ภาคที่ 4 ตอนที่ 3 ไม่เข้าใจ

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนนั้นหลิ่วสือซุ่ยปลูกไม้ไผ่กอหนึ่งเอาไว้ที่ด้านนอกถ้ำของนักพรตไป๋ สวยงามยิ่งนัก

ทุกคนล้วนไม่เข้าใจ ความจริงเขาปลูกไม้ไผ่กอนั้นเอาไว้ก็เพื่อเตรียมเอาไว้ใช้ซ่อมเก้าอี้นอนให้ใครบางคน

เพื่อที่จะซ่อมเก้าอี้ไม้ไผ่ เขาเคยมายอดเขาเสินม่อครั้งหนึ่ง ผ่านมาหลายปี เขาลืมเลือนทิวทัศน์บนยอดไปหมดแล้ว ทุกอย่างล้วนดูแปลกตา

ในป่าสองข้างทางของทางเดินขึ้นเขามีเสียงร้องยินดีของเหล่าวานรดังขึ้นมาไม่หยุด บางครั้งจะเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวเหอรู้สึกประหม่า ในตอนที่นางสังเกตเห็นว่ามีสิ่งของบางอย่างลอยออกมาจากในป่า จึงยิ่งรู้สึกตกใจ

จากนั้นนางถึงได้พบว่าสิ่งที่ตกลงมาบนตัวหลิ่วสือซุ่ยคือดอกไม้ดอกหนึ่งและผลไม้สองสามลูก

นางถามด้วยความตกใจปนสงสัย “นี่แสดงถึง…การต้อนรับเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิ่วสือซุ่ยเอาดอกไม้ดอกนั้นมากลัดไว้ที่ปกเสื้อ แบ่งผลไม้ลูกหนึ่งให้นาง กล่าวว่า “ดูแล้วน่าจะใช่”

พวกเขากินผลไม้จนหมด ใช้ลำธารที่อยู่ข้างทางล้างมือจนสะอาด จัดแจงเสื้อผ้า ก่อนจะเดินขึ้นบันไดช่วงสุดท้าย

บันไดหินทะลุออกจากหมอก ปลายสุดคือยอดเขา ริมผามีเก้าอี้ไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง สภาพดูเก่าทรุดโทรม ขาเก้าอี้ถูกเสียดสีจนเสียหายอย่างหนัก ดูไม่เท่ากันอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาจนเกินบรรยายบนเก้าอี้ตัวนั้น เสี่ยวเหอยิ่งรู้สึกตื่นเต้น มิทันรอให้หลิ่วสือซุ่ยกล่าวกระไร นางพลันโค้งตัวคารวะ

จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ ในมือคีบทรายเอาไว้ จ้องมองดูจานกระเบื้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยังไม่สนใจ กระทั่งวางเม็ดทรายลงไปแล้วถึงได้เหลียวหน้ากลับมา

หลิ่วสือซุ่ยส่งสายตาบอกให้เสี่ยวเหออยู่กับที่ ส่วนตัวเองเดินไปยังริมผา

เสี่ยวเหอยืดตัวขึ้นมา มองไปทางตำหนักที่อยู่ไม่ไกลตรงหน้า ในใจรู้สึกตื่นเต้น

ที่นี่คือถ้ำของนักพรตจิ่งหยาง? นักพรตจิ่งหยางเป็นผู้บรรลุเพียงคนเดียวในรอบพันปีที่ผ่านมา อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจหรือว่าเผ่าหมิง จะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ก็ล้วนแต่มองถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง มีใครไม่อยากมาที่นี่เพื่อสัมผัสกับไอพลังแห่งเซียนบ้าง?

หลิ่วสือซุ่ยเดินไปริมผา ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ ไม่มีสีหน้าความรู้สึกใดๆ กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “คุณชาย ข้ากลับมาแล้ว”

จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ได้กล่าวทักทายอย่างอบอุ่นอะไร หากแต่กล่าวถามตรงๆ ว่า “เวลาสิบปีสั้นนัก แต่เรื่องราวกลับมากมาย ตอนนี้ความคิดของเจ้าเปลี่ยนไปบ้างแล้วหรือเปล่า?”

หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

บนยอดเขาเงียบสงัด ทะเลเมฆริมผาไม่เคลื่อนไหว

ภาพจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาบนทะเลเมฆ จากนั้นหายไป

ตานปีศาจอันร้อนระอุ คุกกระบี่อันเย็นยะเยือก ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานเหล่านั้น การที่เห็นปู้เหล่าหลินฆ่าคนแต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งใดๆ ได้ เพื่อการนี้จึงยอมรับชื่อเสียงอันด่างพร้อย แล้วยังมีคนที่ตายไปต่อหน้าตัวเองเหล่านั้น ภูเขาที่ตกลงไปในทะเลลูกนั้น

หากสามารถเลือกได้ใหม่อีกครั้ง ตัวเองยังจะเลือกเหมือนครั้งนั้นหรือเปล่า?

เขาดึงสายตากลับมา ก่อนจะมองไปทางจิ๋งจิ่ว จากนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ในเมื่ออย่างไรก็ต้องมีคนทำเรื่องเหล่านี้ อย่างนั้นให้ข้าเป็นคนทำก็แล้วกัน”

จิ๋งจิ่วไม่ได้แสดงสีหน้าชื่นชมออกมา แล้วก็ไม่ได้ชื่นชม แน่นอนว่าไม่ได้โกรธด้วย เขากล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “สิ่งที่เรียกว่าการเลือก ขอเพียงแบกรับผลที่ตามมาของมันได้ เช่นนั้นก็อยู่เหนือคำว่าถูกหรือผิด”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “เข้าใจขอรับ”

ผ่านมาหลายปีได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง กลับมีเพียงบทสนทนาที่เรียบง่ายและน่าเบื่อ

เสี่ยวเหอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้นางรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่สบายใจ เพราะความสัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยดูห่างเหินเป็นอย่างมาก

นี่เป็นเพราะนางไม่เข้าใจการปฏิบัติตัวต่อกันของจิ๋วจิ่วและหลิ่วสือซุ่ย พูดให้ถูกคือนางไม่เข้าใจจิ๋งจิ่วเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย

การเป็นห่วงเป็นใย เขาไม่มีทางแสดงมันออกมาด้วยคำพูด

ที่ดูห่างเหิน เป็นเพราะเขารู้สึกว่าการแสดงออกทางอารมณ์ที่มากเกินไปคือสิ่งที่ไม่จำเป็น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดแค่พูดให้ชัดเจนก็พอ ไม่จำเป็นต้องตะโกน ร่ำไห้ น้ำตานองหน้า แบบนั้นมันจะดูตลก

หลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่มีทางเข้าใจจิ๋งจิ่วผิด เมื่อคิดถึงดอกมะลิดอกนั้นและกระบี่เล่มเล็กที่คมกริบอย่างมากเล่มนั้น เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก

เพียงแต่เขารู้ว่าจิ๋งจิ่วไม่ชอบดู ดังนั้นจึงฝืนสะกดความรู้สึกตื้นตันใจเอาไว้ในใจ

เขาหยิบเอาสร้อยข้อมือที่เป็นมันวาวขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้จิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วไม่ได้รับมา พลางกล่าวว่า “ให้เจ้า มันเป็นของเจ้า”

หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่ากระบี่เล่มนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับมีระดับที่สูงจนยากจะจินตนาการได้ เป็นกระบี่เซียนอย่างแท้จริง ไหนเลยจะยอมรับไว้ได้ เขากล่าวว่า “ด้วยสภาวะของข้า กระทั่งหนึ่งในร้อยส่วนของพลังของมันก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ด้วยซ้ำ ให้มันติดตามข้านั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก”

สร้อยข้อมืออันนั้นสั่นไหวเล็กน้อย ส่งเสียงหวึ่งๆ แสดงออกว่าเห็นด้วย ดูคล้ายอยากจะกลับมาอยู่ข้างกายจิ๋งจิ่วเต็มทีแล้ว

สำหรับมันแล้ว ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงแต่จิ๋งจิ่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะใช้มัน

“หากรู้สึกเสียดาย ก็ควรจะรีบยกระดับสภาวะของตัวเอง มิใช่คิดที่จะโยนมันทิ้ง ความคิดแบบนี้ขี้ขลาดเกินไป มิใช่วิถีที่ศิษย์ชิงซานยึดถือ”

จิ๋งจิ่วมองหลิ่วสือซุ่ย พบว่าพลังของเขามีความสับสนยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก จึงกล่าวว่า “หลายปีมานี้เจ้าบำเพ็ญเพียรได้ค่อนข้างแย่ ต้องตื่นตัวหน่อยนะ”

เสี่ยวเหอฟังคำพูดนี้อยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

นางรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยเคยเอาชนะถงหลูได้ในตอนที่สู้กันตรงโขดหินของทะเลตะวันตก ตอนนี้สภาวะของจิ๋งจิ่วไม่อาจเทียบเขาได้ มีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์เขาเช่นนี้?

