ภาคที่ 2 บทที่ 43 รวมกลุ่ม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 43 รวมกลุ่ม

“หือ ?” คำของซูเฉินทำให้หวังโต้วซานเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้าพูดอย่างกับคิดจะไปที่หุบเขาพันเถ้า ?”

เวลา 4 ปีที่ผ่านมา ซูเฉินจมอยู่กับการทดลอง ไม่เคยออกจากห้อง ไม่ทำกิจกรรมอื่นใด อย่างมากก็ออกมาดื่มชาพูดคุยกับจินหลิงเอ้อร์และหวังโต้วซานเท่านั้น

ดังนั้นหวังโต้วซานจึงคิดว่าหากจางเซิ่งอันตอบตกลงให้พาซูเฉินไปด้วย เขาคงต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมซูเฉินไม่น้อย

แต่แปลกนักที่ซูเฉินกลับมีความคิดที่จะเดินทางไปหุบเขาพันเถ้าอยู่แล้ว

ซูเฉินยักไหล่ “ก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ”

เขาทดลองตำราเปิดพลังไคฮวงสำเร็จไปแล้ว ดังนั้นจึงมีเวลาในมือเพิ่มขึ้นโดยฉับพลัน

4 ปีมานี้เขาใช้สมองขบคิดเคร่งเครียดมาโดยตลอด ตอนนี้ได้เวลาผ่อนคลายบ้างแล้ว

หวังโต้วซานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจนัก “ดีเลย! ข้าจะลองถามกลุ่มอื่น ๆ ดู”

“อย่าลืมรวมอวิ๋นเป้าเข้าไปด้วย” ซูเฉินเอ่ย

“เข้าใจแล้ว” หวังโต้วซานตอบ จากนั้นก็หายไปในหมู่คน หากลุ่มที่เต็มใจจะพาพวกเขาสามคนไปยังหุบเขาพันเถ้าด้วยกัน

หากแต่หลาย ๆ กลุ่มที่หวังโต้วซานไปสอบถามต่างบอกตรงกันว่าพวกเขาเต็มใจรับหวังโต้วซาน และกระทั่งอวิ๋นเป้า หากแต่ไม่เต็มใจรับซูเฉินเข้ากลุ่ม

ด้วยเขาได้อันดับที่ 5 ของการสอบในมณฑลสามเทือกเขา ชื่อของเขาจึงเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คน

แต่ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ที่ทำให้หลายคนต่างรับรู้ถึงการ ‘ตกต่ำ’ ของเขา สถานกรณ์ของซูเฉินไม่ได้ปิดเป็นความลับ เขาไม่ได้เข้าร่วมการประลองสิ้นปีถึง 4 ปีติด ส่งผลให้ชื่อของเขากลายเป็นเหมือนชื่อคนขี้ขลาด

เมื่อได้ยินชื่อซูเฉิน หลาย ๆ คนต่างตอบปฏิเสธ

มีบ้างที่ตกลงรับซูเฉินเข้ากลุ่ม แต่กลับตกลงกันว่าจะให้ส่วนแบ่งเขาลดลงกว่าครึ่ง ทั้งกล่าวว่ากำลังหรือความกล้าหาญของซูเฉินนั้นมีไม่มาก ที่เมตตารับเข้ากลุ่มมาเพื่อเห็นแก่หน้าหวังโต้วซานเท่านั้น ทำให้หวังโต้วซานจากมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

หลังจากหากลุ่มไปทั่วลานแล้ว สุดท้ายก็พบเข้ากับกลุ่มเหมันต์เหิน

กลุ่มเหมันต์เหินตั้งใจจะไปผจญภัยที่หุบเขาพันเถ้า แต่ด้วยสมาชิกไม่แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นจึงไม่แล้งน้ำใจต่อซูเฉิน

แต่พวกเขากลับปฏิเสธหวังโต้วซาน

เหตุผลคือหวังโต้วซานเป็นคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขา

ในความเป็นจริงแล้ว คนกลุ่มอื่นก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน หลาย ๆ คนไม่ยอมรับซูเฉิน ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง

สำหรับกลุ่มเหมันต์เหิน วิธีรักษาเกียรติที่ดีที่สุดของกลุ่มคือการดึงคนประเภทเดียวกันเข้ามาและปฏิเสธคนอื่นออกไป

แม้หวังโต้วซานจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากยอมรับเข้ามาก็นับเป็นการทำลายชื่อเสียงของกลุ่มเหมันต์เหิน นับเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้

ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาไม่คิดรับหวังโต้วซานและคนอื่น ๆ

ในตอนที่หวังโต้วซานใกล้หมดความอดทนนั้นเอง หญิงสาวดูท่าทางขี้อายคนหนึ่งก็เดินตรงมายังเขา นางสวมกระโปรงรัดรูปสั้นสีแดงปักลายเมฆสีกุหลาบ โบว์สีกุหลาบที่พันแขนทั้งสองข้างของนางยาวลงมาถึงขาเรียวขาเล็ก นางมีใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม ผมเปียสั้นสองข้างนางมีผ้าสีรุ้งพันอยู่ด้วย นางเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่า “ขออภัย พวกเจ้ากำลังหากลุ่มเพื่อเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้าหรือ ?”

