เดิมทีสายตาเย็นเยือกของเขาจับจ้องที่เส้นโค้งงดงามนั่นแล้วหรี่ตาลง ริมฝีผากเผยอยิ้ม

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องจับเจ้าไว้ก่อนแล้ว เสี่ยวไป๋”

 

 

ก่อนที่จะทำให้เหยื่อเชื่อง สิ่งแรกที่ต้องทำคือจับให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ฝึกสอน การจะลิ้มชิมรสชาติที่เลอเลิศใดๆ ย่อมต้องจ่ายด้วยความยากลำบาก

 

 

ง่ายและหยาบคายก็ใช่ว่าจะไม่ดี

 

 

ดูเหมือนเขาจะไม่มีฝีปากในการหาคู่

 

 

จึงต้องใช้กำลังขั้นเด็ดขาด เพื่อให้ได้มาซึ่งการสยบอย่างหมอบราบคาบแก้ว

 

 

เขาหันไปดึงศาสตราสองชิ้นจากบนผนัง โยนอันหนึ่งให้ชิวเยี่ยไป๋ ยิ้มน้อยๆ “ยังไม่รู้ว่าเจ้าชอบอาวุธชนิดใด เพื่อความยุติธรรม เราใช้อาวุธชนิดเดียวกัน ข้าจะต่อให้เจ้าสิบกระบวนท่า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่แขวนตัวกลางอากาศคว้าอาวุธไว้ ชักออกดู ที่แท้เป็นมีดสั้นในแขนเสื้อที่จัดทำอย่างประณีต คมมีดเป็นประกายเย็นเยียบ เบาบางคล่องตัว เหมาะอย่างยิ่งกับการต่อสู้ระยะประชิด

 

 

ไป๋หลี่ชูเริ่มถอดเสื้อคลุมที่หลวมกว้างออก แล้วรัดผมที่แผ่สยายด้วยสายรัดอันหนึ่ง รั้งแขนเสื้อขึ้นช้าๆ “ข้าจะนุ่มนวลหน่อย”

 

 

จะจับเสือดาวตัวน้อยรูปงามนี้อย่างนุ่มนวลสักหน่อย แล้วค่อยถลกขนอันอ่อนนุ่มของเจ้า จุมพิตสะเอวอันนิ่มนวลของเจ้า ฟังเสียงร่ำไห้หรือไม่ก็ร้องขอชีวิตของเจ้า

 

 

แต่คำว่า ‘นุ่มนวลหน่อย’ เช่นนี้สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์แล้วคือความอัปยศ ต่อให้อีกฝ่ายเข้มแข็งกว่าเจ้าเท่าใด ก็มิอาจรับความอดสูเช่นนี้!

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบ แค่นหัวร่อเย็นชา “อย่างนั้นหรือ ข้าจะจำไว้ว่าต้องนุ่มนวลหน่อย ถึงอย่างไรวันนี้ ข้านี่แหละเป็นฝ่ายจับฝ่าบาทกดน้ำ!”

 

 

ขาดคำนางก็ใช้ปลายเท้าจิกพื้น ร่างที่กุมมีดสั้นในมือโถมเข้าใส่ศีรษะของไป๋หลี่ชูราวอสนีบาต!

 

 

ใช่แล้ว นุ่มนวลสักหน่อย นางอยากจะฟาดใบหน้างามพิลาสของไอ้หมอนี่ให้แหลกละเอียดอย่างนุ่มนวลสักหน่อย อยากฟาดจนใจจะขาดอยู่แล้ว!

 

 

ใบมีดจักจั่นเมฆาบางเฉียบราวปีกจักจั่น โครงสร้างงดงามอัศจรรย์ปานเมฆพลิ้ว มิใช่เพียงแค่ดูงดงามเท่านั้น แต่คำนึงถึงแรงต้านของอากาศยามโจมตีเอาไว้ด้วย บวกกับกำลังภายในที่แกร่ง ความเร็วจึงยิ่งรุนแรงเกินกว่าที่ชิวเยี่ยไป๋เองคาดคิด

 

 

พริบตาที่มีดบางจะหลุดจากมือ นางรู้สึกเช่นนี้

 

 

วินาทีแรก นางสำนึกเสียใจเล็กน้อยกับแรงโถมของตนเอง เพราะถ้าฆ่าอีกฝ่ายตายไป ย่อมจะนำมาซึ่งความยุ่งยากมิรู้จบ

 

 

ทว่า วินาทีต่อมานางก็รู้สึกว่าวิตกเกินเหตุแล้ว

 

 

เคร้ง!

