ตอนที่ 76 สตรีโลเลหลายใจ / ตอนที่ 77 ตะเกียกตะกาย

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 76 สตรีโลเลหลายใจ

 

 

ครั้นฮ่องเต้ตัดสิน จงซานรีบแสดงออกอย่างพอใจอย่างถึงที่สุด

 

 

เพราะความจริงเขาเป็นฝ่ายขัดขวางการเข้าไปห้ามทัพของซือถูจ้าวก่อน ตามกฎหมายแล้ว ฮ่องเต้ไม่สมควรปล่อยเขา หากเอาผิดขึ้นมาจริงๆ เรื่องก็ยังไม่ใช่เรื่องเล็ก หลังจากถกเถียงไปยกใหญ่ถูกหักเงินเป็นบทลงโทษก็ถือว่าไม่เลว

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดอีกว่า ซือถูจ้าวก็ถูกหักเบี้ยหวัดไปพร้อมกับตนเช่นกัน

 

 

ซือถูจ้าวกลับโมโหเสียจนกลายเป็นบื้อไปแล้ว ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา คนที่สมควรถูกลงโทษ ทั้งยังต้องลงโทษสถานหนักผู้นั้นสมควรเป็นจงซาน สรุปแล้วเขากลับถูกหักเบี้ยหวัดไปด้วย

 

 

นี่มันเหตุผลประเภทไหนกัน

 

 

เขาโมโหเจียนตาย แต่ว่าวาจาของฮ่องเต้เป็นดั่งทองคำ เมื่อตรัสแล้วก็มิอาจคืนคำได้อีก ดังนั้นเขาได้แต่กล้ำกลืนความโมโหนี้ลงไป

 

 

ซือถูจ้าวมองจงซานด้วยสายตาดุดัน หันไปอธิบายว่า “ฝ่าบาท เหมือนกับว่าท่านแม่ทัพทั้งสองทะเลาะกันเพราะสตรีนางหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้คือภรรยาของแม่ทัพเฉิน รายละเอียดเป็นอย่างไรกระหม่อมก็ไม่รู้ชัด หลังจากพวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน แม่ทัพเฉินก็ถูกแม่ทัพจ้าวซ้อมจนเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าข่าวแพร่ไปถึงค่ายทหารได้อย่างไร พวกทหารทั้งหลายจึงพากันยกทัพมา…”

 

 

เสนาบดีเพิ่งเอ่ยจบ

 

 

หมอหลวงก็ทำแผลห้ามเลือดให้แม่ทัพเฉินเสร็จแล้ว แม่ทัพเฉินถูกกดที่จุดเหรินจงหลายครั้ง เคราะห์ดีที่ฟื้นขึ้นมาได้

 

 

สายพระเนตรทอดมองแม่ทัพทั้งสอง ตรัสเสียงเย็นว่า “จ้าวเย่! เจ้าพูดมาก่อน ว่าไฉนเจ้าถึงทะเลาะกับเฉินควน”  

 

 

“ฝ่าบาท!” จ้าวเย่คุกเข่าลง เล่าให้ฮ่องเต้ฟัง “กระหม่อมรู้จักกับสตรีนางหนึ่ง ทั้งเป็นสามีภรรยากับนางแล้ว ซ้ำนางยังตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของกระหม่อม พวกเราสัญญากันว่าหลังจากกระหม่อมกลับมาจากตรวจตราชายแดน ก็จะแต่งนางเป็นภรรยา แต่ว่าเฉินควนกลับบังคับนางแต่งงานด้วย ซ้ำในคืนเข้าห้องหอก็บังคับนางจนแท้ง ทำให้ลูกในท้องของข้าต้องตกตาย ความแค้นนี้กระหม่อมไม่อาจกล้ำกลืนลงไปได้!”

 

 

เฉินควนกลับเดือดดาลแล้ว หันกลับไปมองจ้าวเย่ “จ้าวเย่ เจ้ามันไร้ยางอายนัก! เดิมทีนางเป็นคู่หมั้นของข้า สามปีก่อนพวกเราหมั้นหมายกันแล้ว เจ้าเป็นฝ่ายบีบบังคับนาง นางโอนอ่อนผ่อนตามเจ้า นางถึงตั้งครรภ์มารหัวขนนี้ขึ้นมา ข้ากับนางมีความรักล้ำลึก ไม่อาจปล่อยวางได้ถึงได้แต่งงานกับนาง ทำไมเมื่อเอ่ยจากปากเจ้า ข้าถึงกลายเป็นคนชั่วร้ายไปได้แล้วเล่า”

 

 

