ภาคที่ 4 ตอนที่ 4 ไผ่ป่า

มรรคาสู่สวรรค์

เรื่องบางเรื่อง ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่จะใช้เวลาเก้าวัน แม้นจะให้เวลาจิ๋งจิ่วชั่วชีวิต ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะเข้าใจ

หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจในจุดนี้ จึงไม่มีความคิดที่จะช่วยคุณชายอีก เตรียมกล่าวเรื่องสุดท้ายจบแล้วก็จะจากไป

“อาจารย์ในสำนักคล้ายมีเรื่องบางเรื่องอยากจะถามข้า”

เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “หลายปีมานี้เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย แต่ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเขาจะถาม ก็ต้องเป็นเรื่องที่ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ ข้าควรจะทำอย่างไรดีขอรับ?”

ความจริงเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่เรื่องนั้นหรือเปล่า

เรื่องนั้นเก็บซ่อนอยู่ภายในใจเขามาหลายปี ก่อนหน้านี้ตอนที่ศิษย์พี่เจี่ยนหรูอวิ๋นพูดประโยคนั้น ความรู้สึกไม่สบายใจอันนั้นมันก็ไหลทะลักออกมา

จิ๋งจิ่วรู้ว่าเรื่องนั้นคืออะไร

แล้วก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้

เขากล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “เรื่องราวมาถึงแล้วค่อยว่ากัน คิดไปก่อนล่วงหน้า ไม่มีประโยชน์”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด พบว่าคุณชายยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน จึงมิได้กล่าวกระไรอีก หมุนตัวพาเสี่ยวเหอลงจากยอดเขาไป

เมื่อเดินอยู่ในภายป่าที่มีต้นไม้หนาทึบ วานรพลันเงียบหายไป เสี่ยวเหอกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

นางฟังไม่เข้าใจว่าหลิ่วสือซุ่ยคุยอะไรกับจิ๋งจิ่วกันแน่ แล้วก็เตรียมจะจัดการเรื่องตัวเองอย่างไร

ตรงบริเวณหน้าผาที่อยู่ต่ำลงมากจากยอดเขาหลายร้อยข้าง ป่าไม้ยิ่งหนาทึบ ริมทางขึ้นเขามีกระท่อมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง

ต้นไม้รอบกระท่อมมีวานรเกาะอยู่ คล้ายกับผลไม้ลูกใหญ่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน มันเกาหัวเกาแก้ม ดูมีความสุข

ที่แท้พวกมันก็มารอดูเรื่องสนุกอยู่ที่นี่

กู้ชิงและหยวนฉวี่ยืนอยู่หน้ากระท่อม ย่อมต้องรอพวกเขาเช่นเดียวกัน

หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอถูกเชิญเข้าไปด้านใน

กู้ชิงใช้กาเหล็กต้มชา หยวนฉวี่แบ่งใส่ชาม ส่งให้ทั้งสองคน

ไอน้ำร้อนๆ ลอยวน ถูกสายลมเย็นๆ พัดผ่าน ไม่มีเสียงวานร เสียงนกดังจ๊อกแจ๊ก

การพักอยู่ในภูเขานี่มีความเป็นเซียนจริงๆ ด้วย

กู้ชิงกล่าวแนะนำ “เขาชื่อหยวนฉวี่ เรียนกระบี่กับท่านเจ้าแห่งยอดเขา พวกท่านน่าจะเคยเจอตอนอยู่ศาลาหนานซงเมื่อครั้งนั้นแล้ว

หยวนฉวี่ลุกขึ้นคำนับ “คารวะศิษย์พี่หลิ่ว”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวแนะนำ “นางชื่อเสี่ยวเหอ พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาแล้ว”

กู้ชิงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิง มีใครไม่รู้จัก? ไม่ทราบว่าแม่นางมาชิงซาน….”

เสี่ยวเหอยิ้มเล็กน้อยไม่กล่าวกระไร ดูเรียบร้อยงดงาม

หลิ่วสือซุ่ยรู้จักกู้ชิงตั้งแต่เมื่อก่อน

อดีตเด็กรับใช้ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ตอนนี้เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาเสินม่อ

ในตอนที่กู้ชิงพูดคุยกับเสี่ยวเหอ ท่าทีดูสุขุมนุ่มลึก ดูน่าเชื่อถือเป็นยิ่งนัก

เมื่อเห็นภาพนี้ หลิ่วสือซุ่ยพลันคิดถึงคำพูดของไป๋เจ่าตอนที่อยู่ในหอสี่เจี้ยน สายตามองไปยังกาน้ำเหล็ก

