บทที่ 353 ข้ามทะเลไฟ
ตะเกียงจ้าวตะวันระเบิดแสงเป็นประกายสีทองคำ เปลวไฟลุกโชติช่วงบนท้องฟ้า แผดเผาภูเขาและก้อนหินให้ละลายหายไปในพริบตา
ตะเกียงจ้าวตะวันในมือของออร์โลน่ากลัวเทียบเท่าอาวุธเทพสวรรค์!
คนที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ถึงกับปากอ้าตาค้างไปแล้ว
พวกเขาเพิ่งรับชมอะไรไป? จอมมารฉู่ชวิ๋นกำลังถูกคู่ต่อสู้ไล่ล่า ทั้งที่ในความทรงจำที่ผ่านมาของพวกเขา จอมมารผู้นี้เคยแต่เป็นฝ่ายไล่ล่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด? เมื่อเห็นฉากการต่อสู้เช่นนี้แล้ว จิตใจของทุกคนกลับรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกคิดจะหนีไปไหน?” ออร์โลพูดด้วยน้ำเสียงดุร้ายขณะหิ้วตะเกียงวิเศษไล่ตามฉู่ชวิ๋น
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชาและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “แกนั่นแหละไปพักก่อนดีกว่าไหม ความเร็วเชื่องช้าเป็นเต่าอืด ต่อให้มีอาวุธเทพสวรรค์อยู่ในมือ ก็ถือว่าเสียของเปล่า ๆ”
ออร์โลคำรามด้วยความโกรธแค้น ฉู่ชวิ๋นพูดถูก อาวุธที่อยู่ในมือเขาทรงพลังมากพอที่จะสังหารฉู่ชวิ๋น แต่เป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่ไม่มีความสามารถมากพอ สิ่งนี้ทำให้ออร์โลรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
“จอมมารฉู่ชวิ๋น มาถึงขนาดนี้ยังกล้าพูดจาสามหาวอยู่อีกเหรอ ถ้ามีความสามารถจริง ก็หันมาสู้กันเลยดีกว่า?”
ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยความเมินเฉย “ถ้าฉันมีอาวุธเทพสวรรค์แบบแกบ้างนะ ฉันสามารถฆ่าแกได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ”
ถ้อยคำถากถางของฉู่ชวิ๋นยิ่งทำให้ไฟแค้นในหัวใจของออร์โลลุกโชน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “จอมมารฉู่ชวิ๋น ถ้าแกยังไม่หยุด ฉันจะข้ามไปที่พรมแดนประเทศจีนแล้วก็ทำลายล้างทุกสำนักในยุทธภพจีนให้หมด”
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงเรียบเฉยดังเดิมขณะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เชิญเลย เชิญเลย”
ออร์โลทั้งประหลาดใจทั้งฉุนเฉียว “ถ้าไม่มีแกคอยช่วยเหลือ คนพวกนั้นก็ไม่ใช่คู่มือของฉันหรอกนะ”
“ฉันก็ว่าจะไปยุโรปและแวะไปเยี่ยมสำนักงานสาขาย่อยของวิหารแกอยู่เหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ
ออร์โลยืนตัวแข็งทื่อ ไอ้หมอนี่มันจะไปทำไมอีก? นี่คือการข่มขู่กันชัด ๆ ถ้าฉู่ชวิ๋นเดินทางไปที่ยุโรปอีกครั้ง สำนักงานสาขาย่อยของวิหารดวงตะวันก็คงถูกทำลายล้างไม่เหลือซากเป็นแน่
“จอมมารฉู่ชวิ๋น คิดหรือว่าฉันจะฆ่าแกไม่ได้?” ออร์โลพยายามหัวเราะเยาะกลับมาบ้าง
พอได้ยินแบบนี้ฉู่ชวิ๋นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
ออร์โลหายใจฟืดฟาด เจ้าหมอนี่มันดูถูกเขาเกินไปแล้ว
“เหอะ ตะเกียงวิเศษดวงนี้มีแข็งแกร่งขนาดนี้? อยากรู้จริง ๆ ว่าอย่างแกจะสามารถใช้งานมันได้สักกี่ครั้งกัน?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
ออร์โลรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอีกครั้ง ฉู่ชวิ๋นพูดถูกต้อง ตะเกียงจ้าวตะวันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำวิหารดวงตะวัน เขาเคยได้เห็นของจริงก่อนหน้านี้แค่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และการที่เขานำมันออกมาสู้กับฉู่ชวิ๋น ก็ยังถือเป็นความลับสูงสุดอีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นเห็นดังนั้นก็รู้แล้วว่าตะเกียงดวงนี้อีกฝ่ายหนึ่งต้องรักษาด้วยชีวิต เขาจึงยกมือขึ้นและซัดพลังลมปราณสีม่วงสว่างวาบออกไป
ออร์โลกระโดดหนี การเติมพลังลมปราณเข้าสู่ตะเกียงก็ถูกขัดจังหวะเสียแล้ว
“ถ้าไม่มีตะเกียงวิเศษ แกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะลั่น ชกกำปั้นออกไปแล้วพลังลมปราณก็พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าหาออร์โล
ออร์โลหมุนตัวหลบหลีก พลังลมปราณของฉู่ชวิ๋นกระแทกเข้าใส่พื้นลาวาแตกกระจาย
หืม?
