

ความคิดของจิ่งเหิงปัวยังไม่ทันผ่านพ้น บนศีรษะก็มีเสียงดัง ฟิ้ว! เสียงหนึ่ง สายลมพัดผ่าน เทียนชี่ลงมือแล้ว

 

 

เจ้าคนที่ปรากฏกายอย่างฉับพลันคนนั้นเหินเลียบตามแนวราบ อาภรณ์พลิ้วไหว เรือนร่างบิดพลิ้วกลางอากาศอย่างแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง เอื้อมมือมาคว้าหน้ากากของเทียนชี่

 

 

เทียนชี่พลันเหินร่างหลบหลีก หันกายครั้งหนึ่งพลิกคว่ำเป็นรัศมีโค้งแปลกประหลาด มือพลันยื่นออกมาจากฝ่าเท้าของคนผู้นั้น คว้าข้อเท้าของเขาไว้แล้วเหวี่ยงไปข้างนอก

 

 

คนผู้นั้นถูกเหวี่ยงออกไปปานแผ่นกระดาษ แกว่งไกวไร้ซึ่งสรรพเสียงปานปุยขาวของเมล็ดหลิวด้วยเพราะสายลม เพิ่งจะถูกเหวี่ยงออกไปนอกขอบเขตหลังคา ปลายเท้าของเขาฉวยโอกาสเกี่ยวต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ฝั่งหนึ่งไว้ พลิกตัวกลับมาอีกดังฟิ้ว ฝ่ามือกวาดสายลมเพียงครั้ง วาดมาทางหน้ากากของเทียนชี่เช่นเดิม

 

 

เทียนชี่กระโจนหลบหลีกอีกครั้ง เรือนร่างล่องลอยขึ้นมาดุจไอควัน พลิกไปตามแผ่นหลังของเจ้าผู้นั้น

 

 

สองคนสู้กันจนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนกระเบื้องหลังคา จิ่งเหิงปัวมองอย่างตื่นตะลึง…ทั้งสองคนกลัวว่าข้างล่างจะรู้ตัวจึงยั้งมืออยู่ภายในขอบเขต เพียงแค่แสดงวิชาตัวเบาจนเลิศล้ำ ทั้งคู่คล้ายสู้กันสะท้านฟ้าสะเทือนดินแต่ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย ไม่แตะต้องแผ่นกระเบื้องแม้เพียงแผ่นเดียว ไม่ได้สะบั้นแม้แต่หญ้าแห้งหลายต้นที่อยู่ในซอกกระเบื้องเก่า ใต้แสงจันทร์เห็นเพียงเงาดำเงาครามพลิกผันดั่งเมฆา จับคู่กลายเป็นกลุ่มก้อน พอมองนานไปจนเคลิบเคลิ้มพาให้นึกว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงไอควันที่สู้รบพัวพันกันสองกลุ่ม

 

 

พอมองนานเข้า จิ่งเหิงปัวค่อยๆ มองเห็นหนทางแล้วเช่นกัน การลงมือของเทียนชี่ยังคงยอดเยี่ยมกว่าเจ้าคนที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับคนนั้นมากนัก แต่ความพะว้าพะวังของเขามีมากยิ่งกว่า เขาส่งเสียงออกมาไม่ได้ ต้องปกป้องนาง ซ้ำยังต้องปกป้องหน้ากากของตนเองด้วย

 

 

ขนาดจิ่งเหิงปัวยังมองออก แขกที่ไม่ได้รับเชิญย่อมมองออกเช่นกัน เรือนร่างพลันหันพุ่งย้อนกลับมา พลิกมือคว้ามาทางจิ่งเหิงปัวในครั้งเดียว

 

 

เทียนชี่ตื่นตระหนก กะพริบกายพุ่งเข้ามาโดยพลัน เจ้าผู้นั้นหัวเราะสนุกสนาน มือที่คว้ามาทางจิ่งเหิงปัวหดกลับไปคว้าหน้ากากของเทียนชี่อีกครั้ง

 

 