กาน้ำเหล็กวางอยู่บนเตาเล็กๆ ส่งเสียงฟู่วๆ เบาๆ คล้ายกับแมวกำลังกรนเบาๆ ด้วยความสบาย

หากตอนนั้นตัวเองออกจากศาลาหนานซงช้าอีกสักสองปี คนที่คอยต้มชาให้คุณชายอยู่บนยอดเขาเสินม่อนี้…ก็คงจะเป็นตัวเองกระมัง

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ถูกคำถามของกู้ชิงปลุกขึ้นมา

กู้ชิงถามว่า “ศิษย์พี่เตรียมจะจัดการเรื่องแม่นางเสี่ยวเหออย่างไร?”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “คุณชายรับปากว่าจะช่วย”

กู้ชิงกล่าวเสียงเรียบเฉย “เช่นนี้ก็ดี อย่างนั้นช่วงนี้แม่นางเสี่ยวเหอก็อยู่ที่นี่ก่อน?”

เสี่ยวเหอมองหลิ่วสือซุ่ยอย่างไม่สบายใจ ผ่านไปหลายปี หลิ่วสือซุ่ยกลับมายังชิงซานจะต้องมีเรื่องให้ทำมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นสถานะศิษย์ยอดเขาเทียนกวงหรือว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างก็ล้วนแต่เป็นตัวกำหนดให้เขาไม่สามารถมายังยอดเขาเสินม่อบ่อยๆ ได้

ต้องอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อที่แปลกหน้าเช่นนี้คนเดียว แล้วยังอาจจะได้เจอกับอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วที่น่ากลัวผู้นั้นบ่อยๆ เพียงแค่คิดก็ทำให้นางหวาดกลัวแล้ว

หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกแปลกใจ เขามองสายตากู้ชิง คล้ายคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “อย่างนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย”

เขาสนิทกับกู้หาน รู้ว่าตระกูลกู้มีอิทธิพลแค่ไหนในชิงซาน จะต้องเป็นเพราะกู้ชิงล่วงรู้อะไรมาถึงได้ให้คำแนะนำเช่นนี้ออกมาแน่

หลังดื่มชาจนหมดชาม หลิ่วสือซุ่ยก็ลุกขึ้นบอกลา ลงจากยอดเขาไปโดยไม่สนใจเสี่ยวเหอที่อยู่ในสภาพน่าสงสาร

เหล่าวานรที่อยู่ด้านนอกกระท่อมส่งเสียงร้องขึ้นมา จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ หายไป น่าจะไปส่งหลิ่วสือซุ่ย

เสี่ยวเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บนใบหน้าไม่เห็นถึงความน่าสงสารใดๆ แล้ว

นางก็เหมือนกับพวกวานร นางรู้ดีว่าคนที่นางต้องสนใจจริงๆ คือใคร

ถ้าหากนางสามารถจับหลิ่วสือซุ่ยเอาไว้ได้ ก็เท่ากับนางควบคุมทุกอย่างได้ ส่วนคนที่เหลือ คนอย่างจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยนั้นนางไม่กล้าไปหาเรื่องด้วย กู้ชิงและหยวนฉวี่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นคู่แข่งขันของหลิ่วสือซุ่ยในอนาคต แค่ทำตัวตามมารยาทก็พอ หากทำอะไรมากไปมันอาจจะกลับกลายเป็นแย่ลงก็ได้

กู้ชิงมองสายตาที่เผยให้เห็นถึงความชื่นชมของนาง หลังจากนั้นส่ายศีรษะ คล้ายรู้สึกเสียใจ

“อาจารย์เซียนกู้มีเรื่องใดชี้แนะ?” เสี่ยวเหอยิ้มเล็กน้อยพลางถาม

กู้ชิงกล่าวว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในวังหลวงเมืองเจาเกอ ข้าเคยพบกับเผ่าพันธุ์ของเจ้าคนหนึ่ง สภาวะของนางไม่แน่ว่าจะสูงกว่าเจ้า แต่สภาวะกลับสูงกว่าเจ้ามากนัก

เสี่ยวเหอย่อมต้องรู้ว่าเผ่าพันธุ์เดียวกับนางที่อยู่ในวังหลวงคนนั้นคือใคร

สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจจิ้งจอกแล้ว พระสนมหูผู้นั้นคือคนที่พวกนางอิจฉาและเลื่อมใสมากที่สุด

คำพูดประโยคนี้ของกู้ชิงคล้ายมีปัญหา ความจริงแล้วเข้าใจได้ง่ายมาก โดยเฉพาะสำหรับปีศาจจิ้งจอกที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดด้วยแล้ว

สภาวะคำแรกที่ยู่ในประโยคนี้หมายถึงสภาวะการบำเพ็ญเพียรไปจนถึงความสามารถในการสังหารคน ส่วนสภาวะอย่างหลังนั้นหมายถึงความสามารถที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก เสี่ยวเหอรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไร แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางกล่าวอย่างเฉยชาว่า “พระสนมเป็นที่รักของฝ่าบาท สามารถให้กำเนิดพระโอรส โชคชะตาเช่นนี้ข้าจะเทียบได้อย่างไร?”