“เหลวไหล พวกเจ้าจะมีสัญญาหมั้นหมายตั้งสามปีก่อนได้อย่างไร นางบอกกับข้าชัดๆ ว่าตนเองไร้สัญญาหมั้นหมาย!” จ้าวเย่ไม่ยินยอมเชื่อ ทั้งยังเดือดดาลอย่างที่สุด “ข้ากับนางอยู่ด้วยกันอย่างดี นั่นคือมีผูกสมัครรักใคร่ เหตุไฉนถึงเรียกว่าบีบบังคับนางได้”

 

 

เมื่อเขาแย้งออกมา อย่างแรกที่ซือถูจ้าวทำก็คืออดกลั้น “แม่ทัพเฉิน แม่ทัพจ้าวผู้นี้เป็นคนเถรตรง ไม่คล้ายกับโกหก เรื่องนี้อาจมีอะไรเข้าใจผิดกันแล้ว”

 

 

ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งท้องพระโรงต่างพยักหน้า จ้าวเย่ผู้นี้เป็นคนเถรตรงจริงๆ เรื่องอะไรก็เขียนไว้บนหน้าหมด ไม่มีกลยุทธ์แผนการทั้งนั้น ยามนี้เมื่อเขากล่าวอกมา…

 

 

แม่ทัพเฉินถูกต่อยตีจนตกอยู่ในสภาพนี้ ที่สมควรใจเย็นเขาก็เย็นไปแต่แรกแล้ว เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดดูก็เริ่มสงสัย “แต่นางบอกว่าเจ้าบีบบังคับนาง นางไม่ยินยอมเลยสักน้อย!”

 

 

“ข้าจะบีบบังคับนางได้อย่างไร บุรุษอกสามศอกไม่กลัวหาภรรยาไม่ได้ บีบบังคับจะมีความหมายอันใด ข้าโมโหถึงเพียงนี้ ไม่อาจกล้ำกลืนความโมโหนี้ลงไปได้แล้ว” จ้าวเย่ตวาดก้อง

 

 

ฮ่องเต้ได้ฟังก็เข้าใจแล้ว “ดังนั้นพวกเจ้า ขุนนางรักทั้งสองของข้า! ข้ามอบตราคุมทัพให้พวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้ากลับทำเพื่อสตรีโลเลหลายใจ ใช้กำลังทัพไปกับเรื่องส่วนตัว ทำทหารของข้าทะเลาะกันกลางเมืองหลวง! พวกเจ้าช่างดีเหลือเกิน! ดีเหลือเกิน!”

 

 

  

 

 

ตอนที่ 77 ตะเกียกตะกาย

 

 

“ฝ่าบาท”

 

 

คนทั้งหลายดูออกว่าฮ่องเต้พิโรธแล้ว

 

 

ในเวลานี้จ้าวเย่รีบทูลว่า “ฝ่าบาททรงสืบสวนด้วย! กระหม่อมคิดต่อยตีเฉินควนยกหนึ่งเพราะความแค้นส่วนตัว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะนำกำลังทหารมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทหารทั้งหลายมาด้วยตัวเอง กระหม่อมหาได้สั่งการเช่นนี้!”

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมก็ไม่เคยออกคำสั่งเช่นนี้! เรื่องนี้ต้องมีคนจงใจจัดฉาก เพื่อทำร้ายกระหม่อมแน่!” เฉินควนรีบเอ่ยขึ้นมาทันที

 

 

แต่ว่าคนที่มีใจจัดฉากคือใครกันเล่า มีใครวางแผนการกันเล่า

 

 

แต่ทั้งจ้าวเย่และเฉินควนในยามนี้ พวกเขาต่างคิดชื่อคนที่จะทำร้ายพวกเขาให้ตายไม่ออก อย่างไรเสียในสายตาพวกเขา คนที่เป็นศัตรูก็คืออีกฝ่าย ผลคือศัตรูทั้งสองร่วมกันก่อความผิดถึงตาย ต่างฝ่ายคงไม่เอาชีวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงในแผนการด้วยกระมัง

 

 

ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยว่า “งั้นก็ดี! พวกเจ้าต่างบอกว่ามีคนคิดร้ายกับพวกเจ้า อย่างนั้นพวกเจ้าก็พูดมาว่าเป็นใคร”

 

 

“นี่”

 

 

ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งพูดออก

 

 

ความจริงในใจอยากบอกว่าเป็นอีกฝ่าย แต่ว่าอีกฝ่ายก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่คนผู้นั้น

 

 

ซือถูจ้าวพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ก้าวออกมาเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท หลังจากที่ท่านแม่ทัพทั้งสองทะเลาะกัน ก็ลงไม้ลงมือ ไม่ได้ส่งคนไปตามทหารมา ตามหลักแล้วเวลาที่พวกเขาต่อยตีเป็นเวลาไม่นานมาก เรื่องนี้ไม่เท่ากับว่ามีคนรู้ว่าคนทั้งสองจะต้องลงไม้ลงมือกันขึ้นมา ดังนั้นชิงไปแจ้งข่าวที่ค่ายทหารก่อนแล้ว”

