ตอนที่ 78 จับอี้อ๋องออกไปประหาร / ตอนที่ 79 เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง รับการแต่งตั้ง

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 78 จับอี้อ๋องออกไปประหาร

 

 

ครั้นเป่ยเฉินอี้กล่าวออก ฮ่องเต้ทรงเบิกพระเนตรกว้างมองไปที่เป่ยเฉินอี้

 

 

นี่เขาคิดจะทำอะไร

 

 

เหล่าขุนนางล้วนชะงักงันเล็กน้อย หันหน้าไปมองอี้อ๋องที่พวกเขาเคารพนักหนา

 

 

ส่วนเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยปากออกมาในไม่ช้าว่า “เสด็จพ่อทรงมอบราชบัลลังก์นี้ให้เสด็จพี่ ก็เพื่อสืบทอดงานใหญ่ของราชสำนักเป่ยเฉินเรา แต่ว่าเสด็จพี่กลับไม่รู้จักใช้คน มอบหน้าที่ควบคุมกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์ให้กับองค์ชายใหญ่ ทั้งยังส่งมอบให้แม่ทัพคนที่เห็นแก่ความแค้นส่วนตัว ทะเลาะต่อยตีกันอยู่ข้างนอกจนตกในสภาพนี้ เสด็จพี่ไม่รู้สึกผิดต่อเสด็จพ่อบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เป่ยเฉินอี้!” ฮ่องเต้บันดาลโทสะแล้ว ตวาดก้องใส่เป่ยเฉินอี้

 

 

คนทั้งหลายต่างฟังกันขวัญหนีดีฝ่อ คำพูดของอี้อ๋องตำหนิฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังนำอดีตฮ่องเต้มาข่มฝ่าบาทด้วย

 

 

ฮ่องเต้ตวาดเสียงดังครั้งนี้

 

 

เป่ยเฉินอี้กลับคุกเข่า เอ่ยเสียงสุขุมว่า “ข้ารู้ว่าเสด็จพี่ไม่ชอบฟังคำพูดของข้า นับแต่โบราณมาคำพูดทัดทานมักแสลงหู คนในบัญชาของเสด็จพี่ไม่อาจดูแลกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์ได้ ไม่สู้มอบให้ข้าดูแล ข้าเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของเป่ยเฉิน ต้องปกปักรักษาบ้านเมือง ไม่มีทางปล่อยให้ดวงวิญญาณของเสด็จพ่อบนสวรรค์ไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน!”

 

 

“เป่ยเฉินอี้ เจ้า…”ฮ่องเต้พิโรธจนพระพักตร์คล้ำ ตรัสว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะสั่งให้ตัดหัวเจ้าทิ้ง!”

 

 

คนทั้งหมดได้ฟังก็รีบคุกเข่าลง ทัดทานว่า “ฝ่าบาท โปรดทรงพิจารณาด้วย!”

 

 

ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาท อี้อ๋องทำงานหนักมีคุณงามความชอบต่อราชสำนักเป่ยเฉิน ฝ่าบาทมิอาจสำเร็จโทษอี้อ๋องเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ถูกแล้ว!” คนอีกผู้หนึ่งรีบเสริมว่า “อี้อ๋องภักดีต่อฝ่าบาท คนทั่วหล้าต่างรับรู้!”

 

 

ยามทุกคนไม่เอ่ยประโยคนี้ออกมาก็ยังดี เมื่อพูดถึงคำว่าภักดีแล้ว สีพระพักตร์พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่าชมเข้าไปใหญ่ หลายปีที่ผ่านมาเรื่องเป่ยเฉินอี้ต้องการบัลลังก์ รวมไปถึงราชโองการที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ มีเพียงพระองค์ เป่ยเฉินอี้ รวมถึงเสินเซ่อเทียนและราชครูในปีนั้นที่รู้ความ

 

 

ขุนนางทั้งหลายเหล่านี้ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

 

 