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกทึ่งกับความสามารถของออร์โลอยู่ไม่น้อย เนื่องจากออร์โลก็สามารถหลบหลีกการโจมตีของเขาได้ทุกครั้งเช่นกัน
“ขอดูหน่อยเถอะว่าแกจะหลบได้อีกสักกี่ครั้ง?” ฉู่ชวิ๋นคำรามด้วยความโกรธแค้น
ฉู่ชวิ๋นต่อยหมัดออกไปรัว ๆ ลำแสงพลังลมปราณสว่างไสวเหมือนสายรุ้ง เกี่ยวพันร้อยรัดกันและกันพุ่งตรงเข้าไปหาออร์โลเป็นจุดเดียว
ออร์โลตื่นตระหนก ถึงกระโดดหลบได้ แต่พลังที่พุ่งลงไปยังพื้นด้านล่าง ก็ทำให้ละอองลาวากระเด็นมาถูกแขนของเขา ออร์โลเจ็บปวดจนเกือบจะโยนตะเกียงจ้าวตะวันทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว
ฉู่ชวิ๋นยังคงระดมซัดพลังเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
ออร์โลโคจรพลังเข้าใส่ตะเกียงวิเศษในมือด้วยความหวาดกลัว ลำแสงสีทองพวยพุ่งสว่างไสวทันที
ฟู่!
เปลวไฟลุกโชนแผ่ออกไป กลืนกินลำแสงลมปราณที่ถูกซัดเข้ามารัวๆ
เปลวไฟและคลื่นความร้อนแผ่เข้ามาหาฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นกระโดดตัวถอยหนี แต่เมื่อเท้าของเขาสัมผัสพื้นหิน พื้นหินตรงนั้นก็ละลายกลายเป็นลาวาไปทันที
ฉู่ชวิ๋นยิ้มกว้าง ดีดตัวขึ้นไปอยู่บนเนินเขา ก่อนที่จะหันหลังกลับไปหัวเราะเยาะใส่ออร์โล แต่แล้วสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายลึกลับที่คืบคลานเข้ามาอย่างกะทันหัน
พลังลมปราณลึกลับถูกซัดลงมาจากท้องฟ้า และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ฉู่ชวิ๋นก็ระเบิดพลังลมปราณขึ้นไปสะกัดกั้น แต่ถึงอย่างนั้น ตัวของเขาก็ถูกแรงกระแทกจากการปะทะกันครั้งนี้ลอยกระเด็นไปไกลลิ่ว
เปรี้ยง!
เนินเขาที่ชายหนุ่มยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ พังทลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ฉู่ชวิ๋นหมุนตัวตีลังกาและกระโดดไปยืนอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง พร้อมกันนั้น เขาก็โคจรพลังลมปราณตลอดเวลา ชายหนุ่มไม่กล้าหยุดพัก และเขาก็เห็นลำแสงจากพลังลมปราณถูกซัดตามมาอีกครั้ง
เปรี้ยง!
ภูเขาอีกลูกพังทลายไปเพราะลำแสงลึกลับนี้
ฉู่ชวิ๋นโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกันคือผู้ที่ซัดลำแสงเหล่านี้เข้ามา?
ฟู่!
