บทที่ 1273 – เริ่มลงมือ ตระกูลฟู่เป็นตระกูลแรก

 

เมื่อได้รู้ว่าเรื่องนี้ยังคงมีหวังชิงสุ่ยก็ยังคงมีความหวังเช่นกัน เขาเชื่อว่าเขาจะต้องยกระดับไปสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้อย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นพลังของเขาจะต้องพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง

 

ชิงสุ่ยก็มีความรู้สึกว่าหากเขาได้เข้าสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล เขาย่อมสามารถเข้าสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้เช่นกัน กลุ่มคนที่เป็นเหมือนเทพเจ้าในโลกแห่งนี้!

 

เมื่อเลิกคิดเรื่องนี้ชิงสุ่ยก็ได้ปิดสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์ลงไป ยิ่งอ่านไปมากเท่าไรสารานุกรมเล่นนี้ก็ดูจะลึกลับยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการสร้างหุ่นเชิดสวรรค์ และการมอบจิตวิญญาณให้แก่มัน พวกมันย่อมช่วยเหลือในการต่อสู้ได้ ราวกับหุ่นเชิดของนิกายหุ่นเชิดสวรรค์

 

แต่การที่จะมอบจิตวิญญาณให้แก่มันได้นั้นต้องอยู่ในระดับที่สูงยิ่งนัก ระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณ… ชิงสุ่ยไม่คิดว่าระดับขั้นในการเขียนภาพจะมีความสำคัญในตอนนี้ ใช้ระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณและเขียนลงไปบนหุ่นเชิด เขาก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณของเขาเพื่อควบคุมมันได้

 

หุ่นเชิดสวรรค์จะทรงพลังมากเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เขียนภาพและยังรวมไปถึงพลังวิญญาณของผู้ใช้ แน่นอนว่ามันยังเกี่ยวข้องกับวัสดุที่ใช้ในการสร้างหุ่นเชิดด้วย วัสดุที่ใช้สร้างมันจะต้องเป็นไม้และแน่นอนว่ามันจะต้องมีระดับสูง โชคดีที่ยังมีไม้ที่ถือว่าคุณภาพสูงมากมาย อย่างเช่นเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด มันก็ไม่ได้แย่เลยที่จะใช้เถาวัลย์นี้ในการสร้างหุ่นเชิด

 

ชิงสุ่ยวางแผนที่จะศึกษารายละเอียดของสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์นี้อีกครั้งในอนาคต นั่นก็เพราะๆหุ่นเชิดสวรรค์นั้นมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน เมื่อมันสร้างขึ้นจากทุกทุกอย่างที่มีระดับสูงเช่นนี้มันก็ควรจะมีความสามารถที่ไม่เลวนัก แต่ที่เขาคิดในตอนนี้คือเขาต้องไปให้ถึงระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณก่อน

 

ชิงซายังไม่เข้าร่วมกับสำนักสวรรค์เร้นลับ แต่ตอนนี้นางก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหญิงสาวหลายคน มันอาจเป็นเพราะด้วยอายุของนาง เมื่อนางได้เผชิญหน้ากับคนอื่นๆกลิ่นอายที่ทรงพลังและอันตรายของนางนั้นทำให้คนอื่นๆรู้สึกได้ถึงอันตราย แต่ชิงสุ่ยและหญิงสาวหลายคนก็ได้รู้สึกชินชาไปกับมันแล้ว

 

วันปีใหม่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชิงสุ่ยรู้ว่ามีอีกหลายสิ่งที่เขาจะต้องจัดการในตอนนี้ ตัวอย่างเช่นตระกูลฟู่และตระกูลเทียน เหล่าผู้คนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขายังไม่ได้ลงมืออะไรในตอนนี้ เพราะพวกเขายังไม่ได้ทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่ได้มารุกรานชิงสุ่ยแต่อย่างใด

 

เขายังมีความคิดที่จะสังหารใครสักคนเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ในอดีตเขารู้สึกว่าเขาไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับต่างออกไปและมันก็เหมาะสมยิ่งนักที่เขาจะทำเช่นนี้ มันน่าเสียดายสำหรับเขาการลงมือเช่นนี้จะไม่ได้รับผลประโยชน์อื่นด้วย

