ตอนที่ 617

Elixir Supplier

617 รู้สึกเบื่อ

 

จิ๊บๆ! เสียงนกร้อง

 

เมี๊ยว! เสียงแมวร้อง

 

อยู่ๆเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็มองเห็นดาวอยู่เต็มไปหมด ในหูของเขาสั่นสะเทือนจากเสียงที่ดังก้อง เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งศีรษะ

 

คำพูดไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาได้ มันเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้

 

เขารู้สึกว่า ศีรษะของเขาด้านชาและบวมเป่ง เขาได้ยินแค่เสียงฮึ่มๆอยู่ในหูเท่านั้น ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพหลอน

 

“โอ๊ย! อ้า!” เขาอ้าปากกว้าง เพื่อสูดลมหายใจ เขาแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว

 

เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆก็มีอาการไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าเขา แต่เขาก็รู้สึกทรมานมากเช่นกัน

 

“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? เสียงสิงโตคำรามเหรอ?” เขาถาม

 

เจ้าหน้าที่ทั้งสองรู้สึกตกตะลึง พวกเขามองไปที่หวังเย้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่คิดว่า หวังเย้าจะมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย และมันทำให้พวกเขาเชื่อว่า หวังเย้าเป็นปรมาจารย์กังฟูไปแล้ว

 

ชายทั้งสองหันมามองหน้ากัน พวกเขาเห็นความกลัวในแววตาของกันและกัน พวกเขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและรีบวิ่งออกไปทันที

 

นี่ไม่ใช่เรื่องตลก มันน่ากลัวมาก การตะโกนเพียงครั้งเดียวของหวังเย้า กลับทำให้หูของพวกเขาแทบระเบิด หากหวังเย้าตะโกนอีกเป็นครั้งที่สอง หัวของพวกเขาก็คงจะระเบิดอย่างแน่นอน ดังนั้น พวกเขาจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

“พวกโง่” หวังเย้าพูดอย่างดูถูก

 

ชายทั้งสองรีบหนีออกไปจากคลินิกและวิ่งกลับขึ้นรถของพวกเขา จากนั้น พวกเขาก็ขับรถออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อขับพ้นหมู่บ้านมาแล้ว พวกเขาจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคลินิกของหวังเย้า พวกเขาก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย

 

“หยุดรถก่อน ขอฉันพักสักเดี๋ยว” หนึ่งในสองคนพูดขึ้นมา

 

ชายอีกคนขับรถเข้าจอดที่ข้างทาง พวกเขาทั้งสองยังคงคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปเมื่อกี้อยู่

 

“เขาเป็นใครกันแน่?” หนึ่งในสองคนถามขึ้นมา

 

“กังฟู ฉันคิดว่าน่าจะเป็นกังฟู ฉันเคยเห็นในทีวีมาก่อน มันเรียกว่า สิงโตคำราม” ชายอีกคนพูด

 

“ที่เห็นในทีวีน่ะไม่ใช่ของจริงหรอก” ชายที่สูงกว่าพูด “ที่เราเจอน่ะของจริง ฉันยังปวดหัวอยู่เลย อย่างกับมีคนเอาไม้มาทุบหัวฉันเลยล่ะ”

 

“ฉันก็ปวดหัวเหมือนกัน ฉันว่า เราเจอปรมาจารย์กังฟูเข้าให้แล้วล่ะ” ชายอีกคนพูด “ฉันบอกแกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว? ว่าให้ระวังคำพูดของตัวเองหน่อย ฉันได้รับรายงานเรื่องของนายมาเยอะมากเลยนะ ทำไมถึงยังทำตัวไร้มารยาทแบบนี้อยู่ได้? เห็นแล้วใช่ไหม ว่าคราวนี้เราต้องเจอกับอะไรน่ะ?!”