ขุนนางทั้งหมดกลับเห็นว่าเป่ยเฉินอี้มีความชอบใหญ่หลวง หลังจากโจมตีราชสำนักจงเจิ้งแล้ว พระองค์สั่งให้กักบริเวณเป่ยเฉินอี้ ตอนนั้นคนจำนวนไม่น้อยมาขอร้องแทน ภายหลังทุกคนรู้ว่าขาของเป่ยเฉินอี้พิการแล้ว กักบริเวณเพื่อเป็นการปกป้องความปลอดภัยของเขา คนทั้งหมดถึงยอมถอยทัพ

 

 

ทว่าคนจำนวนไม่น้อยแอบวิจารณ์กันอยู่ลับๆ บอกว่าพระองค์มีใจระแวงเกินไป อิจฉาผู้มีความชอบ แม้แต่น้องชายที่ภักดีกับตนยังไม่อาจทนได้

 

 

ยามนี้เมื่อคำพูดเหล่านี้เอ่ยออกมา…

 

 

ฮ่องเต้บันดาลโทสะในบัดดล “หากข้าจะประหารเขาให้ได้ล่ะ”

 

 

ขุนนางผู้หนึ่งรีบแสดงจุดยืน “หากฝ่าบาททรงใจดำอำมหิตเลอะเลือนเช่นนี้ กระหม่อมยอมจบชีวิตกลางท้องพระโรง ไม่ขอรับใช้พระองค์ต่อไปอีก!”

 

 

“กระหม่อมก็เช่นกัน!” ขุนนางจำนวนไม่น้อยพากันคุกเข่า

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจว่า ตำแหน่งของเป่ยเฉินอี้ในใจของคนในราชสำนักอยู่ขั้นไหน ทั้งเข้าใจว่าทำไมตอนแรกเขาถึงมีความมั่นใจเช่นนั้น บอกว่าหากนางเลือกเขา ถึงเป็นวิธีที่ช่วยนางล้มล้างเป่ยเฉินได้เร็วที่สุด

 

 

จากนั้นก็มีขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ความจริงคำพูดของอี้อ๋องหาใช่ไร้เหตุผล อี้อ๋องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท หรือว่าฝ่าบาททรงวางใจมอบอำนาจทางทหารให้องค์ชายใหญ่กับแม่ทัพที่ทะเลาะกันจนเกิดเรื่องถึงชีวิตคน แต่ไม่ยอมมอบให้อี้อ๋อง”

 

 

“จริงด้วย กระหม่อมคิดว่ามอบอำนาจทางทหารให้อี้อ๋อง เป็นเรื่องสมควรแล้ว!” ขุนนางอีกคนก็สนับสนุน

 

 

เป่ยเฉินเสียงในยามนี้ทึ่งไปหมด ไม่รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

ส่วนเยี่ยเม่ยก็เริ่มเอ่ยปากแสดงละครแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 79 เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง รับการแต่งตั้ง

 

 

“ข้ากลับคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อี้อ๋องก็ไม่ควรตำหนิฮ่องเต้ นี่เท่าว่าท่านกำลังหมิ่นเบื้องสูง ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินเป่ยเฉินเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์ อี้อ๋องทำเช่นนี้จะไม่เป็นการเจ้ากี้เจ้าการเกินไปหรอกหรือ”

 

 

ทันทีที่เยี่ยเม่ยพูดจบ พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ดีมากขึ้นทันที

 

 

ทั้งท้องพระโรงกลับไม่มีใครคิดจะช่วยพูดแทนพระองค์บ้าง ต่างพากันเข้าข้างเป่ยเฉินอี้ ไม่คิดว่าเยี่ยเม่ยจะพูดช่วยพระองค์

 

 

เป่ยเฉินอี้หันกลับไปมองเยี่ยเม่ย พูดด้วยน้ำเสียงหนัก “นี่เป็นเรื่องระหว่างในครอบครัวข้ากับฮ่องเต้ ท่านอ๋องไม่ต้องยื่นมือมายุ่ง”

 

 