 

ตระกูลฟู่นั้นเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งภายในสำนักสวรรค์เร้นลับมาเป็นเวลานาน มันน่าเสียดายยิ่งนักเพราะเมื่อมันสืบทอดมาถึงรุ่นของฟู่ เหยียนเทียน สำหรับฟู่ เหยียนเทียนเอง การที่เขาทรงพลังยิ่งขึ้นและได้เป็นประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับ นี่ย่อมจะนำพาให้ตระกูลฟู่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด หากฟู่ เหยียนเทียนไม่ทะเยอทะยานเช่นนี้ คนรุ่นถัดไปของตระกูลฟู่ย่อมยากนักที่จะทำเช่นนี้ได้ในอนาคต

 

มันก็น่าเสียดายที่ฟู่ เหยียนเทียนนั้นได้เป็นคนพิการไปแล้วและมันก็ยากยิ่งนักสำหรับตระกูลฟู่ที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง พวกเขาทําได้เพียงเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ในตอนแรกชิงสุ่ยงั้นก็ไม่ได้คิดจะสังหารพวกเขาทั้งหมดแต่เมื่อคิดว่าตระกูลฟู่อาจจะลอบสังหารเขาได้ เขาจึงเปลี่ยนใจมาทำเช่นนี้ เมื่อพวกเขาได้ประกาศท่าทีของตนเองออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็โทษเขาไม่ได้ที่จะไร้เมตตาเช่นนี้

 

ชิงสุ่ยเดินทางไปกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำและมาถึงท้องฟ้าเหนือตระกูลฟู่พร้อมกับวิหคเพลิงที่บินอยู่เหนือเขา

 

เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ตั้งแต่ตระกูลฟู่ได้ทำบางอย่างเช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว เขารู้ว่าย่อมมีคนของตระกูลฟู่ที่จะออกมา

 

ในเวลาไม่ถึง 1 ก้านธูป ชายชรา 3 คนก็บินออกมาจากตระกูลฟู่ พวกเขาดูแก่ชราอย่างยิ่งและสวมชุดขาวที่ดูธรรมดาในขณะที่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยสีหน้าที่ขึงขัง

 

“เจ้ามาที่ตระกูลฟู่ทำไมกัน?” ชายชราที่เป็นผู้นำนั้นมีดวงตาเป็นรูปสามเหลี่ยม คิ้วหนา จมูกแดง เขามีร่างกายที่สูงและกำยำ มีผมที่ฟูเหมือนกับราชสีห์ นี่ถือเป็นความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด ชายชรามองตรงมายังชิงสุ่ยพร้อมกับเจตนาสังหารในดวงตาของเขา

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะรับสิ่งที่ติดค้าง พวกเจ้าพร้อมหรือไม่?” ชิงสุ่ยกล่าวเข้าเรื่องทันที เขารู้ว่าคนพวกนี้ย่อมเข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร

 

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าตระกูลฟู่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวยโสโอหังได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจที่สุดเพียงเพราะพรสวรรค์อันน้อยนิดนั่นนั้นหรือ” ชายชรามองตรงมายังชิงสุ่ยอย่างสงบนิ่ง  แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ยอบรับในสิ่งที่ชิงสุ่ยพูดไป แม้ว่ามันอาจจะมีหลักฐาน พวกเขาก็จะผลักไสมันให้กับแพะรับบาปสักคนหนึ่ง พร้อมบอกว่าคนๆนั้นทำด้วยเจตนาของตนเองและไม่เกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลฟู่

 

“ข้าไม่ได้มาเพื่อเจรจาในวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับมันหรือไม่ ข้าก็จะมาเพื่อสังหารในวันนี้” ชิงสุ่ยกล่าวทุกๆคำอย่างชัดเจน

 