“ข้าเองก็พบว่ามีปัญหาเช่นกัน”

หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไรอยู่

ในอดีตหลังเขากลืนตานปีศาจเข้าไป ในร่างกายก็มีเพลิงปีศาจ แล้วก็เรียนวิชาลับของสำนักเสวี่ยหมัว ทั้งยังเรียนเพลงกระบี่ซีไห่กับซีหวังซุนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เรียนจนปะปนยุ่งเหยิง ไอพลังก็ปะปนยุ่งเหยิง เกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย จนส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียร

จิ๋งจิ่วถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขาสองสามประโยค หลิ่วสือซุ่ยตอบตามตรง มิได้ปิดบังแม้แต่น้อย จากนั้นก็ถามถึงปัญหาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่ตัวเองพบเจอ จิ๋งจิ่วตอบอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อเขามาก

คล้ายกับว่าได้กลับไปยังหมู่บ้านบนภูเขาเมื่อหลายปีก่อน

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าอยากจะแก้ไขปัญหาพลังยุ่งเหยิงในร่างกายเจ้าให้เร็วที่สุด วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปอยู่บนยอดเขาอวิ๋นสิงสักสองสามปี”

เจตน์กระบี่หลอมกายาเป็นวิชาที่มีความอันตรายอย่างมาก แต่หลิ่วสือซุ่ยกลับตอบรับโดยไม่แม้กระทั่งหยุดคิด คุณชายไม่มีทางคิดร้ายต่อเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าล่าเยวี่ยก็เคยทำเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

เมื่อคิดถึงเจ้าล่าเยวี่ย หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกอยากพบนาง

ตอนที่สังหารลั่วไหวหนานที่เมืองกุ้ยอวิ๋นเมื่อครั้งนั้น เขากับเจ้าล่าเยวี่ยมิได้พูดคุยอะไรกันเลย แต่ในใจกลับรู้สึกเชื่อมโยงถึงกัน ความรู้สึกเชื่อมั่นและสอดประสานกันช่างดีจริงๆ

“นางมีธุระ”

คำตอบของจิ๋งจิ่วไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครต่างก็ฟังออกว่าเป็นข้ออ้างที่ตอบส่งๆ ออกมา

หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้จะทำอย่างไร มองเสี่ยวเหอที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นกล่าวว่า “เดิมข้าคิดจะให้นางตามข้ามาชิงซาน ตอนนี้ดูแล้วเหมือนศิษย์พี่บางคนจะไม่ชอบนางอย่างมาก”

เสี่ยวเหอเป็นสายที่จิ๋งจิ่วทิ้งเอาไว้ในปู้เหล่าหลิน

คนที่นางเข้าไปช่วยก็คือหลิ่วสือซุ่ย

หากหลิ่วสือซุ่ยแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ เขาย่อมทำได้เพียงขอให้จิ๋งจิ่วช่วย

จิ๋งจิ่วมองเสี่ยวเหอ ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะจัดการให้”

เสี่ยวเหอพลันรู้สึกร่างกายหนาวเย็นขึ้นมา ยิ่งรู้สึกตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้สภาวะธรรมดา แต่เหตุใดกลับน่ากลัวถึงเพียงนี้?

ในเมื่อจิ๋งจิ่วบอกว่าจะจัดการให้ หลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่ต้องกังวลใจ ทันใดนั้นพลันคิดถึงข่าวลือเรื่องหนึ่ง จึงอดสะกดความรู้สึกสงสัยใคร่รู้เอาไว้ไม่ได้ เขากล่าวถามว่า “คุณชาย เรื่องนั้นท่านเตรียมจะจัดการอย่างไรขอรับ?”

จิ๋งจิ่วถาม “เรื่องใด?”

หลิ่วสือซุ่ยคล้ายอยากจะกล่าวอะไรแต่ก็ชะงักไป ก่อนจะกล่าวว่า “แม่นางไป๋เจ่าแห่งสำนักจงโจวมาที่นี่”

จิ๋งจิ่วนึกว่าคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงกล่าวว่า “พรุ่งนี้นางจะมาเยือนที่นี่ ข้าได้รับปากนางไปแล้วว่าจะพบนาง วางใจได้ พิธีรีตรองของคนธรรมดาเช่นนี้ ข้าเข้าใจอยู่”

หลิ่วสือซุ่ยหมดคำพูด ในใจครุ่นคิดว่าใช่เรื่องพิธีรีตรองที่ไหนกัน คุณชายท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ด้วย

………………………………