เทียนชี่หลบหลีกอีกครั้ง เจ้าผู้นี้พุ่งมาทางจิ่งเหิงปัวอีกครั้ง เอื้อมมือไปลูบใบหน้าของนาง เทียนชี่เฉียดมาปานสายฟ้าแลบ นิ้วมือของเจ้าผู้นั้นเฉียดผ่านแก้มของจิ่งเหิงปัว พลิกกายเพียงครั้งหมอบลงบนพื้น ยกมือเพียงครั้ง พยายามคว้าหน้ากากของเทียนชี่อย่างไม่ลดละ

 

 

เทียนชี่ได้แต่หลบหลีกอีกครั้ง พอเจอแบบนี้หลายต่อหลายครั้งคล้ายเริ่มเดือดดาลขึ้นมาจริงแล้ว แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวพลันรู้สึกว่าอากาศรอบด้านผนึกแน่นขึ้นมากะทันหัน ในเวลาเดียวกันเรือนร่างของเจ้าคนที่ลื่นไถลดั่งมัจฉาแหวกว่ายผู้นั้นพลันชะงัก นิ้วมือห้านิ้วของเทียนชี่คว้าลงมาดุจตะขอแล้ว

 

 

เจ้าผู้นั้นเพียงทันได้สะบัดแขนเสื้อแขนเสื้อ ยิงตะปูเหล็กตัวหนึ่งออกมา พุ่งสู่กลางหน้าผากของเทียนชี่พอดี จากนั้นหลับตารอคอยความตาย

 

 

เสียง แกร็ก! ดังขึ้นแผ่วเบา จิ่งเหิงปัวมองเห็นรอยร้าวเล็กน้อยปรากฏบนหน้ากากของเทียนชี่

 

 

เรือนร่างของเทียนชี่หยุดชะงัก จากนั้นดั่งคล้ายถูกโจมตี เรือนร่างล้มหงายหลังลงไปในพุ่มไม้หลังห้อง

 

 

จิ่งเหิงปัวตกใจ…ตะปูเหล็กตัวนั้นทำร้ายเขาหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้นะ?

 

 

เพิ่งคิดจะพุ่งเข้าไปดู ได้ยินข้างล่างตวาดเสียงหนึ่งว่า “ผู้ใด!”

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ ตั้งใจมองคนทะเลาะวิวาทกันมากเกินไปจนลืมไปเลยว่าข้างล่างมีคนอยู่ด้วย เสียงตะปูเมื่อครู่คงถูกได้ยินแล้วแน่นอน

 

 

เจ้าคนนั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันยิ้มแย้มให้นาง

 

 

ยามเขายิ้มแย้ม ดวงตาเป็นรัศมีโค้ง งดงามยิ่งนัก

 

 

แต่ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ สังหรณ์ว่าแย่แน่

 

 

ไม่รอให้นางหลบหนีไปได้ เจ้าคนนั้นเอื้อมมือผลักนางอย่างคล่องแคล่วแผ่วเบา

 

 

จิ่งเหิงปัวร่วงลงไปดังสวบ

 

 

พริบตาหนึ่งนี้นางไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น รีบเร่งหายตัวครั้งหนึ่ง ตนเองจะได้ไม่ร่วงลงไปตาย

 

 

ปฏิกิริยาแรกของนางหลังจากยืนนิ่งคือแอบก่นด่าอยู่ในใจว่าครั้งหน้าพี่จะถลกหนังเจ้าคนนี้ให้ได้เลย!

 

 

ปฏิกิริยาต่อมาคือเงยหน้า ยิ้มแย้มให้เหยียลี่ว์ฉีที่มองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้ม ซ้ำยังยิ้มแย้มให้เฟยหลัวที่มองดูนางอย่างตื่นตระหนก

 

 

“เจ้า…” เฟยหลัวชี้มาที่นาง สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย พอรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น กลางแววตาพลันมีไอสังหารกะพริบวูบ

 

 

“นาง…” เหยียลี่ว์ฉีพลันคิดจะเอ่ยปาก

 

 

“เหตุใดว่าที่สามีของข้าต้องยอมสวมรอยเป็นสามีให้เจ้าด้วย?” จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า คล้องแขนของเหยียลี่ว์ฉีอย่างเป็นธรรมชาติ กล่าวว่า “ข้าทำเองได้นะ”