“เจ้าคิดว่าตนเองสูงส่งมากนักนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวอวดเก่งได้ แม้ว่าประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับจะให้ท้ายเจ้า ข้าก็จะทวงคืนความยุติธรรมในวันนี้” สายตาแห่งความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา

 

“เพราะมีคนแบบพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดตระกูลฟู่จึงได้เสื่อมโทรมลงไป วันนี้ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อรับสิ่งที่พวกเจ้าติดค้างข้าเอาไว้ ลงมือเถอะ อย่าเสียเวลากันอีกเลย”

 

ชิงสุ่ยใช้เกราะอสูรสำแดงของเขาในทันทีและจากนั้นมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็ปล่อยวชิระสยบอสูรออกไป!

 

เมื่อจัดการกับคนเหล่านี้ สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการคือจัดการกับที่ทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงใช้ปราณจักรพรรดิทันที

 

ตราประทับซวนเทียน!

 

ก้าวพสุธามังกรไอยรา!

 

อากาศโดยรอบเป็นเหมือนกับน้ำวนที่ระเบิดขึ้น แม้ว่าเขาจะลงมือโดยปราศจากอาวุธ ชิงสุ่ยก็มีพลังที่เทียบได้กับคนอื่นๆที่ได้ถืออาวุธในตำนาน คนอื่นๆย่อมไม่อาจเข้าใจได้ว่าชิงสุ่ยนั้นทรงพลังมากเพียงใด

 

เพลิงนรกภูมิ!

 

พลังของชายชราทั้ง 3 คนนั้นอยู่ที่ประมาณ 5,000 สุริยา มันถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ประมุขของนิกายบงกชเทวะก็มีพลังเพียง 6,000 สุริยาเท่านั้น แน่นอนว่าประมุขของนิกายไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายในนิกายนั้นๆ

 

ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังที่สุดภายในตระกูลฟู่ แต่ก็ยังมีชายชราอีกหลายคนที่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ พวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้นก็ไม่มีใครรู้ ชายชราทั้ง 3 คนจากตระกูลฟู่นั้นถือเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลฟู่แล้ว ในตอนนี้พวกเขาออกมาเพื่อกำจัดชิงสุ่ย มิฉะนั้นตระกูลฟู่จะต้องทุกข์ทรมานกับปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดในอนาคต

 

พลังเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้ในการบดขยี้ศัตรูมากมาย พวกเขารู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นมีพลังเพียง 3,000 สุริยาหรืออาจจะไม่ถึง 3,000 สุริยาเลยก็ได้ ความแตกต่างระหว่าง 2,000 และ 3,000 สุริยานั้นก็ถือว่ามากยิ่งนักและความแตกต่างระหว่าง 3,000 ถึง 4,000 สุริยานั้นก็เป็นเหมือนคนละโลกกันเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงดูมั่นใจยิ่งนัก

 

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็จะได้รู้ว่าที่เป็นเพราะความโง่เขลาของตนเอง พวกเขารู้สึกอ่อนแอลงไปในทันทีและเหลือพลังอยู่เพียง 3,500 สุริยา…

 

พลังมากกว่า 5,000 สุริยาถูกลดลงมาจนเหลือเพียง 3,500 สุริยา… ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันเช่นนี้ได้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้มีปฏิกิริยาอะไรตราประทับซวนเทียนก็ได้พุ่งเข้ามาปะทะกับพวกเขา ในตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เพราะความประมาทของพวกเขาตระกูลฟู่อาจจะถึงจุดจบได้ในวันนี้

 

พลังจากก้าวพสุธามังกรไอยราได้เข้ามาปะทะกับพวกเขาแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกมึนงงแต่อย่างใด แต่ในตอนนี้เองวิหคเพลิงก็ได้เริ่มโจมตี

 

เพลิงนรกภูมิ!

 

พลังโจมตีกว่า 4,000 สุริยา!

 

มันถือว่าง่ายยิ่งนักที่จะจัดการชายชราทั้ง 3 คนที่เหลือพลังอยู่เพียง 3,500 สุริยา ในตอนนี้ทั้งในด้านของพลังโจมตีและความเร็ว วิหคเพลิงนั้นได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

เคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรก!