ซูเฉินและหวังโต้วซานหันมองหน้ากัน

ซูเฉินตอบ “ใช่แล้ว เจ้าคือ……?”

หญิงสาวตอบ “ข้ามีนามว่าตู้ฉิง ข้ากับสหายอีก 2-3 คนวางแผนจะเดินทางไปหุบเขาพันเถ้า กำลังขาดคนพอดี พวกเจ้ามารวมกลุ่มกับข้าดีไหม ?”

ซูเฉินเหลือบมองหวังโต้วซาน

……

ครู่ต่อมา คนทั้งสามก็มายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มและหญิงสาวไม่กี่คน

ตู้ฉิงชี้ชายหนุ่มหน้าตาซื่อ ๆ คนหนึ่ง เขาอยู่ในชุดศิษย์สถาบัน สวมหมวกทรงสูง นางแนะนำเขาให้คนอื่น ๆ รู้จัก “คนนี้คือเจิ้งเซี่ย หัวหน้ากลุ่มพวกเรา”

“นี่คือเหยียนฟู่ซิง !” ตู้ฉิงชี้ไปยังชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีฟ้า สวมรองเท้าเหลี่ยมดำ ที่เอวห้อยหยกกระจ่างไว้หลายเส้น ผมมัดขึ้นสูง มีไฝขนาดใหญ่อยู่ตรงใบหน้าข้างขวาแถวจมูก

“คนนี้คือซุนจี้จู่” ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่ตู้ฉิงแนะนำอยู่ในชุดขี่ม้าสีขาว ในมือถือพัด ที่เอวห้อยแหวนเหล็กไว้คู่หนึ่ง ทั้งยังสวมรองเท้าขาวยาวถึงเข่าที่ทำจากหนังสัตว์ เขามีผมสั้น ยาวประมาณหูเท่านั้น นัยน์ตาเขาเรียวยาวแฉลบขึ้น

“รวมกับข้า เป็น 4 คน นี่คือกลุ่มพิสุทธิ์ !” ตู้ฉิงเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ส่งหมัดน้อยขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิม

เพียงมองคนทั้งสี่แวบเดียว ซูเฉินก็สัมผัสได้ว่าคนทั้งหมดนั้นไร้สายเลือด

ศิษย์ไร้สายเลือดส่วนมากจะอยู่กลุ่มเหมันต์เหิน แต่ในเมื่อทั้ง 4 คนตั้งกลุ่มขึ้นมาเองเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่สมาชิกกลุ่มนั้นเป็นแน่

เจิ้งเซี่ยดึงตู้ฉิงมาด้านข้างเพื่อถามไถ่เหตุการณ์

ตู้ฉิงกระซิบให้เจิ้งเซี่ยฟัง “ข้าเห็นเจ้าอ้วนเดินถามอยู่หลายกลุ่ม แต่ดูท่าจะไม่มีใครยอมรับพวกเขาเข้ากลุ่มเลย พวกเราขาดคนไม่ใช่หรือ ? ดังนั้นข้าเลยพาพวกเขามาด้วย”

เจิ้งเซี่ยได้ยินแล้วพูดอะไรไม่ออก “ข้าว่านะฉิงเอ๋อร์ เจ้าช่วยมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่ ? ที่คนอื่นไม่คิดรับพวกเขาก็มีเหตุผลอยู่ ได้ยินว่าซูเฉินผู้นั้นแต่ก่อนแข็งแกร่งมาก ติด 1 ใน 10 ของการสอบในเขตตนเอง แต่หลังจากเข้าสถาบันมาได้แล้วก็ฝีมือตก กระทั่งการประลองสิ้นปียังไม่เข้าร่วม เขาพลาดการประลองไปถึง 4 ปีติดต่อกัน ทั้งยังถูกริบเอายศหน่ออ่อนไปอีก นับได้ว่าไม่แข็งแกร่งหรือกล้าหาญอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการเขา”

ตู้ฉิงยื่นปาก “ข้าเพียงอยากช่วยศิษย์ร่วมชั้นเท่านั้นเอง”

เจิ้งเซี่ยหัวเราะเสียงขื่น “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถชวนคนประเภทใดก็ได้มารวมกลุ่มเพียงเพราะเจ้าสงสาร”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ข้าไม่คิดว่าสองคนนั้นอ่อนแอหรอกนะ ดูเจ้าอ้วนตรงนั้น เขามาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเชียว”