 

 

 

 

 

“จริงด้วย!” เฉินควนฉุกคิดได้ “ฝ่าบาท ข้ากับเฉินควนต่อสู้กันเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1] ค่ายทหารอยู่ไกลกันถึงเพียงนั้น พวกเขามาไวถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ต้องมีความนัยแอบซ่อนอยู่แน่พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“จริงด้วย ฝ่าบาท พระองค์ทรงไตร่ตรองดู เหตุใดทหารสองฝ่ายถึงมาพร้อมกันโดยบังเอิญ!” จ้าวเย่รีบเสริมขึ้นทันที

 

 

ฮ่องเต้ฟังแล้วก็แสดงสีพระพักตร์สงสัย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นคนที่ไปรายงานเรื่องพวกเจ้าทะเลาะกันที่ค่ายทหารเล่า”

 

 

ซือถูจ้าวรีบโบกมือทีหนึ่ง สั่งการว่า “รีบไปถามพวกทหารว่า ใครเป็นคนแจ้งข่าวกันแน่”

 

 

“ขอรับ! ท่านเสนาบดี”

 

 

คนผู้หนึ่งรีบวิ่งออกไปแล้ว

 

 

ไม่ช้าคนผู้นั้นก็กลับมา รายงานว่า “ท่านเสนาบดี เหล่าทหารต่างก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร อีกฝ่ายบอกว่าเป็นคนของโรงเตี๊ยม!”

 

 

เสนาบดีรีบสั่งการ “รีบไปตรวจสอบที่โรงเตี๊ยม พาทหารที่จำคนได้ไปด้วย!”

 

 

หากโรงเตี๊ยมไม่มีสองคนนั้น ก็พิสูจน์ได้ว่ามีคนจงใจวางแผน จัดฉากนี้ขึ้นมาแล้ว แม่ทัพทั้งสองก็มีโอกาสรอดชีวิต

 

 

เมื่อเสนาบดีคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกคลายใจลงไป

 

 

เรื่องนี้มีปัญหาอย่างชัดเจน ย่อมมีคนเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง คนที่เสนาบดีสงสัยเป็นคนแรกนั่นก็คือจงซาน หากมิใช่จงซานทะเลาะกับเขา เรื่องจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้หรือ ต้องโทษจงซาน!

 

 

จงซานต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่เขาระแวงสงสัยจงซาน อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยปากแล้ว “แต่พูดไปแล้ว กระหม่อมยังแปลกใจอยู่บ้าง แม่ทัพทั้งสองปะทะกัน ก็ไม่ได้ใช้ตราทัพสั่งการให้ทหารมา ทำไมทหารเหล่านี้พลันบุกมาอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วเล่า”

 

 

จงซานกล่าวเช่นนี้ สีพระพักตร์ก็ถมึงทึง

 

 

ในฐานะฮ่องเต้อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรกระทำที่สุด นั่นก็คือทหารของพระองค์ไม่ภักดีต่อพระองค์ ไม่ฟังคำสั่งตราทัพแต่เชื่อผู้อื่น

 

 

ต่อให้เขาทั้งสองคือแม่ทัพแต่ว่าทหารเคลื่อนพลโดยพลการ เดิมก็เป็นโทษตาย ในสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้พวกทหารไม่สนใจความเป็นตาย ไม่มีคำสั่งทางทหารก็เคลื่อนพลออกนอกค่ายมาทะเลาะกันได้

 

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีพระองค์ผู้เป็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา

 

 

หากพูดให้รุนแรงอีกหน่อย นี่มิใช่หมายความว่าหากพระองค์ต้องการศีรษะของคนทั้งสอง พวกทหารก็อาจจะก่อกบฏขึ้นมาได้ใช่หรือไม่ หากเทียบกันว่ามีคนจงใจจัดฉาก ฮ่องเต้ยินยอมสนใจเรื่องนี้เสียมากกว่า!