“เรื่องในครอบครัวหรือ”  เยี่ยเม่ยเอ่ยขึ้นราวกับได้ยินเรื่องขบขัน มองเป่ยเฉินอี้พร้อมกล่าวต่อว่า “อี้อ๋อง แม้ว่าท่านจะเป็นชินอ๋อง[1]ส่วนข้าเป็นเพียงจวินอ๋อง[2] ไม่ควรจะล่วงเกินท่านเช่นนี้ แต่เชื่อว่าท่านอ๋องต้องเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ต่อหน้าผู้ปกครองไม่มีเรื่องในครอบครัว ส่วนเรื่องทหารองครักษ์ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องของบ้านเมือง ฮ่องเต้ทรงมีอำนาจในการตัดสินใจ”

 

 

“เจ้า….” เป่ยเฉินอี้โมโหเยี่ยเม่ยจนควันออกหู

 

 

ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เห็นเป่ยเฉินอี้สนับสนุนให้เยี่ยเม่ยให้เป็นขุนนาง ก็คิดว่าทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน แต่เมื่อเห็นทั้งสองฟาดฟันกัน จึงคิดว่าก่อนหน้านี้ตนคิดมากไปเอง ระหว่างทั้งสองคนมิได้เกี่ยวข้องอะไรกัน

 

 

ไม่เพียงเท่านั้นแต่ดูแล้วทั้งสองยังเป็นอริกันด้วย

 

 

พระองค์จึงคลายใจได้ชั่วขณะ แล้วรู้สึกพอพระทัยลูกสะใภ้คนนี้ขึ้นมา

 

 

ฮ่องเต้จึงตรัสขึ้นว่า “เหอซั่วหนี่ว์อ๋องกล่าวได้ถูกต้อง แผ่นดินเป่ยเฉินเป็นแผ่นดินของข้า อำนาจการทหารก็เป็นอำนาจของข้า  ข้าจะมอบให้ใครก็ได้ ไม่ต้องรอให้เจ้ามาถาม”

 

 

เมื่อพระองค์ตรัสออกไป เยี่ยเม่ยก็ได้แต่หัวเราะเยาะในใจ

 

 

ที่ผ่านมานางคิดว่าฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่ฉลาดนัก แต่ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ไม่ฉลาดแต่ต้องเรียกว่าโง่เง่าเลยทีเดียว

 

 

คำพูดเช่นนี้ฮ่องเต้ตรัสออกมาได้งั้นรึ

 

 

แล้วก็จริง

 

 

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ต่างพากันตื่นตระหนกตกใจ แม้แต่ซือถูจ้าวก็อดที่จะเอ่ยปากไม่ได้ “ฮ่องเต้…. พระองค์ทรงโปรดระวังด้วย”

 

 

จริงอยู่ที่พระองค์คิดจะมอบอำนาจการทหารให้แก่ใครก็ได้ แต่ก็ไม่ควรตรัสออกมาตรงๆ เช่นนี้ เรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะทำตามอำเภอใจได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้คงจะมีแต่ฮ่องเต้ทรราชเท่านั้นถึงจะพูดออกมาได้

 

 

จงซานก็มองฮ่องเต้อย่างตกตะลึง

 

 

ฮ่องเต้มุมปากกระตุก ทั้งทรงรู้ว่าเพราะคำสนับสนุนของเยี่ยเม่ย ทำให้พระองค์ลืมตัว คำพูดนี้ไม่ควรตรัสออกไป แต่วาจาของฮ่องเต้ดั่งทองคำ พระองค์ไม่อาจพูดว่า เมื่อครู่พระองค์เพียงแค่พูดเรื่อยเปื่อย ทุกคนอย่าได้ถือเป็นเรื่องจริงจัง

 

 

ดังนั้น

 

 

เหล่าขุนนางเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอะไร ก็คิดว่าฮ่องเต้ทรงเลอะเลือนจนไม่อาจแก้ไขได้ ในใจของเหล่าขุนนางก็พากันสนับสนุนให้เป่ยเฉินอี้เป็นผู้ควบคุมอำนาจการทหาร

 

 

ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้ก็ไม่ถูก อำนาจการทหารหาใช่เรื่องเล่นๆ บ้านเมืองก็หาใช่ของพระองค์เพียงผู้เดียว แต่เป็นบ้านเมืองของประชาชน พระองค์ตรัสวาจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ออกมา ในฐานะที่พวกหม่อมฉันเป็นขุนนางที่ภักดี ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ อี้อ๋องเป็นขุนนางกำลังสำคัญของราชวงศ์เป่ยเฉิน ซ้ำยังเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของพระองค์ ท่านอ๋องย่อมมีสิทธิ์จัดการกำลังทหาร พระองค์ไม่ทรงลองมอบทหารรักษาเมืองให้อี้อ๋องจัดการ”

 

 

นี่คือขุนนางฝ่ายตรวจการ

 

 

คนของฝ่ายตรวจการมีหน้าที่ยื่นฎีกา และยังแบกภาระอันหนักอึ้งในการทัดทานอีกด้วย  ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่กล้าพูดที่สุด

 

 

เมื่อเขาเปิดประเด็น

 

 

เจ้ากรมทหารก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท แต่เดิมอี้อ๋องก็เป็นผู้ควบคุมกำลังทหาร ในช่วงนั้นความสามารถในการฝึกทหารของอี้อ๋องก็เป็นที่ประจักษ์ไปทั่ว ทุกคนต่างพากันนับถือ ต่อมาราชวงศ์จงเจิ้งดับสูญ ฝ่าบาทก็ทรงคำนึงถึงสุขภาพร่ายกายของอี้อ๋อง ต้องการให้ท่านอ๋องรักษาร่างกาย จึงได้เรียกตราทัพคืน แต่วันนี้อี้อ๋องร่างกายแข็งแรงดีและยินดีกลับมารับหน้าที่อีกครั้ง ฝ่าบาทก็ควรจะให้ท่านอ๋องได้รับใช้บ้านเมืองอีกครั้งถึงจะถูก”

 

 

“จริงด้วย ฝ่าบาท! ดีกว่าจะมอบอำนาจการทหารให้องค์ชายใหญ่ทำจนเละเทะเช่นนี้” นี่กลับเป็นคำพูดของราชครูขององค์ชายใหญ่

 

 

สำหรับลูกศิษย์ของตนเองนั้น ราชครูมิได้พอใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

เขาเป็นขุนนางที่ภักดีมาทั้งชีวิต ย่อมหวังจะอบรมฮ่องเต้ที่ดีเพื่อราชสำนักเป่ยเฉิน เพื่อสืบทอดราชบัลลังก์เมื่อรู้ว่าเสินเซ่อเทียนรับองค์ชายสี่ไว้เป็นศิษย์ ใจเขาก็คิดเพียงแต่จะอบรมศิษย์ที่มีความสามารถมาเพื่อวัดระดับกับเสินเซ่อเทียน

 

 

ผลที่ได้ล่ะ

 

 

เมื่อเปรียบเทียบองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่

 

 

ท่านราชครูเพียงหวังว่าเขาไม่เคยสอนลูกศิษย์คนนี้ เขากลัวว่าหากเสินเซ่อเทียนล่วงรู้ความคิดของเขาในเวลานั้นที่ต้องการวัดความสามารถกัน คาดว่าเสินเซ่อเทียนคงอยากจะหัวเราะจนฟันหลุด ไม่แน่ว่าความเจ็บปวดจากการอกหักของเสินเซ่อเทียน อาจจะหายดีก็เป็นได้

 

 

ดังนั้น เขาจึงมักสงสัยอยู่เสมอว่าสุดท้ายเป่ยเฉินเสียงจะขึ้นครองบัลลังก์ได้หรือไม่ ซ้ำร้ายเขายังรู้สึกผิดหวังกับเป่ยเฉินเสียงเป็นอย่างมาก ยังไม่ต้องพูดถึงเป่ยเฉินเสียงมีท่านลุงถึงเป็นเสนาบดีที่มีกำลังแข็งกล้า ถึงเขาจะสนับสนุนก็คงไม่เห็นความสำคัญสักเท่าใด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนับสนุนเป่ยเฉินเสียงสักเท่าใด

 

 

แต่ว่า….

