แต่เพราะเขาอยู่ในตำหนักกวงหมิง ไม่เพียงมีหมอหลวงรักษาได้ และผู้เฒ่าจากกรมพิธีการสองคนนั้นก็ยังมิได้จากไป ดังนั้นต่อให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์ถึงชีวิตยังคงรักษาได้อยู่ดี

 

 

แต่ความเจ็บปวดก็สาหัสมาก ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงเป็นการชั่วคราว และซ้ำร้ายอาจกระทบต่อสภาพร่างกายในภายภาคหน้า

 

 

เขาเหมือนสัตว์ป่ายามได้กลิ่นคาวเลือด อดมิได้แลบลิ้นเลียหยดเลือดที่เปื้อนปลายนิ้ว หางตาปรากฏแววเย็นเยียบชั่วร้ายพิกล หัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “ดีมาก ดีมากๆ”

 

 

เสือดาวตัวน้อยที่ดุร้ายและเจ้าเล่ห์ ทำเอาผู้คนต้องโมโหจริงๆ เลยนะ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางมิอาทรของไป๋หลี่ชู จากอึมครึมเปลี่ยนเป็นดำมืด นางจึงยิ่งตื่นตัวและรู้สึกกระสับกระส่าย กำมีดสั้นในมือแน่น แต่ยังคงอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นเขาด้วยวาจา

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ชมเชย”

 

 

ไป๋หลี่ชูหรี่ตาจ้องมองนางเงียบๆ จนนางแทบจะเกิดความรู้สึกเลือนหลอน ดูเหมือนม่านตาของเขาจะใหญ่ขึ้น งดงามแต่น่ากลัว ปะปนด้วยแววตื้นตันของผู้ล่าที่เห็นเลือด

 

 

บรรยากาศเงียบสงบ เทียนไขในโคมดับไปแล้ว ทั้งห้องมืดสลัว มีแต่แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเพียงเล็กน้อย ความเงียบสงบนี้รังแต่จะเพิ่มความตึงเครียดอึดอัด เหมือนสายพิณที่ตึงเขม็ง เพียงรอดูว่าใครจะเป็นผู้ทำลายความเงียบจอมปลอมนี้

 

 

เคร้ง!

 

 

เคร้ง!

 

 

เสียงมีดสั้นดังแหวกอากาศสองครั้ง บวกกับเงาร่างสองสายที่พุ่งเข้าหากัน มีดสั้นสองเล่มปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดสะเก็ดไฟ พริบตานั้นการปะทะก็ทำให้ความเย็นเยียบ ความตื่นเต้นอึมครึมในดวงตารุนแรงยิ่งขึ้น

 

 

พวกเขาต่างฝ่ายต่างลงมือพร้อมกันในพริบตา

 

 

เวลาสั้นๆ ชั่วกะพริบตา มีดสั้นสองเล่มปะทะกันเจ็ดครั้ง

 

 

ลำคอ ท้อง สีข้าง ท่อนล่าง…ล้วนเป็นกระบวนท่าสังหารที่ถึงแก่ชีวิต สู้กันไปมา ยามคมมีดเฉียดผิวกาย นำมาซึ่งความหอมหวานและตื่นเต้นจนน่าลุ่มหลง

 

 

นางเป็นยอดฝีมือ เขายิ่งเป็นจอมยุทธ์ผู้มิอาจหยั่งคะเน คนหนึ่งปราดเปรียวดุร้าย อีกคนแหลมคมดุดัน การโรมรันพันตูของคนทั้งสองพอลงมือก็ไม่เหลือทางถอยเลย

 

 

นางตื่นเต้นจริงๆ ไม่เคยต่อสู้กับใครอย่างสมอยากมานานแล้ว แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านอาจารย์จะเน้นหนักเรื่องการบ่มเพาะสติปัญญาและเล่ห์กลต่อนาง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ท่องยุทธจักรแต่วัยเยาว์ สิ่งที่พบเห็นจนชินตาคือการตัดสินบุญคุณความแค้นอย่างหมดจด ควบม้าโผนทะยานในยุทธจักรบ่มเพาะจนเป็นนิสัยของนางจนลึกถึงกระดูก

 

 

โดยเฉพาะหลังรู้ว่าตนเองทะลวงด่านความเป็นความตายแล้ว นางยังไม่เคยประมือกับยอดฝีมือคนใดเลย จึงไม่รู้ว่าวิทยายุทธ์ของตนบรรลุถึงขั้นไหน

 

 

ไป๋หลี่ชูคือคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็งและสมบูรณ์แบบที่สุด

 

 

ฝ่ายไป๋หลี่ชูยิ่งสู้ก็ยิ่งลุ่มหลงกับกลิ่นอายยามเฉียดใกล้ตัวนาง

 

 

ขณะเฉียดผ่าน ลมหายใจที่กระชั้นร้อนแรงและเปียกชื้น ยามผิวกายเฉียดกัน นำมาซึ่งความรู้สึกรัญจวนใจอย่างน่าประหลาด

 

 

และนางก็จู่โจมอย่างดุร้ายด้วยกระบวนท่าที่ไม่เคยยี่หระกับสิ่งใด ทำให้เกิดความรู้สึกน่าตื่นเต้นที่หัวใจดิ้นพล่านอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ความรู้สึกเย็นเยือกแล้วกลายเป็นเร่าร้อนเช่นนี้ กี่ปีแล้วหนอที่ไม่เคยมีโอกาสเลย

 

 

อันตรายกว่าที่คาดคิด ความอบอุ่นที่รุนแรงแต่หอมหวนทำเอาเขาลุ่มหลงตลอดกาลและจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ

 

 

เช่นเดียวกับสัตว์เลือดเย็นที่โหยหาแสงตะวัน

 

 