นี่เท่ากับเป็นการบอกว่าที่พระสนมมีทุกวันนี้ได้เป็นเพราะโชคช่วย

กู้ชิงครุ่นคิด ใครจะรู้ได้ล่ะว่าพระโอรสองค์นั้นจะนำมาซึ่งโชคดีหรือว่าโชคร้าย แต่เรื่องหล่าวนี้ย่อมไม่อาจกล่าวกับเสี่ยวเหอได้ เขาเพียงแต่พูดเตือนไปประโยคหนึ่ง “ที่พระสนมได้รับความรักจากฝ่าบาท สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคำว่าความจริง”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวเหองุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นพลันกล่าวว่า “ท่านต้มชาไม่ถูกต้อง”

ครั้งนี้กลายเป็นกู้ชิงที่ตกตะลึง เขาต้มชาอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อมาหลายครั้ง ถึงแม้จำนวนครั้งจะไม่ถือว่ามาก แต่จิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยก็ไม่เคยบอกว่าอะไร

เขามองหยวนฉวี่ คิดอยากจะได้คำวิจารณ์ที่เป็นกลาง

หยวนฉวี่ลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “อาจารย์ทั้งสองท่านคล้ายจะไม่รู้เรื่องนี้”

ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนอย่างมาก

เสี่ยวเหอกล่าวต่อว่า “กาเหล็กของตงอี้จะเอามาใช้ต้มชาเหมาเจียนได้อย่างไร? เช่นนั้นมิสู้เอาไปต้มพะโล้เสียเลยล่ะ”

หยวนฉวี่ลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “แม่นาง ที่บอกว่าความจริงมิได้หมายความว่ามีอะไรก็พูดอย่างนั้น การไม่พูดโกหกหรือไม่พูดเลยก็ถือเป็นความจริงเช่นกัน…”

……

……

พวกกั้วหนานซานรออยู่ที่ด้านล่างยอดเขาเสินม่อ พบว่าเสี่ยวเหอมิได้ตามหลิ่วสือซุ่ยลงมาด้วย จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

เจี่ยนหรูอวิ๋นเลิกคิ้ว มิได้กล่าวกระไร

“พวกเราไปที่ยอดเขาเทียนกวงก่อน”

กั้วหนานซานกล่าว

หลิ่วสือซุ่ยถาม “ไปหาท่านเจ้าสำนักหรือขอรับ?”

กั้วหนานซานกล่าว “วันนี้อาจารย์มีธุระคุยกับแขกจากสำนักจงโจว อาจารย์อาไป๋รอเจ้าอยู่”

หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

กั้วหนานซานรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวปลอบไปว่า “ตอนนั้นอาจารย์ไป๋ไม่รู้เรื่อง ถึงได้เย็นชากับเจ้าเช่นนั้น ภายหลังเขาเองก็รู้สึกผิดอย่างมาก ต่อไปคงจะดูแลเจ้าอย่างดี”

ไป๋หรูจิ้งเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเทียนกวง บำเพ็ญเพียรถึงขั้นแหวกทะเล เป็นอาจารย์ของหลิ่วสือซุ่ย

เพียงแต่ภายหลังได้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย

หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางเจี่ยนหรูอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่สี่มีเรื่องจะถามข้ามิใช่หรือ?”

“ข้าบอกแล้วไง เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเล็ก”

กู้หานตบบ่าเขา ก่อนกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ไป๋ก็เป็นอาจารย์ของเจ้า”

ในยอดเขาเทียนกวง ด้านนอกถ้ำที่เงียบสงบแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยต้นไผ่สีเขียว

ผ่านไปหลายปี ไผ่สีเขียวมิได้มีอยู่เพียงกอเดียวเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว

พืชตามธรรมชาตินั้นมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งจริงๆ ด้วย

ไผ่สีเขียวเหล่านั้นงอกเงยสะเปะสะปะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนดูแล

พวกกั้วหนานซานรออยู่ด้านนอกถ้ำ มองดูต้นไผ่ที่ขึ้นเต็มตรงหน้า รู้สึกทอดถอนใจ

ภายในถ้ำพลันมีเสียงทะเลาะอย่างรุนแรงดังออกมา

พวกกั้วหนานซานสีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย

………………………….