เจี่ยไทเฮานั่งอยู่ด้านบน เจี่ยงฮองเฮาและมเหสีรองเหวยนั่งทางด้านซ้ายตามลำดับ ข้างล่างด้านขวา มีหญิงสาวต่างแดนจมูกโด่งตาลึก คิ้วเข้มปากอวบอิ่มนั่งอยู่ หน้าตาแตกต่างจากหญิงสาวชาวต้าเซวียนโดยสิ้นเชิง แต่งตัวสีสันสดใส เครื่องประดับระยิบระยับ เหมือนดั่งอัญมณีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้น ข้างกายมีสาวใช้และชายหนุ่มใต้บัญชาของประเทศต้าสือติดตามอยู่ ต่างก็แต่งตัวสีสันสดใสเช่นกัน
“คนผู้นั้นก็คือฮูหยินภริยาทูตต้าสือหรือ หน้าตาเหมือนแมวเปอร์เซียจริงด้วย” ฉิงเสวี่ยกล่าวเสียงเบา
“ถึงแม้จะหน้าตาสะสวย แต่เมื่อมองนานๆ ก็ดูเลี่ยนเช่นกัน” เจินจูพูดตามความเป็นจริง
“เจ้าเห็นเป็นขนมไข่ที่พระชายาทำให้คุณหนูชุยอินหลัวหรือไง” ฉิงเสวี่ยหัวเราะคิกคัก
เสียงของพวกนางหยุดลงเมื่อก้าวเท้าเข้าในงานเลี้ยง
เนื่องจากอวิ๋นหว่านถงนั่งพระเกี้ยวมา จึงได้มาถึงที่งานเลี้ยงก่อนคนอื่น เวลานี้ก็กำลังถวายบังคมเจี่ยไทเฮาอยู่
ครั้งนี้ที่เรียกให้พระชายารองเว่ยอ๋องเข้าวังมา ไม่ใช่เจตนาของเจี่ยไทเฮา แต่เพราะมเหสีรองเหวยมาขอร้อง อีกยังให้เหยาฝูโซ่วมาขอร้องอีกแรง เห็นแก่พระพักตร์ฮ่องเต้ จึงได้ตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
เวลานี้เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านถง เจี่ยไทเฮาก็ไม่ได้รู้สึกชอบใจนัก กวาดตามองมเหสีรองเหวยอย่างคร้านๆ แล้วหันหน้ามาทางอวิ๋นหว่านถง “ลุกขึ้นเถิด ประทานเก้าอี้ ตั้งครรภ์อยู่ยังจะต้องเข้าวังอีก ทำเจ้าลำบากใจแย่ เดิมทีจะเชิญเพียงเหล่าพระชายาก็พอ แต่เสด็จแม่เจ้าเอ็นดูเจ้านัก จะให้เจ้าเข้าวังให้ได้ อีกยังเรียกให้คนของฮ่องเต้มาอีก ข้าจะกล้าไม่ฟังรับสั่งของฮ่องเต้ได้อย่างไรเล่า”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
อวิ๋นหว่านถงเหลือบมองมเหสีรองเหวยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นนางส่งสัญญาณให้ จึงได้กัดปาก “เพคะ ไทเฮา” แล้วนั่งลงหลังโต๊ะยาว
มเหสีรองเหวยรีบกล่าว “เสด็จแม่ล้อเล่นอีกแล้ว ฮ่องเต้ก็เห็นว่าเว่ยอ๋องมีผู้สืบทอดเสียที จึงได้เห็นแก่หน้าของหม่อมฉัน อีกอย่าง” พูดอยู่ก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากหัวเราะ “วันนั้นไต้เท้าสวีแห่งสำนักดาราศาสตร์บังเอิญได้สำรวจดวงดาว มีดาวแห่งฤกษ์ชัยเดินทางเข้ากระแส เป็นผลดีกับบ้านเมืองต้าเซวียนและเหล่าผู้สูงศักดิ์ เมื่อลองนับนิ้วคำนวณดู เข้ามาตอนพระชายารองอวิ๋นตั้งครรภ์พอดี คิดว่าเด็กคนนี้กำเนิดออกมา จะต้องเป็นดาวแห่งโชคของราชสำนักเป็นแน่ นำมาซึ่งโชคดีให้กับเมืองเรา ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงปลื้มปิติยิ่งนัก!”
