แต่เค่อต่อมา พลันมีมือเรียวยาวเย็นเยียบรั้งที่เอวนาง สัมผัสเย็นเยือกทาบกับติ่งหูซึ่งเป็นจุดไวต่อสัมผัส แล้วเสียงหัวร่ออย่างได้ใจก็ดังขึ้น “จับเจ้าได้แล้ว เจ้าตัวน้อย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หน้าซีดเผือด แย่แล้ว!

 

 

พลังรุนแรงขุมหนึ่งกระแทกเข้าใส่บั้นเอวชั่วพริบตา นางรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้และกระเด็นไปด้านหลังทันที ในเวลาเดียวกันมีดสั้นก็หลุดจากมือ นางแข็งใจม้วนตัวตีลังกากลางอากาศตลบหนึ่งเพื่อให้พลังนั้นทอนลง แต่นางก็ยังคงกระแทกเข้าใส่ผนังอย่างแรง เพิ่งจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดจนหวานขื่นในคอ ร่างของนางไถลจากผนังลงพื้นในพริบตา

 

 

แต่ยังไม่ทันจะถึงพื้นดี ก็ถูกกระชากคอเสื้อยกขึ้น นางฝืนขดตัวเองและพยายามดิ้นรน

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะรำคาญอากัปกริยาที่ดึงดันเช่นนี้ นิ้วมือเรียวยาวเย็นเยียบจึงขยับขึ้นเล็กน้อย คว้าลำคอระหงของนางไว้ทำเอานางหายใจไม่ออก แล้วร่างสูงโปร่งแข็งทื่อก็โถมทับลงบนตัวนาง

 

 

นี่เป็นท่าที่บังคับควบคุมคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุด ทว่า…

 

 

สวบ เสียงคมอาวุธแทงเข้าเนื้อ หยุดความเคลื่อนไหวของไป๋หลี่ชู

 

 

ไป๋หลี่ชูก้มลงมองดูหัวไหล่ของตนที่ไม่รู้ว่าถูกมีดสั้นเสียบเข้าไปตั้งแต่เมื่อใด รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวไหล่จนหน้าเปลี่ยนสี

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กุมด้ามมีดในแขนเสื้อที่ปักใส่หัวไหล่ของเขา พลางปาดเลือดที่มุมปากของตนเอง กล่าวเนือยๆ ว่า “ขอโทษทีนะ เมื่อกี้ตอนหั่นของเลยหยิบมีดไว้อีกเล่ม”

 

 

พวกนางตกลงกันไว้ว่าจะดวลมีดสั้น แต่มิได้บอกว่ามีดกี่เล่ม ดังนั้นการกระทำนี้ของชิวเยี่ยไป๋จึงไม่ผิดกติกา

 

 

ไป๋หลี่ชูก้มดูคนที่ถูกตนตรึงไว้บนผนัง สีหน้าขาวซีดเล็กน้อยแต่ยังท่าทางเป็นปกติ แววตาคมกริบจับจ้องบุรุษเยาว์วัยเบื้องหน้า แล้วพลันหัวร่อเบาๆ กล่าวราวกับจนปัญญาว่า “หึๆ…จนปัญญาจริงๆ”

 

 

เพราะบุรุษตัวน้อยผู้นี้หลังพบว่าไม่อาจต้านทานการจู่โจมโดยตรงของตนแล้ว ถึงกับตัดใจเผยจุดอ่อนเสียเลย ทำให้ตนปราบพยศได้ในการจู่โจมครั้งเดียว และคิดว่าเขาคงสูญเสียความสามารถในการขัดขืนแล้ว ขณะที่ตนลงมือควบคุมเขา เขากลับจู่โจมกลับเป็นครั้งสุดท้ายและอาศัยช่องว่างของกติกาที่ตกลงกันไว้มาทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้

 

 

เจ้าเสือดาวน้อยตัวนี้ รู้จักคำนวณหาจังหวะที่ได้เปรียบของตนเองตลอดเวลา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถือว่าเสมอกันใช่ไหม”

 

 

แม้จะเป็นชัยชนะที่ไม่ขาวสะอาดนัก แต่ยังคงมิได้ละเมิดกติกา คนฐานะสูงส่งเช่นไป๋หลี่ชูย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แม้จะรู้สึกว่าถูกโกงซึ่งหน้า แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตนจึงยังคงต้องยอมรับ

 

 

ควับ

 

 

ยังไม่ทันขาดคำ นางก็ต้องหยุดเสียง มองดูไป๋หลี่ชูที่โถมใส่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ประกบนางไว้จนไร้ช่องว่างแม้แต่น้อย มีดสั้นในมือนางที่แทงเข้าหัวไหล่เขาไปแล้วสามส่วน บัดนี้จมมิดด้าม เลือดทะลักพรวดออกมาจนมือของนางเปียกโชก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกถึงเลือดอุ่นเหนียวข้นในมือ เบิกตากว้างตกใจสุดขีด ตะโกนก้องเสียงหลง “เจ้าบ้าไปแล้ว!”

