ภาคที่ 2 บทที่ 44 คำขอโทษ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 44 คำขอโทษ

ซูเฉินกลับไปยังหอพลังต้นกำเนิด ไม่สนใจคำยั่วยุของจางเซิ่งอัน

และเมื่อเด็กหนุ่มกลับมายังหอ เขาก็พบว่ากลไกการป้องกันของหอถูกปิดลงจนหมด

มันหมายความได้อย่างเดียว คือฉือไคฮวงกลับมาแล้ว

เมื่อก่อนหน้านี้ ฉือไคฮวงได้ออกเดินทางไกลเพื่อตามหาส่วนผสมต่าง ๆ เขาบอกไว้ว่าคงใช้เวลาราว 3 เดือนถึงกลับ แต่ดูท่าเขาจะกลับมาก่อนกำหนด

เมื่อเปิดประตูเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ ซูเฉินก็เห็นฉือไคฮวงนั่งอยู่กลางห้อง จ้องมองแสงดาวสว่างพราวตาเหนือศีรษะนิ่ง

“อาจารย์” ซูเฉินเรียกเสียงเบาออกไป

ฉือไคฮวงไม่ได้ยินที่เขาเรียก ยังคงเงยหน้ามองแสงดาวเหนือหัวต่อไป

แสงสว่างที่หลงเหลือจากค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดยังไม่ได้ถูกกำจัดไป

มันยังคงหลงเหลืออยู่บนนั้น ค่อย ๆ กลับสู่จุดเดิมของมันอย่างเชื่องช้า

นับเป็นภาพที่ผู้ศึกษาพลังต้นกำเนิดเห็นว่าสวยงามจับตานัก

ฉือไคฮวงจ้องมองแสงนั้นราวกับคนเสียสติ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหันมา “ฝีมือเจ้าหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ

“ใช้ทฤษฎีรูปแบบพลังต้นกำเนิด ?” ฉือไคฮวงถามอีกครั้ง

ซูเฉินพยักหน้าอีกครั้ง

ฉือไคฮวงหันหลังกลับไป สายตายังคงจ้องมองไปบนฟ้าอย่างบื้อใบ้ต่อไป

แม้เด็กหนุ่มจะพยายามไม่ให้ฉือไคฮวงเห็นยามทดลองหรือค้นคว้าเรื่องวิชาโบราณอาร์คาน่า ทว่าชายชราก็ยังล่วงรู้อยู่ดีว่าซูเฉินยังไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งหน้าศึกษาทั้ง 2 เรื่องนี้ต่อไป

แต่ด้วยความเป็นคนใจกว้าง เขาจึงจงใจเมิน ‘ความดื้อรั้น’ ของซูเฉินไป แม้จะไม่ได้สนับสนุนวิธีของซูเฉิน แต่ก็ทำทีเป็นปิดตาข้างหนึ่งราวกับกำลังดูแลเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง

ในหัวใจเขาหวังเพียงว่าความล้มเหลวจะทำให้ซูเฉินกลับมายังทางเดินที่ถูกต้องได้

หากแต่เขาไม่คิดเวลา 3 ปีผ่านไป ซูเฉินไม่เพียงไม่ยอมแพ้ ยังทำการค้นคว้าสองเรื่องนั้นต่อ ทั้งยังทำสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย !

มันทำสำเร็จ !

มันใช้ทฤษฎีรูปแบบพลังต้นกำเนิดเพื่อทำให้ขั้นตอนสุดท้ายของตำราเปิดพลังไคฮวงสำเร็จเสร็จสิ้น สร้างหนทางเพื่อทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องใช้สายเลือดขึ้นมา !