 

 

“ใต้เท้าซือคง เลิกพูดจาเช่นนี้เสียที!” เสนาบดีรีบตวาดออกมา เขาดำรงตำแหน่งสามขุนนางใหญ่มานาน ย่อมรู้ว่าฮ่องเต้มีนิสัยอย่างไร ทั้งย่อมรู้ว่าฮ่องเต้มีข้อห้ามอะไร

 

 

ฝ่าบาทเป็นคนที่ยอมสังหารพี่น้องตัวเอง เขาจะเข้าใจเหล่าทหารที่มีน้ำใจระหว่างพี่น้องได้อย่างไรกัน

 

 

จงซานกลับพูดถึงความรู้สึกเช่นนี้ของคนทั้งหลายคล้ายกับว่าแม่ทัพทั้งสองคอยหลอกล่อคน ทำให้พวกเขาหมดความภักดีต่อฮ่องเต้ หากเป็นเช่นนี้คนทั้งสองก็หมดทางรอดแล้ว! 

 

 

จงซานมองซือถูจ้าวทีหนึ่ง หัวเราะเอ่ยว่า “ท่านเสนาบดีแตกตื่นอันใดกัน ข้าพูดคำไหนเกินไปหรือ มีคำพูดใดของข้าที่ไม่เป็นจริงบ้าง ข้ากับท่านแม่ทัพทั้งสองไม่มีความแค้นต่อกัน ย่อมไม่คิดให้ร้ายพวกเขา คำพูดของข้าก็แค่เป็นห่วงฝ่าบาท เป็นห่วงขวัญทหารเท่านั้นเอง!”

 

 

ยิ่งเขาเอ่ยก็ยิ่งเป็นการปลุกปั่น

 

 

ซือถูจ้าวกำลังจะโต้แย้ง ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขา สีหน้าเขียวคล้ำ ตรัสว่า “พอแล้ว! ข้าไม่อยากฟัง! ไม่ว่าอย่างไรแม่ทัพทั้งสองก็ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ข้าผิดหวังยิ่งนัก ตามกฎหมายของราชสำนักแล้วจับเขาทั้งสองออกไปประหารซะ !”

 

 

“ฝ่าบาท!” เสนาบดีคิดช่วยขอร้อง

 

 

ในเวลานี้เอง ขันทีผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ขอเข้าเฝ้า องค์ชายสี่และเหอซั่วอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เยี่ยเม่ยมีฐานะเป็นอ๋อง ดังนั้นยามเข้าท้องพระโรงต้องรายงานตำแหน่งของนาง

 

 

ถึงฮ่องเต้ไม่เข้าใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยเข้ามาทำไม แต่ว่าเป่ยเฉินเสียง พระองค์ก็คิดตามตัวเขามาเช่นกัน!

 

 

ฮ่องเต้ตรัสเสียงดังว่า “ให้พวกเขาเข้ามา!”

 

 

ไม่ช้าคนทั้งสามก็ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง

 

 

หลังจากถวายการคำนับแล้ว เป่ยเฉินเสียงก็ตะเกียกตะกายคุกเข่าลง เอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่อละเว้นแม่ทัพทั้งสองด้วย เสด็จพ่อเรื่องนี้ต้องมีคนคิดให้ร้าย ลูก…”

 

 

เป่ยเฉินเสียงมองไปรอบๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ต้องพูดถึงจงซานเลย กระทั่งซือถูจ้าวก็มองเขาด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย

 

 

ในเวลานี้สิ่งแรกที่เขาควรทำเมื่อมาถึงก็ไม่ใช่ขอรับผิด เพื่อเรียกความเชื่อใจของฝ่าบาทคืนมาหรอกหรือ ไฉนก้าวเข้ามาก็ร้องว่าถูกให้ร้าย นี่มันเรื่องอันใดกัน

 

 

แล้วก็เป็นดังคาด

 

 

ฮ่องเต้พิโรธตรัสว่า “ข้าไม่ได้เอาผิดกับเจ้า เจ้ากลับดีนักมาถึงก็ร้องว่าถูกให้ร้าย คนทั้งสองอยู่ใต้บัญชาของเจ้า พวกเขาจับกลุ่มต่อยตี ใช้กำลังทหารของส่วนรวมเพื่อเรื่องส่วนตัว ทำให้ทหารนับร้อยล้มตาย แล้วยังมีทหารบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน นี่คือคนที่เจ้าสั่งสอนมา เจ้าคิดเสียก่อนเถอะว่า เจ้าควรแก้ตัวกับข้าอย่างไรดี!”

 

 

ในเวลานี้เอง

 

 

           เป่ยเฉินอี้ที่เงียบสงบไม่เอ่ยวาจามาตลอด กลับมองคนทั้งหมดทีหนึ่ง น้ำเสียงน่าเกรงขามเอ่ยปากว่า “เสด็จพี่ ข้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ไร้ความสามารถในการควบคุมดูแลทหาร ทำให้กองกำลังรักษาการในเมืองหลวงต่อสู้กัน เช่นนั้นไม่สู้ยกเรื่องดูแลกองกำลังรักษาเมืองให้ข้าดูแลเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

[1] 15 นาที