 

 

ไป๋หลี่ชูราวกับมิรู้สึกรู้สากับมีดที่จมลงในหัวไหล่ กลับยื่นมือกอดร่างนุ่มนิ่มของนางไว้ ก้มลงหอมไรผมข้างหูของนาง ริมฝีปากได้รูปเผยอเล็กน้อย ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ช่างอบอุ่นนุ่มนิ่มเหมือนที่คิดไว้จริงๆ…”

 

 

“…” ชิวเยี่ยไป๋หมดคำจะพูด

 

 

คนบางคนก็ทำเอานางต้องให้นิยามคำว่าวิปริตกับเป็นบ้าใหม่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋บอกตนเองว่าแม้นางจะมิใช่ขงเบ้งที่ไม่เคยวางแผนผิดพลาดเลย แต่ถึงอย่างไรนางก็มั่นใจในการอ่านจิตใจผู้คนอยู่ห้าส่วน แต่นั่นใช้กับคนจิตวิปริตไม่ได้ พริบตานั้นนางเพิ่งสัมผัสได้ว่าความไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างไร

 

 

โดยเฉพาะไอ้โรคจิตที่ยัง…

 

 

“ไป๋หลี่ชู ปล่อยข้า!” นางรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของไอ้โรคจิตที่ทับตนอยู่ สีหน้าเขียวคล้ำทันที เค้นเสียงอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ็บปวดจริง แต่ไอ้สารเลวที่โดนปักด้วยมีดจนมิดด้าม ยังถึงกับมีปฏิกิริยาเช่นนี้ นี่เป็นคนประเภทใดกันแน่!

 

 

เป็นพวกชื่นชอบการถูกทรมานหรือ

 

 

แต่เห็นชัดว่าไอ้สารเลวที่ทับร่างตนอยู่นี่ชื่นชอบการถูกทรมานเป็นพิเศษ!

 

 

ไป๋หลี่ชูแนบปากกับหูนาง กล่าวเสียงแหบพร่าอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวไป๋ เจ้าเคยเสพสมกับสตรีไหม รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“…” ชิวเยี่ยไป๋ตะลึงงัน

 

 

นางไม่ตอบปัญหาที่ยากเย็นนี้ได้ไหม

 

 

“อืม! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคย กลิ่นเจ้าสะอาดดี ไม่เหมือนคนที่เคยสัมผัสกับสตรี” ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขบฟัน อยากคำรามก้องโดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ว่า..ข้านี่แหละคือสตรีที่เจ้าว่า!

 

 

แต่ท่าทางพิลึกพิลั่นของไป๋หลี่ชูดูแล้วน่ากลัวมาก นางไม่อยากกระตุ้นเขาอีก เพราะไป๋หลี่ชูอาจทำอะไรที่น่าตกใจกว่านี้ก็เป็นได้ สุดท้ายนางจึงแค่นเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นสุนัขหรือ ตัวข้าเหม็นขนาดนี้ยังกินลงหรือ”

 

 

นางมิได้กังวลว่าไอ้โรคจิตที่เป็นโรคกลัวความสกปรกคนนี้จะจัดการนางตรงนี้ ถึงอย่างไรการต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อครู่ ทั้งสองฝ่ายก็เหงื่อไหลไคลย้อย แถมยังมีคนหลั่งเลือดด้วย

 

 

ไป๋หลี่ชูลูบผมนางเบาๆ ซ้ำร้ายยังเลียติ่งหูของนางเบาๆ อีกด้วย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นชวนกระสันรัญจวน “ไม่ เจ้าไม่เข้าใจ กลิ่นตัวเจ้าดีมาก ได้กลิ่นแล้วอยากอาหาร”

 

 

อยากอาหาร…

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกมิเป็นการเสียแล้ว อยากอาหารคืออะไร

 

 

หรือว่าเขาจะ…จริงๆ

 

 

นาทีต่อมาไป๋หลี่ชูพลันเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของนาง เผยให้เห็นดวงตาที่แทบจะไม่มีตาขาวเหลืออยู่เลย ดวงตาดำสนิทจ้องนางเขม็ง คิ้วคางหน้าตาที่งดงามของเขายิ่งขับให้ดูแล้วหยดย้อยและน่าสะพรึงกลัว

 

 

นี่มิใช่ดวงตาที่มนุษย์พึงมี

 

 

“เจ้าเป็นตัวอะไร…” ชิวเยี่ยไป๋มองดูตาเขาอย่างหวาดหวั่น รู้สึกเหมือนมองเข้าไปในความมืดมิดไร้ขอบเขต พริบตานั้นนางขนลุกทั้งตัว

 

 

“ถามได้ดี บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นตัวอะไร ทำไม กลัวหรือ” ไป๋หลี่ชูชายตาใส่นางแล้วพลันหัวร่อเบาๆ ปลายนิ้วไล้ไปตามคิ้ว ขอบตา และแก้มของนาง สุดท้ายหยุดอยู่ที่ลำคอ หลังลูบคลำเบาๆ ในจุดที่เปราะบางที่สุด ราวกับพออกพอใจกับความรู้สึกใต้ปลายนิ้วอันอบอุ่นและการเต้นของชีพจร

 

 

แม้จะไม่มีคำพูดอะไรมากนัก แต่นางยังคงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ความรู้สึกมึนงงมิได้จางหายไปในพริบตา กลับทิ้งความเย็นเยือกของความประสงค์ร้ายไว้

 

 

แววตาที่เขามองดูนาง ราวกับกำลังดูของเล่นไร้ชีวิตที่จะฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อใดก็ได้ แต่มิรู้เพราะอะไร สัมผัสที่เฉียบไวของนางกลับรู้สึกถึงสิ่งหนึ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าความเศร้าอาดูร

 

 

จู่ๆ นางก็โพล่งขึ้นเบาๆ ว่า “แม้ดูแล้วจะเหมือนนัยน์ตาปีศาจ แต่ข้าว่าปฏิกิริยาครึ่งล่างของเจ้ากลับเหมือนหมาป่าบ้ากาม”