ไม่เพียงเท่านั้น ฉือไคฮวงยังสัมผัสได้ว่าวิธีนี้นับเป็นวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตที่ดีที่สุดเท่าที่มีมนุษย์คิดค้นมาอีกด้วย

หากใช้วิธีนี้ทำการทะลวงขั้นไปยังด่านกลั่นโลหิต โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 ใน 10 ส่วน อีกทั้งถ้าไม่สำเร็จยังไร้ผลข้างเคียง

หรือก็คือหากทะลวงด่านล้มเหลว ก็เพียงทะลวงใหม่อีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือดช่วยในการทะลวงด่าน

วิธีการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตที่ฉือไคฮวงเคยกล่าวมานั้นต่างด้อยกว่า ทั้งในด้านโอกาสสำเร็จและจำนวนครั้งที่คนไร้สายเลือดสามารถทะลวงผ่านได้

อาจกล่าวได้ว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่มีการคิดค้นวิธีการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตที่ไร้ผลข้างเคียงใดขึ้นมา !

กระทั่งฉือไคฮวงยังตกตะลึงกับผลที่ออกมา

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า มองเส้นแสงที่เกี่ยวพันกันสว่างแพรวพราวคล้ายแสงดาว ตนนั้นทุ่มหยาดเหงื่อแรงกายกว่า 50 ปีเพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ อีกทั้งยังทุ่มสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นลงไป !

“ก้าวสุดท้าย…… เป็นก้าวที่สวยงามนัก……” ฉือไคฮวงพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาเริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาใส

“ข้ายังไม่ได้ทดลองดู ดังนั้นจึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าสำเร็จ” ซูเฉินหัวเราะเสียงเบา

“ก็ใกล้เคียงแล้ว” ฉือไคฮวงตอบ

เขาหันมาทางซูเฉิน ก่อนที่จะโค้งตัวให้เด็กหนุ่มโดยพลัน

ท่าทางของเขาทำให้ซูเฉินชะงัก รีบเข้าไปพยุงฉือไคฮวงขึ้นมาทันที “อาจารย์ ท่านทำอะไร ?”

ฉือไคฮวงถอนหายใจ “ข้าผิดไปแล้ว วิชาโบราณอาร์คาน่าเองก็มีประโยชน์เฉพาะตัวของมัน เจ้าเข้าใจการนำประโยชน์ในอดีตและในปัจจุบันมารวมกัน ใช้ประโยชน์จากอดีตเพื่อให้ประโยชน์แก่ปัจจุบัน พยายามจนสุดทาง…… ดี ดีมาก !”

ซูเฉินยิ้มบางออกมา “นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น อาจารย์”

ฉือไคฮวงเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “ถูกต้อง เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น”

หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นยาวนานและเชื่องช้ายิ่งนัก อีกทั้งยังต้องทุ่มแรงกายแรงใจอย่างหนักหน่วง

เพราะอย่างไร สำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะทำลายอำนาจปกครองของสายเลือด และฝันจะทำให้เผ่ามนุษย์รุ่งเรืองถึงขีดสุดให้ได้ …การทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตก็นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

อาจารย์ศิษย์นั่งสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วอาจารย์ ตอนนี้เราควรเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงให้คนอื่น ๆ ได้แล้วหรือยัง ?”

ฉือไคฮวงมองเด็กหนุ่ม เห็นนัยน์ตากระจ่างจริงใจของซูเฉินสะท้อนกลับมา เขารู้ได้ว่าซูเฉินไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูด ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความพอใจยิ่ง “ดีมาก หัวใจเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนเรื่องเผยแพร่…… เจ้าเป็นคนทำให้มันสำเร็จ เช่นนั้นก็ควรเป็นเจ้าที่ตัดสินใจ”

ฉือไคฮวงยกอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างให้ซูเฉิน

ในคืนนั้น ฉือไคฮวงนำเหล้าล้ำค่าที่แอบไว้นานออกมา ก่อนทั้งสองคนจะนั่งดื่มกันจนจุใจ ทว่าคนทั้งคู่ไม่มีใครคอแข็ง ดังนั้นเมื่อเหล้าลงคอก็เมาคว่ำไปทั้งคู่

ซูเฉินเมาจนไม่รู้เรื่องรู้ราว สุดท้ายก็หมดสติไป ฉือไคฮวงยิ่งดื่มยิ่งมีชีวิตชีวา ราวกับกลับไปเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เขากอดซูเฉินแล้วพูดอ้อแอ้ไม่หยุด ก่อนที่สุดท้ายเสียงอ้อแอ้จะกลายเป็นเสียงตะโกนโหวกเหวก

