ตอนที่ 147.3 ได้สหายใหม่ เจรจาธุรกิจด้วยภาษาตะวันตก (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ขณะคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะก็ดังมาจากด้านหลัง “ชายาเอกฉินอ๋องอย่าอารมณ์เสียไปเลยนะ ข้าแค่โมโหมากไปเท่านั้น” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับไปดูและเห็นว่าเป็นชายาเอกจิ่งหยางอ๋อง หัวใจพลันเต้นแรงและเผยยิ้มออกมานางพยักหน้าและคารวะ “เมื่อครู่ขอบคุณสำหรับการคุ้มครองจากชายาเอกจิ่งหยางอ๋อง”  

 

 

แม่นางพานเป็นลูกสาวของนายพลภายใต้การบังคับบัญชาของจิ่งหยางอ๋อง ตอนเด็กนางเข้าออกค่ายทหารกับพ่อ จึงได้รู้จักกับจิ่งหยางอ๋อง ความรักเติบโตขึ้นตามกาลเวลา และก่อเกิดบุพเพสันนิวาส 

 

 

ที่จริงนางก็จะพูดไปตามความเป็นจริง บวกกับความเกลียดชังบรรดาสนมและอนุเป็นทุนเดิม ถึงได้ช่วยพูด ในเวลานี้เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นคารวะ จึงรีบไปประคองมือนาง แล้วคารวะกลับ “ชายาเอกฉินอ๋องสุภาพกับข้าเกินไปแล้ว! ท่านคือชายาเอกของพระโอรส ตำแหน่งข้าต่ำกว่าท่านหนึ่งระดับ ท่านคารวะข้าแล้ว คนอื่นมาเห็นเข้าจะไม่ขำเอาหรือ” แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่ากลับรู้สึกดีต่อชายาเอกฉินอ๋อง พึงพอใจกับความนอบน้อมของนางมาก 

 

 

เมื่อฉินอ๋องรับเลี้ยงชายาเอกซ่งไว้ที่สวนแอปริคอต เขาต้องมีความตั้งใจที่จะตีสนิทกับจิ่งหยางอ๋องอย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสทำความรู้จักกับชายาเอกจิ่งหยางอ๋อง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ! แค่การคารวะจะเป็นอะไรไป? 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปยังแม่นางพานและเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ว่ากันตามรุ่น จิ่งหยางอ๋องเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉินอ๋อง หากเป็นชาวธรรมดา ข้ายังต้องเรียกชายาเอกจิ่งหยางว่าพี่สะใภ้ แค่คารวะจะเป็นอะไรไป ชายาเอกจิ่งหยางต่างหากเล่าที่สุภาพเกินไป” 

 

 

แม่นางพานได้ฟังก็ยิ่งชื่นชม กุมมืออวิ๋นหว่านชิ่น เดินไปพลางคุยไปพลาง 

 

 

แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะสนิทกับชายาเอกจิ่งหยางเพราะตระกูลอวี๋ แต่เมื่อพูดคุยกันไม่กี่คำ พบว่านางเป็นคนช่างพูดอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะนางเกิดมาในครอบครัวทหารเหมือนเฉินจื่อหลิง เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อมขนาดนั้น ตรงไปตรงมา เริ่ม รู้สึกชอบพอนางเสียด้วยซ้ำ 

 

 

 ต่อให้นางจะไม่ใช่ชายาเอกจิ่งหยางอ๋อง แต่ก็เป็นการดีที่จะมีสหายสาวรู้ใจ เป็นหญิงที่แต่งงานแล้วหลายๆ คน อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต จะมีได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกันในหมู่สะใภ้บ้าง 

 

 

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นมิตรกับตนมาก แม่นางพานก็พูดเก่งมากขึ้น หลังจากคุยเรื่องลูกชายลูกสาวจบ ก็พูดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านต่อ แทบจะอยากเอาเรื่องหมาแมวสองสามตัวในจวนออกมาพูดด้วย  

 

 

แม้ว่าแม่นางพานจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่นางก็ยังระมัดระวังตัวมาก พูดทุกเรื่องแต่ไม่พูดถึงสามีของนางมากนัก อาจเป็นเพราะสามีมีอำนาจทางทหาร มีหลายๆ สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง กลัวว่าภรรยาจะหลุดพูดอะไรไปในวงสนทนา 

 

 