 

เพลิงนรกภูมิ!

 

หนึ่งในชายชราสามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้เพียงครั้งแรก ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งที่ 2 และได้รับบาดเจ็บหนักในการโจมตีที่ 3 การโจมตีแต่ละครั้งนั้นทำให้วิหคเพลิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและโบกสะบัดปีกอันทรงพลังของมันพร้อมกับตรงเพลิงนรกภูมิไปยังชายชราทั้งสามคน

 

หายไปซะ!

 

ชายชราถูกทำลายจนไม่มีอะไรหลงเหลือไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 ลมหายใจเท่านั้น

 

เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจยอดฝีมือที่มีพลังกว่า 5,000 สุริยาก็ต้องจบลงด้วยสภาพเช่นนี้…

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าพลังที่แท้จริงของวิหคเพลิงนั้นมีมากเพียงใด เมื่อประสานงานกับปราณจักรพรรดิของเขาและวชิระสยบอสูรของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังกว่า 5,000 สุริยาย่อมไม่อาจรับมือกับพลังนี้ได้แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ

 

นี่ถือเป็นความประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับชิงสุ่ยในขณะที่มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับชายชราที่เหลืออีก 2 คน พวกเขาทั้งสามคนนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และหากวิหคยักษ์สีดำตัวนี้ต้องการจะกำจัดพวกเขา มันคงเป็นเรื่องที่พวกเขาจะไม่อาจต่อต้านอะไรได้เลย

 

ชายชราอีก 2 คนก็มองตากันอย่างรวดเร็วและกวัดแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือของพวกเขา ราชันย์แมลงยักษ์เกราะน้ำแข็ง 2 ตัวก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างๆพวกเขา สัตว์อสูรทั้ง 2 ตัวนี้เหมือนกับก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนแมลง มันมีขนาดยาวกว่าร้อยเมตรและเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมๆ ในตอนที่มันปรากฏตัวมามีหมอกน้ำแข็งปรากฏอยู่รอบตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสกับหมอกน้ำแข็งนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง

 

สัตว์อสูรบรรพกาลวิวัฒนาการ!

 

ชิงสุ่ยมองไปยังแมลงทั้งสองตัวนี้ที่ดูเหมือนจะทรงพลังยิ่งกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำเด็กน้อยแต่ยังคงไม่อาจเทียบได้กับเพลิงทองคำเบญจธาตุ แต่ในด้านของธาตุทั้ง 5 นั้น ธาตุไฟนั้นแพ้ทางธาตุน้ำ

 

แต่แม้ว่าน้ำแข็งนั้นจะจัดอยู่ในธาตุน้ำ ความสามารถของพวกมันกับวิหคเพลิงนั้นต่างกันมากเกินไปและพวกมันคงสามารถรับมือได้เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกมันอยู่ในระดับเดียวกันกับวิหคเพลิง ชิงสุ่ยอาจจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะธาตุของสัตว์อสูรของเขานั้นถือว่าแพ้ทาง ในตอนนี้ชายชราทั้ง  2 คนต่างแบกรับอนาคตของตระกูลฟู่เอาไว้บนบ่าของพวกเขา

 

ทันใดนั้นหนึ่งในพวกเขาก็หยิบก้อนหินที่มีสีสันสดใสออกมา สำหรับชิงสุ่ยมันดูเหมือนหินธรรมดา แต่เมื่อตอนที่ชายชราโยนมันขึ้นไปกลางอากาศมันก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่

 

ในตอนที่มันระเบิดขึ้นนั้นเสียงของระเบิดก็ดังออกไปไกล

 

นี่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้นหรือ?

 

ชิงสุ่ยระวังตัวในทันที เขาได้สังหารชายชราไปแล้ว 1 คนและคงไม่ปล่อยให้อีก 2 คนนั้นรอดไปได้ ด้วยประกายแห่งความดุดันในสายตาของเขา เขาก็ได้ใช้ฝ่ามือพุทธองค์ทองคำออกมาเพื่อกักขังชายชราไว้

 

วิหคเพลิงปลดปล่อยการโจมตีของมันอีกครั้ง!