เจี่ยไทเฮาได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลง บวกกับแขกคนนอกอยู่ จึงไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วรับสั่ง “รับรองพระชายารองอวิ๋นให้ดี เปลี่ยนเป็นนม อย่าให้ดื่มชาแก่”
เมื่อรับสั่งเช่นนี้ ฐานะของอวิ๋นหว่านถงก็สูงส่งขึ้นมาทันใด ลำตัวยืดเหยียดขึ้นมาหลายนิ้ว
เจี่ยงฮองเฮาหรี่ตา ไต้เท้าสวีแห่งสำนักดาราศาสตร์นั้นเดิมเป็นศิษย์ของเหวยเซ่าฮุย จะไม่ช่วยพูดให้หรือ เห็นว่าฮ่องเต้และไทเฮาเชื่อเรื่องดวงดาว โดยเฉพาะฮ่องเต้ เกรงว่าน่าจะทำให้เลือดเนื้อในครรภ์พระชายารองนี้เป็นโชคดีของบ้านเมืองเสียแล้ว!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วเว่ยอ๋องจะต้องผงาดขึ้นมา เกรงว่าอาจจะใช้เด็กในครรภ์นี้ ร่วมมือกับปีศาจจิ้งจอกสกุลเหวยนี้เล้าโลมฮ่องเต้จนหัวหมุนเป็นแน่!
ขันทีรายงาน “พระชายาลู่อ๋อง พระชายาเย่ว์อ๋อง พระชายาฉินอ๋อง พระชายาจิ่งหยางอ๋อง พระชายาซื่อจื่อจวนลู่อ๋องเสด็จ”
ทุกคนเข้าไปถวายบังคมเสร็จแล้วต่างก็นั่งที่ของตน
ฮูหยินภริยาทูตได้ยินมาว่าใบบรรดาหญิงสาวที่ไทเฮาต้าเซวียนรวบรวมมา มีคนที่แต่งหน้าให้ไทเฮาในวันนั้นและทำเครื่องสำอางอยู่ด้วย คนตะวันตกเดิมทีก็เป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว จึงยื่นหน้ามองหา “ไทเฮาเพคะ ไม่ทราบว่ายอดฝีมือในวันนั้นคือคนไหนหรือเพคะ”
ฮูหยินภริยาทูตติดตามสามีไปในประเทศต่างๆ พูดได้หลากหลายภาษา อีกยังรู้ชำนาญเกี่ยวกับชาวฮั่นอีก เวลานี้เมื่อพูดภาษาต้าเซวียนก็ชัดถ้อยชัดคำนัก
เจี่ยไทเฮายิ้มให้อวิ๋นหว่านชิ่นเล็กน้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นแล้วเดินไปยังกลางพรมถักสีแดงสด ถวายบังคมไทเฮาแล้วหันมาทางฮูหยินภริยาทูต กล่าวอมยิ้ม “ของใช้เล็กๆ ในเรือน ไม่คิดว่าจะเข้าตาฮูหยินได้”
ฮูหยินภริยาทูตคาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนที่ดูอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม เดิมทีชาวฮั่นนั้นก็ดูเด็กอยู่แล้ว เด็กสาวผู้นี้…ดูแล้ว น่าจะอายุไม่ถึงสิบห้าสิบหกกระมัง อ้าปากค้าง สีหน้าไม่เชื่อ พูดโพล่งออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้าทำจริงหรือ รูปลักษณ์ที่ไทเฮาต้องการเจ้าก็เป็นคนแต่งหน้าให้หรือ ข้าไม่เชื่อ สวรรค์ เจ้าดูแล้วยังโตไม่เท่าบุตรสาวคนโตของข้าเลย เบื้องหลังเจ้ามีใครใช่หรือไม่” แล้วก็เหมือนว่าจะผิดหวังยิ่งนัก ส่ายหน้า ยักไหล่ แล้วพูดภาษาตนเองกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามด้านหลัง
ฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ สีหน้าตึงเครียด อย่างไรเสียนายของตนก็เป็นพระชายาองค์ชายของต้าเซวียน คำพูดของฮูหยินเมืองต้าสือนี้ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
แล้วก็มองดูอวิ๋นหว่านชิ่นถูกปล่อยให้ยืนอยู่กลางห้องนั่น ฮูหยินภริยาทูตก็ไม่ได้สนใจเลย ชูซย่าทนไม่ไหว กำลังจะเอ่ยซักถาม แต่กลับถูกนายของตนหันหน้ามาส่งสายตาห้ามปราม
ความโมโหที่หน้าประตูเมืองของอวิ๋นหว่านถงนั้นก็ถูกระบายออกมาในที่สุด ลูบท้องตนแล้วพิงเบาะนุ่มที่มเหสีรองเหวยให้คนส่งมาให้ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา
หนังสือและบันทึกเวชสำอางที่อวิ๋นหว่านชิ่นอ่านนั้น ส่วนมากมาจากบาทหลวงชาวตะวันตกที่เผยแพร่ศาสนานำเข้ามา ก็นับว่ารู้จักธรรมเนียมและนิสัยของคนตะวันตกอยู่บ้าง ภาษาตะวันตกง่ายๆ ที่ใช้ประจำวันก็พอรู้อยู่บ้าง ฮูหยินภริยาทูตท่านนี้ไม่ได้เสียมารยาท เพียงแต่ธรรมเนียมของที่นั่นเปิดกว้าง พูดจาตรงไปตรงมา
คำพูดที่นางพูดกับผู้ใต้บัญชานั้น เนื่องจากเป็นภาษาของตน ไม่ได้เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน จึงไม่ได้พูดเสียงเบานัก อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินชัดเจนทุกคำ ฮูหยินภริยาทูตนั้นบอกว่า ‘น่าเสียดาย เดิมทีจะนำแป้งหอมขี้ผึ้งทาปากของต้าเซวียนกลับไปด้วย ไม่คิดว่าจะพบเจอกับเด็กน้อย เครื่องหอมงดงามพวกนั้นถึงแม้จะเป็นฝีมือนาง อาจจะทำมั่วๆ ออกมาก็ได้ ไม่แน่ว่าจะรับประกันอะไรได้’
โอกาสดีเช่นนี้ จะปล่อยให้หายไปได้อย่างไร
“ฮูหยินเชี่ยวชาญภาษาชาวฮั่น เคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นอมยิ้มพลางเอ่ยขึ้นมากะทันหัน ทำลายความเก้กังเคอะเขินไป
ฮูหยินภริยาทูตเห็นว่านางเอ่ยปากขึ้นเอง ตอนแรกก็กำลังพูดอยู่ ก็หยุดลงทันใด แล้วมองไปทางนาง ดวงตาลึกโตเต็มไปด้วยความสับสน “อะไรนะ”
“ปณิธานไม่เกี่ยวข้องกับอายุมากน้อย แปลเป็นภาษาเมืองท่านได้ว่า” อวิ๋นหว่านชิ่นใบหน้ายิ้มแย้ม ค่อยๆ เดินไปหน้าโต๊ะฮูหยินภริยาทูตช้าๆ ริมฝีปากแดงก่ำเปิดอ้าเล็กน้อย คำพูดค่อยๆ ออกมาทีละคำ ดั่งหินหยกสายฝน ทำลายความอึดอัดในสวนหลวงไป
ลมหายใจเหมือนว่าจะค้างชะงักไปชั่วขณะ เหล่าหญิงสูงศักดิ์ในงานเลี้ยงต่างก็ตะลึงเหม่อไป
ฮูหยินภริยาทูตดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด หญิงสาวตรงหน้านั้นใส่จี้ทอง สวมเสื้อสีแดงผ้าไหมจู้ซือตัวใหญ่ กริยารูปลักษณ์งดงาม เดินใกล้เข้ามา ระหว่างริมฝีปากแดงขยับเปิดปิด คำพูดเป็นเหตุเป็นผลเป็นเรื่องเป็นราวไม่สับสน ที่พูดอยู่นั้นเป็นภาษาแม่ของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงในวังชะงักไปชั่วครู่ เหลือเพียงเสียงลมหายใจ
เหล่าหญิงสูงศักดิ์ของต้าเซวียนถึงแม้จะฟังไม่ออก แต่จากสีหน้าที่ตกตะลึงของฮูหยินและคนอื่นๆ ของต้าสือนั้นก็พอจะดูออกว่า ที่พระชายาฉินอ๋องพูดอยู่นั้นเป็นภาษาตะวันตกที่ใช้กันทั่วไปในต้าสือ
“เด็กสาวคนนี้ ยังมีสิ่งน่าประหลาดใจอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีก” เจี่ยไทเฮาได้สติจากภวังค์ความตกตะลึง ยิ้มพลางกล่าวเสียงแผ่วเบากับจูซุ่นที่อยู่ข้างกาย
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คนในราชสำนักในเย่ว์จิงเราที่รู้ภาษาต่างแดนนั้น ก็มีแต่เหล่าขุนนางของหลี่ฝานย่วนที่[1]จัดการเรื่องงานระหว่างประเทศ! หายากนัก พระชายาฉินอ๋องผู้นี้เป็นหญิงในเรือน แต่กลับพูดคุยตอบโต้กับแมวเปอร์เซียได้ด้วยพะยะค่ะ” จูซุ่นกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฮูหยินภริยาทูตฟังคำแปลสองภาษาของคำว่า ‘ปณิธานไม่เกี่ยวข้องกับอายุมากน้อย’ ของเด็กหญิงผู้นี้แล้ว สีหน้าที่ไม่แยแสก็เริ่มจริงจังขึ้นมามาก หันไปกระซิบกับผู้ใต้บัญชาสองสามประโยค แล้วหันมา น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงมาก แต่ยังคงสงสัยอยู่ “เจ้าอายุเท่านี้ มีฝีมือเพียงนั้นจริงหรือ หรือว่าเบื้องหลังเจ้าจะมีนักปราชญ์ให้คำแนะนำ เจ้ามีอาจารย์หรือไม่”
——
[1] หลี่ฝานย่วน หน่วยงานดูแลการต่างประเทศ