เมื่อหยุดตอนถึงกลางทาง อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามสืบ “เคยได้ยินมานานแล้วว่า จิ่งหยางอ๋องมีชายาเอกพานเพียงคนเดียว มีความสุข ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกัน วันนี้พอเห็นชายาเอกพานอีกครั้ง ข้าถึงได้รู้ว่าเป็นความจริง ข้าคิดว่าจะต้องเป็นเช่นคู่สามีจวิ้นอ๋องกับชายาเอกของซ่งอ๋องในขณะนั้นเป็นแน่ ที่เข้ากันได้อย่างดี เป็นดั่งคู่รักเทพเซียน เป็นผู้มีบุญ” 

 

 

ดังคาด ดวงตาของแม่นางพานพลันเศร้าลง ราวกับว่ามันสะเทือนจิตใจ คำพูดก็ดูเบาลงเล็กน้อย “เฮ้อ มีบุญอะไรเล่า! แม่สามีของข้ามีชีวิตที่ดีเมื่อครั้นยังเด็ก แต่น่าเสียดายที่ไม่โชคดีในตอนแก่ สามีที่รักเสียไปก่อน ต่อมานางก็โชคร้ายติดโรคระบาด แม้แต่ร่างกายยังรักษาไว้ไม่ได้ ทุกครั้งที่ท่านพี่พูดถึงเรื่องนี้ น้ำตาไหลทุกครา เมื่อถึงวันเกิดหรือวันตายของท่านแม่ จะต้องร้องไห้ทุกรอบ ข้ามองดูก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย แม้ว่าท่านแม่และข้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานเท่าไร แต่ก็เหมือนเป็นแม่ลูก นางเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ข้าสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นข้าจึงเห็นนางเป็นแม่ของข้า…ใครจะคิดเล่าว่า…” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าขนตาของนางชื้น ดวงตาเริ่มแดง นี่ไม่ใช่คำพูดไม่ตรงกับใจ เป็นความเสียใจจริงๆ 

 

 

นางผู้เป็นสะใภ้ยังอาลัยอาวรณ์แม่นางอวี๋เพียงนี้ ไม่ต้องพูดถึงลูกแท้ๆ อย่างจิ่งหวางอ๋อง ดูเหมือนว่าแม่นางอวี๋คงจะเป็นจุดอ่อนของสามีภรรยาคู่นี้จริงๆ 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจับมือแม่นางพาน “อย่าเสียใจไปเลยชายาพาน หากชายาซ่งอ๋องทราบว่าพวกท่านทั้งสองคิดถึงนางเพียงนี้ ก็คงดีใจมาก อีกอย่าง ท่านและจิ่งหยางอ๋องยังคงครองคู่กันเพียงสองคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการช่วยให้คู่ของซ่งอ๋องสานต่อความรักแล้ว” 

 

 

แม่นางพานเก็บความเศร้าไว้และตบมือของอวิ๋นหว่านชิ่น “ท่านกับฉินอ๋องก็เช่นกันมิใช่หรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสองคนเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เรื่องในอนาคตนั้นไม่แน่นอน หากเขารับอนุเข้ามา ข้าก็ไม่อาจจะไปไล่เขาออกไปได้นี่” 

 

 

เมื่อมองไปที่ท่าทางแปลกๆ ของนาง แม่นางพานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าเลย คนฉลาดเฉลียวเช่นท่าน ข้ารับประกันได้ว่าหัวใจของน้องฉินอ๋อง กลัวว่าจะรักเจ้าจนตายล่ะสิไม่ว่า รักยิ่งกว่าสิ่งใด ต่อให้มีเรื่องอนุพวกนั้น ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะขวางไม่ได้” 

 

 

“ฟังจากคำพูดของชายาพานแล้ว หรือว่าจิ่งหยางอ๋องเคยอยากจะรับอนุหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม 

 

 

แม่นางพานถอนหายใจอีกครั้ง “เขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้นหรอก แต่ท้ายที่สุดเขาเป็นคนในราชวงศ์และมีตำแหน่งสูง ต่อให้เขาไม่อยากได้ แต่ก็ยังมีคนรอบข้างเสนอให้เขา คนตำแหน่งต่ำกว่ายังพอจัดการได้ ทว่าหากคนข้างบนมีความคิดนี้ ก็ยากที่จะรับมือ หลังจากที่ข้าให้กำเนิดลูกสาวคนโต ข้าไม่ได้ท้องอีกเลยเป็นเวลาเกือบเจ็ดถึงแปดปี พูดตามตรง ฝ่าบาททรงกลัวว่าสายเลือดของซ่งอ๋อง จะหยุดอยู่ที่ตั้งแต่รุ่นของสามีข้า แนะนำชายาให้เขาหลายครั้ง ต้องการแนะนำลูกสาวของตระกูลขุนนางเพื่อให้ไปเป็นอนุของเขา ท่านพี่ของข้าจะว่าปฏิเสธก็ไม่ใช่ ตอบรับก็ไม่เชิง ในเวลานั้นข้าแทบจะเข้าไปประนีประนอมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วท่านพี่ ต่อมาเขาป่วย จึงทำให้ความคิดนี้ของฝ่าบาทยุติลงชั่วคราว…” 