 

“ใครมันจะไปรู้ ว่าจะต้องมาเจอกับสัตว์ประหลาดแบบนี้กันล่ะ?” ชายร่างสูงพูด “แล้วฉันก็เป็นแค่คนส่งสาร ฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย”

 

“แล้วแกไม่กลัวเขาใช่ไหม? ทำไมไม่ลองกลับไปเถียงกับเขาดูอีกสักรอบล่ะ?” ชายอีกคนพูด

 

“ฉันไม่ได้โง่นะ” ชายร่างสูงพูด “ฉันไม่กลับไปหรอก ให้หลี่เชาหยางส่งคนอื่นมาจัดการหวังเย้าแทนก็แล้วกัน”

 

“ก็ได้ ไปกันเถอะ” ชายอีกคนพูด “ฉันก็ไม่กลับไปเหมือนกัน เราก็แค่บอกไปว่า หวังเย้าไม่ยอมให้ความร่วมมือก็พอแล้ว”

 

พวกเขากลับไปและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น

 

ในขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กดโทรออกไปที่เบอร์หนึ่ง บางคนกำลังพยายามจะสร้างปัญหาให้กับเขา เขาเชื่อว่า เป็นหลี่เชาหยางที่สร้างปัญหาทั้งหมดให้กับเขา ลูกศรอยู่ในที่ลับนั้นยากที่จะป้องกัน เขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน

 

เขาโทรไปหาเทียนหยวนถู เพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้น เขาได้ถามเทียนหยวนถู ว่าพอจะรู้จักใครที่จะสามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้บ้าง

 

“ไว้ฉันจะนายนะ” เทียนหยวนถูพูด

 

หลังจากวางสายไปแล้ว หวังเย้าก็คิดได้ว่า ตัวเขานั้นขาดอะไรไป ถ้าหากเขาต้องการจะเปิดคลินิกและส่งต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่นแล้วละก็ เขาก็ต้องพบเจอกับคนหลากหลายรูปแบบ เขาจำเป็นต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ในสังคมนี้ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆนั้นจำเป็นที่จะต้องรู้จักกับคนมากหน้าหลายตา เส้นสายที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ

 

ฉันควรจะขยายเครือข่ายของคนที่รู้จักเอาไว้

 

หากเขามีสายสัมพันธ์ที่กว้างขึ้น หวังเย้าก็คือคนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เขาเป็นแพทย์ปรุงยา ดังนั้น หน้าที่ของเขาก็คือการรักษาคน ไม่ว่าใครก็สามารถป่วยได้ และเมื่อคนเราป่วยก็ต้องไปหาหมอ หมอเก่งๆล้วนมีชื่อเสียง ในบางครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รักษากับผู้เชี่ยวชาญสักคน

 

หวังเย้าเป็นหมอที่มีฝีมือดีกว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่คิดพยายามที่จะโฆษณาคลินิกของตัวเองเลย

 

 

ในห่ายชิว เจ้าหน้าที่ทั้งสองที่ต้องตกตะลึงเพราะสิงโตคำรามของหวังเย้า ได้เข้าไปรายงานการทำงานของพวกเขากับหัวหน้า

 

“นี่มันแปลกมาก เขาอวดดีจริงๆ” ชายผู้เป็นหัวหน้าพูด “เราต้องลงโทษเขา”

 

พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยหวังเย้าไป แต่แล้วโทรศัพท์สายหนึ่งก็หยุดความคิดที่จะลงโทษหวังเย้าลง

 

“หวังเย้าคนนี้เป็นใครกัน?” เจ้าหน้าที่อาวุโสถาม “ฉันได้รับสายจากปักกิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่สนใจใยดีพวกเราสักนิด”

 

 

ในตัวเมืองของจังหวัดฉี หลี่เชาหยางกำลังทักทายเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างยิ้มแย้ม เขาสวมเสื้อผ้าลำลองและดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์ที่ดี

 

“คืนนี้ พวกเราไปกินข้าวด้วยกันดีไหม?” หลี่เชาหยางถามเพื่อนร่วมงานของเขา “ฉันเลี้ยงเอง”