น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมา มันเป็นน้ำตาแห่งความเหนื่อยยากหลายปีของเขา และเป็นน้ำตาแห่งความสำเร็จเช่นกัน

เมื่ออวิ๋นเป้ากลับมา ก็พบอาจารย์และศิษย์นอนอยู่บนพื้น คนหนึ่งหลับสนิท คนหนึ่งนอนกอดคนหลับสนิทแล้วร้องไห้เสียงดังไม่หยุด

อวิ๋นเป้าเห็นแล้วก็ชะงักไป จากนั้นจึงตัดสินใจถอยออกมา

——————————————

3 วันต่อมา

วันที่ตกลงจะออกเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้าก็มาถึง

เช้าวันนั้นซูเฉินตื่นเช้ามารู้สึกสดใสยิ่งนัก ก่อนจะจากไปเขาเดินเข้าไปยังห้องโถงกลั่นร้อยวิชาเป็นครั้งสุดท้าย

3 ปีที่ผ่านมา ซูเฉินเดินทางมายังห้องโถงกลั่นร้อยวิชาเพียง 3 ครั้งเท่านั้น แต่ด้วยความที่เขาไม่ได้มุ่งความสนใจไปกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เด็กหนุ่มจึงเพิ่งตะลุยผ่านไปเพียง 10 ห้องเท่านั้น

ดังนั้นคะแนนอุทิศที่ได้จึงไม่สูงนัก

หากเทียบกันแล้ว คน 5 คนที่มีฝีมือแข็งแกร่งสุดนั้น พลังก้าวหน้ารวดเร็วมาก ส่วนคนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นก็ได้ผ่านห้อง 19 ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เกือบจะผ่านห้องทั้งหมดแล้ว

อัจฉริยะนั้นเป็นอัจฉริยะได้เพราะความเร็วในการพัฒนาตนเองที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอื่น ๆ หากมาตรฐานการผ่านห้องของสถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นปีละ 2 ห้อง เช่นนั้นแล้วพละกำลังที่แท้จริงของอัจฉริยะก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงจุดที่สามารถตะลุยผ่าน 4 หรือ 5 ห้องภายใน 1 ปีหรือเร็วกว่านั้น

อัจฉริยะ 2 คนที่สามารถผ่านห้องที่ 19 และ 18 ได้ปกปิดชื่อเสียงเรียงนามของตน

ส่วนคนที่สามารถผ่านห้องที่ 17 ไปได้แล้วคือเจียงซีสุ่ย

จีหานเยี่ยนนั้นผ่านห้องที่ 16 แล้ว ส่วนเยว่หลงซาผ่านห้องที่ 15

เมื่อเวลาผ่านไป ความต่างของความแข็งแกร่งระหว่างคนทั้ง 5 ก็เผยให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้มีเพียงซูเฉินที่ไม่อยากเปิดเผยความแกร่งของตน เพราะยังมีที่ 1 และที่ 2 นั่นอีกที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อของตน

ในวันนี้ ซูเฉินนั้นต้องการจะทดสอบพลังตนเองดู

ก่อนจะออกเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้า เขาอยากทดสอบกำลังปัจจุบันของตนเองดูเสียหน่อย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่เป็นไร

อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าตนเองสามารถทำเรื่องใดได้และไม่ได้

ด้วยเขามาค่อนข้างเช้าจึงยังไม่ค่อยมีใครมายังห้องโถงกลั่นร้อยวิชามากนัก กระทั่งศิษย์ร่างผอมยังไม่อยู่ในนั้น

ซูเฉินนั้นคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีผู้นำทางแนะนำอีก เขาใช้ป้ายประจำตัวเปิดห้องที่สิบเอ็ด จากนั้นเริ่มต้นการต่อสู้ภายในห้องนั้นทันที

ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ได้เดินออกจากห้องโถงกลั่นร้อยวิชาด้วยใบหน้าพึงพอใจ