 

 

คำพูดราชครูผู้เป็นอาจารย์ขององค์ชายใหญ่ที่เอ่ยออกมานี้ ก็เหมือนเป็นการตบหน้าเป่ยเฉินเสียงอย่างจัง

 

 

เท่ากับเป็นการบอกฮ่องเต้ว่าเป่ยเฉินเสียงไม่เหมาะที่จะควบคุมทหารองครักษ์

 

 

ฮ่องเต้ทรงสูดพระอัสสาสะ[3]ลึก ตรัสขึ้น “ในเมื่อองค์ชายใหญ่ไม่เหมาะสมที่จะควบคุมทหารองครักษ์สองแสนนาย ก็ควรจะนำตราพยัคฆ์คืนกลับมา”

 

 

คำพูดของฮ่องเต้ก็หมายความว่า พระองค์ต้องการคุมอำนาจทหารด้วยตัวพระองค์เอง

 

 

เป่ยเฉินอี้หรี่ตามองพระองค์ กดต่ำเสียงเอ่ยว่า “เสด็จพี่ เอากำลังลังทหารสองแสนกลับคืนไป ย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ใครจะรับรองได้ว่า วันข้างหน้าเสด็จพี่จะไม่มอบกำลังทหารนี้ให้กับองค์ชายใหญ่อีก ”

 

 

เป่ยเฉินเสียงได้ยินดังนั้นก็ทนไม่ไหว ตรัสด้วยความฉุนเฉียว “เสด็จอา ข้ากับท่านก็ไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองอันใด เหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้”

 

 

“ก็เพราะไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นอะไร ดังนั้นไม่ได้จงใจเป็นปรปักษ์กับเจ้า แต่ข้าทำไปก็เพื่อความสงบสุขของราชวงศ์เป่ยเฉิน”  เป่ยเฉินอี้จ้องมองฮ่องเต้ พูดต่อ “สรุปก็คือข้าต้องได้กำลังทหารนี้ เสด็จพี่ใช้คนไม่เป็นก่อน หม่อมฉันไม่อาจจะเชื่อเสด็จพี่ต่อไปได้อีก”

 

 

เหล่าขุนนางต่างพากันสนับสนุน “จริงด้วย ฝ่าบาท พระองค์ไม่เหมาะจะกุมกำลังทหารสองแสนนี้ไว้ในมือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทุกคนคิดถึงคำพูดของฮ่องเต้เมื่อครู่ พระองค์คิดจะมอบกำลังทหารให้ใครก็ได้แบบนี้ จึงคิดว่าไม่ควรให้พระองค์กุมกำลังไว้ ไม่แน่ว่าวันไหนจะเกิดเรื่องเช่นวันนี้ขึ้นมาอีกก็ได้

 

 

เยี่ยเม่ยถลึงตามองทุกคน “ใต้เท้าทุกท่าน พวกท่านลืมไปแล้วหรือ ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ พวกท่านรู้ตัวเองว่าควรภักดีกับใครไหม”

 

 

ใต้เท้าทั้งหลายได้ยินแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ยอมถอย

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วก็เข้าใจ พระองค์หัวเราะด้วยสุรเสียงเย็นชา “ฮ่าๆ ข้าเห็นแล้ว วันนี้พวกเจ้าบุกเข้ามาในวัง กดดันให้ข้ารับผิดชอบที่พวกเขาสองคนทะเลาะกัน  เป่ยเฉินอี้เจ้าต้องการกำลังทหารใช่ไหม ข้าไม่ให้เจ้าสมหวัง ข้าเชื่อพวกเจ้า ข้าไม่คุมกำลังทหาร เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง รับการแต่งตั้ง”

 

 

 

 

 

 

 

[1]  ตำแหน่งที่แต่งตั้งให้กับองค์ชาย (ลูกชาย หรือ พี่ชายน้องชายของฮ่องเต้)ที่ทำคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน ซึ่งถือเป็นพระยศสูงสุดขององค์ชาย

 

 

[2] ตำแหน่งที่แต่งตั้งองค์ชายที่เป็นชั้นหลาน ที่ทำคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน ซึ่งถือเป็นพระยศที่รองจากชินอ๋อง

 

 

[3] ลมหายใจ