 

“เอาสิ” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด

 

พวกเขารู้พื้นหลังของหลี่เชาหยางดี พ่อของเขาเป็นหัวหน้ากรม แล้วหลี่เชาหยางก็ไม่ใช่คนนิสับเสียหรือไร้มารยาท เขายังค่อนข้างใจกว้างกับเหล่าเพื่อนร่วมงานด้วยซ้ำ ปัญหาเดียวของเขาก็คือ เขามักจะลางานบ่อย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขามีพ่อของเขาอยู่ทั้งคน

 

หลี่เชาหยางกลับไปที่ห้องทำงานของเขา มีสายโทรเข้ามาทันทีที่เข้านั่งลง

 

“อะไรนะ? ไม่สำเร็จอย่างงั้นเหรอ? คุณได้รับสายจากกรรมการเมืองอย่างนั้นเหรอ? คุณแน่ใจนะ?” หลี่เชาหยางไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก เพราะตั้งแต่ที่เขาจัดการกับหวังเย้าล้มเหลวไปครั้งก่อน เขาก็พอจะเดาได้บ้างแล้วว่าหวังเย้านั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาก็คาดไม่ถึงเลยว่า หวังเย้าจะรู้จักกับคนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาลด้วย

 

มันไม่มีเส้นทางที่เรียบง่ายให้คนเดินอยู่แล้ว

 

พ่อของหลี่เชาหยางมีตำแหน่งสูงอยู่ในกรมสาธารณสุขของจังหวัด แต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจในทุกพื้นที่ของจังหวัด โดยเฉพาะกับคนที่ทำงานอยู่ตามเมืองหรือเขตต่างๆ เจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากเขา

 

ฉันจะคอยดู ว่าคนพวกนั้นจะปกป้องแกได้อีกนานแค่ไหน!

 

เพียงพริบตาเดียว หลี่เชาหยางก็คิดหาไอเดียใหม่ขึ้นมาได้ ฉันดึงแกลงมาไม่ได้ แต่ฉันสามารถทำลายชื่อเสียงของแกได้

 

ไม่นาน ก็มีบทความเกี่ยวกับคลินิกในหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกโพสท์ลงในอินเตอร์เนต เนื้อหาต่างๆดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่แน่นอนว่า มันไม่ได้เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจมากนัก ในตอนเริ่มแรก มีคนสนใจข่าวนี้เพียงแค่ไม่กี่คน แต่เมื่อมีคนสุมไฟเข้าไป คนที่รู้เกี่ยวกับเหลียนชานและคลินิกของหวังเย้าก็เข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หมอคนนี้โลภมากเกินไปแล้ว! คลินิกควรถูกปิดโดยเร็วที่สุด และหมอก็ไม่ควรเป็นหมออีกต่อไป

 

มีข้อความเขียนลงในอินเตอร์เนตจำนวนมาก

 

นี้คือความเป็นไปของโลกอินเตอร์เนต ผู้คนตัดสินเรื่องราวต่างๆโดยไม่คิดที่จะหาความจริง บทความมากมายกระจายไปทั่วอินเตอร์เนตโดยที่ไม่ได้มีการยืนยันความจริงใดๆ ในบางครั้ง ความคิดของคนจำนวนมาก ก็สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของศาลได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ความคิดของคนหมู่มากจึงเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนคนที่ใช้อินเตอร์เนตในการสร้างข่าวปลอม ก็สมควรได้รับโทษเช่นกัน

 

เมื่อมีการกระตุ้นเล็กน้อย ผู้ใช้อินเตอร์เนตก็คลิกเข้าไปอ่านบทความมากยิ่งขึ้น ไม่นาน บทความนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าหน้าที่รัฐเข้า

 

“ไปตรวจสอบเขาเดี๋ยวนี้!” เจ้าหน้าที่บางคนได้สั่งการลงไป

 

หวังเย้ามีแขกมาเยี่ยมเยือนที่คลินิกจำนวนมาก พวกเขามาจากองค์อาหารและยา, กรมสาธารณสุข, และกรมการค้าและอุตสาหกรรม แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขา ที่มาที่คลินิกเพื่อรับการรักษาจากหวังเย้า

 

หวังเย้ามีเอกสารและใบอนุญาตอยู่ครบ เขาไม่ได้กลัวการตรวจสอบในเรื่องนี้เลย ตอนนี้ เขาได้แต่คิดในใจว่า “นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?”