 

 

“หืม เป็นโรคอะไรหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นอยากรู้อยากเห็น จึงถือโอกาสซักถาม 

 

 

แม่นางพานเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ยังมีอะไรน่าอาย มีเรื่องใดที่ไม่กล้าพูดบ้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เห็นบอกว่าได้รับบาดเจ็บตรงส่วนนั้นเมื่อตอนฝึกทหาร มีเรื่องอย่างว่าไม่ได้ไปครึ่งปีกว่า หากฝึน…เกรงว่าจะขาดเอาได้” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะออกมาคิกคัก ภรรยาจิ่งหยางอ๋องผู้นี้ พูดออกมาได้โดยไม่ต้องคิดเลย ชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ยที่อยู่ข้างกายกลับฟังจนอายหน้าแดงหมดแล้ว 

 

 

แม่นางพานกล่าวต่อ “เมื่อฝ่าบาททราบข่าว จะกล้าแนะนำคนใหม่ให้ได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ได้ยืดเวลาไปอีกปีสองปี ในที่สุดสวรรค์ก็มีตา ในช่วงเวลานี้ ข้าก็ท้อง หลังจากนั้นก็คลอดลูกชายคนรอง ตอนนั้นฝ่าบาทยังกริ้วและด่าจิ่งหยางอ๋องว่า ไหนบอกว่าทำเรื่องอย่างว่าไม่ได้ มิฉะนั้นจะขาดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมีลูกได้อีกเล่า นี่เป็นการหลอกลวงฮ่องเต้มิใช่หรือ ด่าก็ส่วนด่า แต่พอเห็นว่าจิ่งหยางอ๋องมีทายาท ในที่สุดก็ไม่ได้บังคับอะไรขนาดนั้นแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้และผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนยังคงรู้สึกว่า ครอบครัวเราช่างว่างเปล่า มีเพียงลูกผู้หญิงกับลูกผู้ชายน้อยเกินไป ยังคงอยากให้ท่านพี่รับอนุ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงอย่างชัดเจน” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ แม่นางพานพักครู่หนึ่ง ดวงตาของนางลุกโชน มองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น “ดังนั้น หากท่านอยากเป็นคนคนเดียวของราชบุรุษ นอกจากจะต้องมีหัวใจ ยังต้องมีความแข็งแกร่ง โลกภายนอกกำลังโถมแรงกดดันมาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทายาทราชวงศ์ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านดูสิ วันนี้ชายารองเว่ยอ๋อง ถ้าไม่ใช่เพราะท้อง จะร้องเอะอะเสียงดังขนาดนี้ได้อย่างไร” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกรอกตาไปมา ก่อนจะยิ้มอย่างสดใส 

 

 

ขณะที่พวกนางเดินไปคุยไป ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสหายรู้ใจกันไปแล้ว แม่นางพานก็พูดความในใจออกมามากมาย 

 

 

เมื่อใกล้ถึงสวนหลวง พวกนางก็แยกจากกัน 

 

 

เจินจูและฉิงเสวี่ยยังหน้าแดงก่ำไม่หาย ยังคงนึกถึงคำพูดของชายาเอกจิ่งหยางอ๋อง 

 

 

เจินจูเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา นางโพล่งออกมา “พระชายา จะขาดได้จริงหรือ” 

 

 

“เนื้อไก่ไม่มีกระดูกจะขาดได้อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม 

 

 

เมื่อได้ยินก็เข้าใจความหมาย ต่างก็พากันหัวเราะชอบใจ 

 

 

เมื่อมาถึงสวนหลวง เสียงเพลงไพเราะก็ลอยมา นักดนตรีในสวนสาลี่ของพระราชวังกำลังบรรเลงเพลง 

 

 

ดวงอาทิตย์สูงขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้พื้นดินทั่วทุกทิศอบอุ่นและสดใสยิ่งขึ้น เนื่องจากไทเฮาไม่อยู่ใกล้ดอกไม้ นางจึงยังคงอยู่ในที่โล่งริมทะเลสาบเฉิงเทียน