 

 

ประกายมีดสั้นที่ขดเป็นวงโค้งเย็นเยียบ พริบตานั้นเหมือนปะทะกับอะไรบางอย่างจนเบนเบี่ยงไป มีดสั้นกระดอนออกจากมือ

 

 

แววตาชิวเยี่ยไป๋เย็นเยือก ปลายเท้าจิกเชิงเทียนผนัง ช่วงเอวดีดตรง ขณะที่มีดสั้นในมือถูกขวางไว้ ร่างของนางดีดเข้าหาไป๋หลี่ชูโดยตรง แต่พริบตาที่จะกระแทกใส่ไป๋หลี่ชู เชิงเทียนที่นางใช้เท้าเกี่ยวไว้ยังคงพุ่งตรงเข้าใส่แสกหน้าไป๋หลี่ชู

 

 

ตัวนางใช้แรงสะท้อนขณะเหวี่ยงเชิงเทียนกระโดดออกไปอีกทาง คว้ามีดสั้นที่กระเด็นอยู่กลางอากาศไว้ได้อีกครั้ง

 

 

พฤติกรรมที่มุ่งทำร้ายแสกหน้าไป๋หลี่ชูซ้ำซ้อนอย่างดื้อดึงนี้ ทำเอาไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่าอย่างอดมิได้ “เด็กดื้อ…”

 

 

แน่นอน เชิงเทียนอันนั้นย่อมถูกหั่นด้วยคมมีดของไป๋หลี่ชู

 

 

เชิงเทียนทองเหลืองถูกบั่นเป็นหลายชิ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิวเยี่ยไป๋ตระหนักว่า มีดสั้นเบาบางนั้นนอกจากความเร็วแล้ว ยังมีเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผู้รักการต่อสู้นิยมชมชอบ…ความแกร่ง!

 

 

ดังนั้นหลังคว้ามีดไว้ได้อีกครั้ง นางจึงฟัน ฉับ ฉับ ฉับ อย่างไม่เกรงใจ ฟันใส่ทุกสิ่งรอบกายจนข้าวของแหลกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา จากนั้นเศษชิ้นส่วนเหล่านั้น ทั้งแจกันโบราณ กระถางกำยาน ม้วนภาพวาด ล้วนพุ่งเข้าใส่ไป๋หลี่ชู

 

 

คราวนี้ไป๋หลี่ชูเคลื่อนไหวเล็กน้อย พริบตาเดียวก็หลบเศษของจิปาถะที่พุ่งเข้าใส่ได้หมดสิ้น แต่เพิ่งหลบพ้นระลอกหนึ่ง ข้าวของจิปาถะระลอกที่สองก็พุ่งเข้าหาใบหน้าอีก เขานึกไม่ออกว่าชิวเยี่ยไป๋อยากทำอะไรกันแน่

 

 

การต่อสู้อันดื้อรั้นจนไร้หลักการเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกรับมือไม่ทัน แม้ข้าวของเหล่านี้จะรุนแรงด้วยกำลังภายในของชิวเยี่ยไป๋ แต่เนื่องจากเป็นเศษวัสดุหลายชนิด ความรุนแรงจึงไม่เท่ากัน สำหรับไป๋หลี่ชูแล้วไม่อาจทำอันตรายเขาได้แต่อย่างใด

 

 

ซ้ำร้ายถ้าเขาตีโต้ ข้าวของเหล่านี้กลับจะเป็นอาวุธชั้นดีในการโจมตีใส่ชิวเยี่ยไป๋

 

 