 

หลังจากที่ชายชรานั้นอ่อนแอลงพวกเขาก็มีพลังเท่ากับชิงสุ่ย วิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั้นกำลังสังหารยอดฝีมือที่มีพลังกว่า 3,500 สุริยา นี่ถือเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งนัก หากปราศจากปราณจักรพรรดิและวชิระสยบอสูร ชิงสุ่ยย่อมไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถจัดการกับชายชราของตระกูลฟู่ได้

 

ในตอนที่ผู้คนของตระกูลฟู่ได้ออกมาที่นี่นั้น ทั้งฟู่ เหยียนเทียนและฟู่ เหยียนติงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ในตอนนี้ฟู่ เหยียนเทียนได้กระอักเลือดออกมาและหมดสติไป

 

ฟู่ เหยียนติงนั้นมองตรงมายังชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองพยาบาท ชิงสุ่ยร่อนลงมาสู่พื้นอย่างช้าๆ “ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าพวกเจ้าทำลายพลังยุทธ์ของตนเอง มิฉะนั้นพวกเจ้าก็จะเป็นเหมือนเขา”

 

เมื่อชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้พร้อมกับสะบัดมือ เขาก็ฟาดฟันไปยังฟู่ เหยียนติงด้วยฝ่ามือของเขา ชิงสุ่ยเห็นความแค้นเคืองภายในสายตาของฟู่ เหยียนติง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกรงกลัวฟู่ เหยียนติงก็ตาม ชิงสุ่ยก็ไม่ชอบที่จะลอบทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีเช่น

 

ฟู่ เหยียนเทียนอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็เป็นได้และดังนั้นจึงไม่จำเป็นสำหรับชิงสุ่ยที่จะต้องลงมือใดๆอีก

 

ชิงสุ่ยไม่ได้อยากที่จะกำจัดผู้ใดอย่างถอนรากถอนโคนแต่เขาก็ไม่อยากที่จะมีเมตตามากจนเกินไป เมื่อถึงเวลาที่ต้องสังหาร เขาก็จะไม่มีเมตตาใดๆ มีบางคนไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ตัวอย่างเช่นฟู่ เหยียนติง ยิ่งไปกว่านั้นฟู่ เหยียนเทียนยังสมควรที่จะตายเช่นกัน

 

ความโหดเหี้ยมของชิงสุ่ยทำให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง หลังจากที่แม้แต่ชายชราทั้ง 3 คนก็ถูกกำจัดออกไป พวกเขาจะสามารถทำอะไรได้อีกอัน?

 

ทุกคนของตระกูลฟู่ต่างตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว หากไม่มีพลังยุทธ์พวกเขาก็จะเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต สำหรับใครหลายๆคนเมื่อทำลายพลังยุทธ์ของพวกเขาไป เวลาชีวิตของพวกเขานั้นก็จะเหลืออีกไม่มากนัก

 

“ข้าสามารถแสดงความจงรักภักดีต่อท่านแทนได้หรือไม่?” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว

 

เพียงแค่หมัดเดียว ชิงสุ่ยก็ทำให้เขากระเด็นไป และสังหารเขาไปในทันที

 

ตระกูลฟู่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเจรจาใดๆ

 

“ฆ่ามัน! โจมตีไปที่มันพร้อมๆกัน! เราทุกคนต่างเป็นคนของตระกูลฟู่!” ชายชราอีกคนตะโกนออกมาคนทีและพุ่งตรงไปยังชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาขณะที่มองไปยังคนประมาณ 20 คนที่กำลังพุ่งตรงมาที่เขา

 

นิ้ง!

 

วิหคเพลิงพุ่งถลาลงมาหาพวกเขา มันปลดปล่อยเคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรกออกมา กลุ่มของคนที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขาก็ถูกทำลายไปทันที

 

“หยุดนะ” เสียงที่ดูแก่ชราดังขึ้น มันปลดปล่อยแรงกดดันออกมาอย่างมาก