 

แขกทั้งหลายล้วนต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นเอกสารที่หวังเย้ามี โดยเฉพาะตราปั้มที่อยู่บนใบประกาศของเขา

 

“เขาเป็นอัจฉริยะเหรอ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นมา

 

“ฉันคิดว่า น่าจะใช่นะ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูด

 

มีคนไม่กลัวการทำผิดกฎหมายอยู่มากมาย แต่คงไม่มีใครคิดจะปลอมเอกสารแบบนี้ขึ้นมา ในเมื่อมันสามารถตรวจสอบความจริงได้ง่ายมาก

 

และเพราะเอกสารทั้งหมดที่แสดงต่อหน้าพวกเขา การตรวจสอบทั้งหมดจึงหยุดลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากแต่ละส่วนยังได้โทรเรียกให้พวกเขายกเลิกการตรวจสอบอีกด้วย

 

บทความในอินเตอร์เนตเหรอ?

 

หวังเย้าเข้าไปอ่านบทความในอินเตอร์เนต

 

แกงค์ที่ทำเรื่องนี้ในอินเตอร์เนตได้ ถือว่ามีกำลังอยู่พอตัว

 

ตัวเขาแค่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มคนที่รับว่าจ้าง ให้สร้างข้อความเท็จในอินเตอร์มาบ้าง แต่ในเวลานี้ กลับเป็นเขาเองที่โดนเล่นงาน

 

หลังจากที่คิดอยู่สักพัก หวังเย้าก็กดโทรหาซุนหยุนเชิง

 

“ไม่มีปัญหา” ซุนหยุนเชิงพูด

 

เขาลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน คนที่เผยแพร่บทความในอินเตอร์เนตก็ถูกพบตัว

 

เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นพัฒนาไปมาก มีหลายคนที่มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสูง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกไม่รู้ความ และนำอินเตอร์มาใช้ในทางที่ผิด คนกลุ่มนี้สร้างรายได้จากการรับจ้างกดไลท์บทความต่างๆให้กลายเป็นที่สนใจขึ้นมา พวกเขาทำเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่โชคร้าย ที่ครั้งนี้พวกเขาดันไปหาเรื่องหวังเย้าเข้า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และส่งพวกเขาไปขึ้นศาล ตอนนี้ พวกเขาต่างก็เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวน ได้แนะนำให้พวกเขาสารภาพเพื่อลดโทษลง คนเหล่านั้นจึงรีบรับสารภาพและคายทุกอย่างออกไป แล้วในที่สุด หัวหน้าของพวกเขาก็ถูกจับ

 

“แม่งเอ้ย!” หลี่เชาหยางปาแก้วในมือทิ้ง

 

เขาไม่กลัวศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ไม่อยากมีผู้ร่วมงานที่โง่เหมือนหมูมากกว่า ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คนพวกนั้นก็คงจะทรยศเขาไปแล้ว

 

“เอาล่ะ หวังเย้า ดูเหมือนแกจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ฉันก็ใจเย็นมากพอ” หลี่เชาหยางเก็บกวาดเศษแก้วที่กระจายอยู่บนพื้น แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

เขาเรียนรู้หลายๆอย่างมาจากที่ทำงาน เขารู้วิธีที่จะทำให้คนอื่นทำงานให้เขา และวางแผนเล่นงานศัตรูของเขา