เจิ้งเซี่ยเหลือบมองหวังโต้วซานก่อนพยักหน้าพึมพำออกมา “นับว่าดียิ่ง”

“เท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ?” ตู้ฉิงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “เจ้าดู ซูเฉินอาจจะไม่เก่งกาจนัก แต่เจ้าอ้วนมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากเฉลี่ยกันแล้วไม่ดียิ่งหรือ ? อย่าไรเราก็คิดเพียงไปมอง ๆ ดูที่หุบเขาพันเถ้า ในเมื่อพวกเราต่างไร้สายเลือดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากกระมัง”

นางพูดไปก็จับแขนเจิ้งเซี่ยไว้ เขย่าไปมาซ้ายขวา

เจิ้งเซี่ยไม่รู้จะทำอย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าตกลง “ก็ได้ ๆ เอาที่เจ้าเห็นว่าดี”

ทั้งสองคนพูดคุยเสียงเบาอยู่ด้านข้าง แต่ประสาทหูที่เฉียบคมของซูเฉินกลับได้ยินคำพูดทุกคำ

ซูเฉินพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ที่แท้นางมาชวนเขาเป็นเพราะความสงสารนี่เอง

หรือก็คือเขานั้นได้ชื่อเสียงหวังโต้วซานช่วยไว้ เป็นเพราะการ ‘เฉลี่ยกัน’ เท่านั้น เขาถึงได้รับโอกาสนี้ เมื่อเห็นดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก

โชคดีที่หวังโต้วซานไม่ได้ยิน ไม่เช่นนั้นคงได้อาละวาดอีกคราเป็นแน่

เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินเข้าใจสิ่งที่ฉือไคฮวงเคยพูดไว้

ก่อนเจ้าจะประสบความสำเร็จใด คนทั้งใต้หล้าจะหัวเราะเยาะเจ้า ดูถูกเจ้า ดูแคลนเจ้า

แต่เมื่อไรที่เจ้าประสบความสำเร็จ…… คนทั้งใต้หล้าจะเปลี่ยนเป็นศัตรูของเจ้า !

มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?

ซูเฉินไม่รู้

แต่ถึงจะเป็นเรื่องจริง เขาก็ไร้ความเสียใจใด

ในเมื่อเขาเลือกเดินไปยังหนทางนี้แล้ว เขาก็จะเดินไปจนสุดทาง ไม่หันหลังกลับไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร !

เรื่องราวจบลงในที่สุด พวกเขาตกลงกันว่าจะออกเดินทางภายใน 3 วัน

งานรวมตัวสิ้นปียังคงกำเนินต่อไป ศิษย์หลากหลายคนยังคงเต้นรำและหัวเราะพูดคุยกันอยู่

ซูเฉินเองก็เริ่มขยับกายเต้นรำ ร้องเพลง และพูดคุยกับศิษย์คนอื่น ๆ ที่เพิ่งพบหน้าบ้าง

บางครั้งซูเฉินก็จะลากสายตาไปมองกู่ชิงลั่ว

สายตาพวกเขาประสานกัน ฉับพลันก็เบนสายตาจากไป

เวลาหมุนไปเรื่อย ๆ

ไม่นานงานรวมตัวก็สิ้นสุดลง

กลุ่มคนเริ่มแยกย้ายกันกลัย ซูเฉินก็กำลังเตรียมเดินทางกลับหอพลังต้นกำเนิดเช่นกัน

ก่อนจะกลับ เขาเดินไปบอกลาจินหลิงเอ้อร์และบอกนางว่าเขาได้กลุ่มเดินทางแล้ว

จินหลิงเอ้อร์แสดงความยินดีกับเขา แต่ก็เสียใจที่ไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน

ซูเฉินสัมผัสได้ว่านางจริงใจ

หลังจากบอกลากัน ซูเฉินก็เดินออกมา

ตอนที่จางเซิ่งอันเดินเข้ามาหาจินหลิงเอ้อร์ ซูเฉินยังเดินจากไปได้ไม่ไกลนัก

เขาเอ่ยเสียงเบา แต่น้ำเสียงกลับลอยไกลได้ยินชัดเจน

เขาพูดว่า “หลิงเอ้อร์ ต่อไปเจ้าเลี่ยงคนพวกนั้นเถอะ มีคำกล่าวว่ามังกรไม่ปะปนกับเหล่างู หงส์ไม่คลุกคลีกับตัวหนอน ผู้ที่เลือกมิตรไม่เป็นสุดท้ายจะไม่พบความเจริญ”

เด็กหนุ่มหยุดเท้าทันที เขาหันมาเหลือบมองจางเซิ่งอัน

จางเซิ่งอันเหยียดปากเป็นรอยยิ้มเยาะ

ทำให้ซูเฉินรู้ได้ในทันทีว่าจางเซิ่งอันจงใจเอ่ยคำเหล่านั้นให้เขาได้ยินโดยเฉพาะ