ถ้าจะว่าความรักก็คือความรู้สึกเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น…

 

 

เขาอยากได้ความอบอุ่นเช่นนี้ อยาก…อยากอย่างมาก…

 

 

แววตาของไป๋หลี่ชูลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ เป็นประกายแดงฉานอันบ้าคลั่งท่ามกลางความมืดและว่างเปล่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้นในพริบตา แสงที่สลัวจนแทบจะมืดมิดในห้อง ทำให้นางมองเห็นสภาพการณ์เบื้องหน้าไม่ถนัด เดิมทีพอจะรู้ถึงตำแหน่งของศัตรูได้โดยอาศัยเสียงหายใจ ฝีเท้าและการเคลื่อนไหว แต่อีกฝ่ายกระบวนท่าล่องลอยราวภูตผี และนางแทบจะไม่ได้ยินเสียงหายใจเลย ถ้ามิใช่นางอุ้มเขาลงบ่อน้ำในวันนี้แน่ใจว่าเขายังหายใจอยู่ นางแทบจะนึกว่ากำลังประมือกับภูตผีแล้ว

 

 

เคร้ง!

 

 

มีดสั้นฟันใส่หน้านางโดยตรง ชิวเยี่ยไป๋สะบัดมีดรับไว้ในพริบตา รู้สึกชาที่ง่ามมือ นางเห็นเงาร่างสูงโปร่งของผู้ที่ฟันใส่นางอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปหลายก้าวเพราะพลังมหาศาลนั้น

 

 

แต่พริบตานั้นนางรู้สึกแปลกใจ ทำไมไป๋หลี่ชูหยุดวิธีจู่โจมนางด้วยท่วงท่าเลื่อนลอยเหมือนภูตผี แต่กลับปะทะอย่างแรงใส่นางตรงๆ

 

 

เคร้ง! ฟันมาอีกมีด ไม่มีกระบวนท่าลวดลายเป็นการฟันฉับใส่โดยตรง แต่สำหรับชิวเยี่ยไป๋ที่เคยชินกับการต่อสู้ที่คล่องแคล่วว่องไวแล้ว กลับเป็นแรงคุกคามอย่างหนัก

 

 

เคร้ง! นางรับไว้สามมีด จึงรับรู้ว่าพลังดุจพะเนินเหล็กพันชั่งเป็นอย่างไร แทบจะรับมือไม่ไหว!

 

 

รีบกุมด้ามมีดที่เกือบหลุดจากมือ ชิวเยี่ยไป๋กุมข้อมือที่สั่นเทา รู้สึกเปียกชื้นที่ง่ามนิ้ว ลอบก่นด่าในใจ

 

 

สมควรตาย ดูเหมือนง่ามมือจะฉีกแล้ว ไอ้สารเลวนี่ดูแล้วร่างกายสูงโปร่งไม่ต่างจากนาง ทำไมจึงมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้!

 

 

แต่ว่า นางเคยเห็นร่างกายของเขา เป็นโครงกระดูกพิเศษที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์แต่กำเนิด หาได้ยากยิ่งในคนนับพันนับหมื่น หรือนี่เรียกว่าความแตกต่างชนิดฟ้าประทานหรือ

 

 

เคร้ง! มีดสั้นฟันฉับลงมาอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินอีกครั้ง!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกหายใจไม่ออก มือที่กุมมีดสั่นเทา ลงพลังที่เท้าอย่างแรงจึงยืนได้มั่น นางสีหน้าเกรี้ยวกราดอย่างอดมิได้ ไอ้สารเลวนี่นึกว่านางเป็นท่อนฟืนหรือไร!

 

 

เดิมทีก็คำนวณอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเข้มแข็งกว่าตน แต่ด้วยเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ประสบการณ์การต่อสู้คงช่ำชองสู้ตนมิได้ นางนึกถึงข้อนี้ อย่างน้อยก็ยังสามารถทำให้อีกฝ่ายไม่อาจได้เปรียบจู่โจมใส่นางเพียงฝ่ายเดียว

 

 

แต่ดูแล้วสถานการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น ประสบการณ์ของฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงโชกโชน ซ้ำร้ายกลยุทธ์การต่อสู้ที่ใช้ก็มิใช่การต่อสู้ของคนทั่วไปจะเทียบเทียมได้ เพราะนั่น…เป็นกลยุทธ์การเข่นฆ่า

 

 

องค์ชายที่เติบโตในวังหลวง ร่ำเรียนตำรา ฝึกฝนการบริหารราชการแผ่นดิน ต่อให้มีครูบาอาจารย์ช่วยสอน เหตุใดถึงมีวิชาฝีมือเหมือนมือสังหาร เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ!

 

 

ยามนี้จะทำอย่างไรดี

 

 

สมองชิวเยี่ยไป๋หมุนเร็วจี๋ สู้พลางถอยพลาง ใช้ทุกกลยุทธ์ในการหลีกเลี่ยงการปะทะหนัก แต่นางยังคิดไม่ออกก็มีประกายสีน้ำเงินวาบใส่แสกหน้า!

 

 

นางตระหนกแต่หลบไม่ทันแล้ว ได้แต่แข็งใจสะบัดมีดปะทะ ครั้งนี้แรงปะทะหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว พริบตาที่มีดสั้นสองเล่มปะทะกันก็เกิดประกายไฟ พริบตานั้นนางรู้สึกว่าได้ใช้เรี่ยวแรงหมดไปทั้งตัวแล้ว แต่ยังคงมิอาจต้านทานพลังที่โถมทับเหมือนภูเขา แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือจากด้ามมีด

 

 

นางมีความรู้สึกตามสัญชาตญาณว่า เมื่อใดที่มีดหลุดจากมือจะเกิดเหตุการณ์ที่นางไม่อยากให้เกิด