แต่เขาลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะต่อให้สิบกระบวนท่า เขาจึงมิได้โต้กลับ เอาแต่หลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า การจู่โจมที่เหมือนโมโหแง่งอนเช่นนี้ทำให้ไป๋หลี่ชูผู้เคยชินกับการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพเริ่มรู้สึกรำคาญ จนกระทั่งเงาทะมึนบวกกับพลังลมแรงกล้าโถมลงใส่ศีรษะ

 

 

เขาเหลือบเห็นด้วยหางตา ครั้งนี้ไม่หลบแล้ว พริบตาที่โต๊ะทำด้วยไม้เนื้อแข็งเลี่ยมทองกำลังฟาดเข้าใส่ เขาพลันถีบใส่อย่างแรง โต๊ะใหญ่ชะงักลง แล้วส่งเสียงหวีดร้องเสียดหู เหมือนกำลังร่ำร้องเพราะทานพลังสองขุมที่ปะทะกันมิได้

 

 

เขายิ้มที่มุมปาก หัวร่อเบาๆ ว่า “กระบวนท่าที่สิบแล้ว เสี่ยวไป๋ยังมีอะไรจะฟาดอีก เตรียมพร้อมหรือยัง”

 

 

สิบกระบวนท่าผ่านไปแล้ว เขาไม่มีความอดทนพอที่จะหยอกเย้าเจ้าเสือดาวน้อยตัวนี้อีกต่อไป

 

 

โครม!

 

 

เค่อต่อมา โต๊ะตัวนั้นแตกกระจาย

 

 

เขาสะกิดปลายเท้าจะหลบเศษไม้เหล่านั้น จึงกระโดดใส่เงาที่ซ่อนตรงผนัง ทว่า…

 

 

เคร้ง!

 

 

เกิดเสียงแผ่วเบาท่ามกลางเสียงโครมครามของเศษโต๊ะ ไม่สะดุดตาเหมือนลมสายหนึ่งที่พัดใส่ฝุ่นผง ไป๋หลี่ชูกลับหยุดท่วงท่าที่จะกระโจนออกไป พริบตานั้นขดเอวเป็นเส้นโค้งงดงาม ใช้ความเร็วสุดประมาณหลบคมมีดที่แทงเข้าใส่จากมุมที่น่ากลัว

 

 

แต่เพราะมีดนั้นรวดเร็วเหลือเกิน อีกทั้งมาจากทิศทางที่ไม่คาดคิด จึงกรีดใส่สายรัดเอวของเขา กลิ่นคาวเลือดฟุ้งในอากาศ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟุบกับพื้น เอื้อมมือคว้ามีดสั้นกลับคืน เห็นหยดเลือดไหลย้อยตามคมมีดหยดลงกับพื้น คมมีดสั้นยังคงส่งประกายเย็นเยียบ นางถอนใจเบาๆ “จิ๊ อาบโลหิตไร้ราคี มีดประเสริฐ เสียดาย…”

 

 

เดิมทีนางคิดจะปักมีดเล่มนี้ที่เอวของไป๋หลี่ชูเป็นที่ระลึก แม้จะฆ่าเขาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องนอนซมสักสิบวันหรือครึ่งเดือน ไม่เพียงเป็นที่ระลึกสำหรับเขา กับนางเองก็นับว่าเป็นบุญโขอยู่

 

 

“เสียดายที่ช้าไปหน่อย หืม?” ไป๋หลี่ชูยืนอยู่ไม่ไกล คลำเอวของตนเองครั้งหนึ่ง รู้สึกถึงความเปียกชื้น “เล็บคมจริงนะ”

 

 

เขายกมือขึ้น กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นทำเอาม่านตาพิกลของเขาขยายกว้าง สิบกระบวนท่าแรกล้วนเป็นกลยุทธ์อำพราง ก็เพื่อการจู่โจมถึงชีวิตในมีดสุดท้าย ถ้าท่วงท่าของเขาช้าไปเล็กน้อย ที่เอวคงเป็นรูแผลชนิดเห็นอวัยวะภายใน