ฉู่ชวิ๋นยังไม่ทันจะได้ตั้งหลัก เปลวไฟของตะเกียงจ้าวตะวันก็แผ่เข้ามา อุณหภูมิความร้อนพุ่งขึ้นสูง แม้แต่หยาดเหงื่อของเขาก็ระเหยหายไป
ชายหนุ่มดีดเท้าหนึ่งครั้ง เขาก็กระโดดหนีออกมาได้
แต่ครั้งนี้ มีเงาร่างของใครบางคนกระโดดติดตามฉู่ชวิ๋นมาด้วย
ฉู่ชวิ๋นเดือดดาลถึงขีดสุด จำเป็นต้องหันกลับไปซัดพลังสวนกลับ เป็นจังหวะเดียวกับผู้ที่ไล่ล่าเขาซัดพลังมาพอดี
เปรี้ยง!
มวลพลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนเกิดระเบิดแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ฉู่ชวิ๋นถูกแรงระเบิดอัดกระเด็นไปกระแทกเข้ากับหน้าผาหิน ร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งจมหายเข้าไปในเนื้อหินแล้ว
แต่ในขณะนี้ ก็ยังคงมีพลังลมปราณถูกซัดเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นอย่างต่อเนื่อง เสียงของมวลพลังนั้นแหวกอากาศดังมาแต่ไกล
เปรี้ยง!
หน้าผาหินระเบิดตูม ภูเขาพังถล่ม ฉู่ชวิ๋นถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้กองหินขนาดใหญ่ยักษ์
ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้กลุ่มคนดูได้รับรู้แล้วว่าฉู่ชวิ๋นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูคนใหม่ ที่ยังไม่ปรากฏตัวเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนที่รับชมการถ่ายทอดสดได้แต่นั่งดูด้วยความตกตะลึงและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
คนผู้นี้เป็นใครกันนะ? ไม่มีใครกล้าละสายตาไปจากหน้าจอ
แล้วเงาร่างของคนที่โจมตีฉู่ชวิ๋นก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด เขาผู้นั้นลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือพื้นลาวาไฟ
เขาคือชายชราชาวตะวันตกสวมใส่เสื้อคลุมสีขาว บนศีรษะมีมงกุฎทองคำ ผมสีขาวยาวสลวย ส่วนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้เฒ่านั่นมัน…” ประธานใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืดอุทานออกมาเมื่อเห็นหน้าของชายชราคนนี้ถนัดตา
“ท่านเจ้าสำนัก”
ออร์โลนำกลุ่มผู้ติดตามจากวิหารดวงตะวันที่เหลืออยู่ ไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าชายชราผู้นี้
ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อ ปรากฏว่าชายชราคนนี้ก็คือเจ้าสำนักวิหารดวงตะวัน หลุยส์ ครีเกอร์
หลุยส์มาถึงแล้ว ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเขามาถึงตั้งนานแล้ว โดยปลอมตัวเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของออร์โลนั่นเอง
หลุยส์ปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ของวิหารดวงตะวัน แม้แต่คนในกลุ่มก็จดจำเขาไม่ได้
ณ เมืองหลวงของประเทศจีน หัวหน้าหมายเลข 1 ลุกขึ้นยืนและออกคำสั่งด้วยความโกรธแค้น “ส่งเครื่องบินขับไล่ของเราไปทิ้งระเบิดใส่ไอ้แก่นั่นเดี๋ยวนี้! เสียไปเท่าไรก็ได้ ฆ่ามัน ฆ่ามันให้ได้!”
“หลุยส์ เจ้าสำนักวิหารดวงตะวัน ไอ้สารเลว” เย่ฟ่านตี๋ไม่อาจใจเย็นได้อีกถึงกับต้องสบถออกมาด้วยความเคียดแค้น
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ผู้ที่ห่วงใยฉู่ชวิ๋นรู้สึกร้อนใจและเป็นกังวลมากขึ้น
“ไอ้เฒ่านี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ” ประธานใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืดว่า
สมเด็จพระสันตะปาปาแห่งวาติกันที่กำลังรับชมการถ่ายทอดสดอยู่ ได้แต่ถอนหายใจออกมา “ท่านหลุยส์ช่างมีความร้ายกาจยิ่งนัก”
ในโลกอินเทอร์เน็ต จอมยุทธ์ชาวจีนกำลังพร้อมใจกันก่นด่าหลุยส์ว่าเป็นคนหน้าไม่อาย
แต่สำหรับประตูวิญญาณสลาย สำนักดาบพิฆาต และสำนักพันธมิตรอื่นๆ ต่างรู้สึกปลาบปลื้มไปกับการเผชิญหน้าอันตรายในครั้งนี้ของฉู่ชวิ๋น
“จอมมารฉู่ชวิ๋น พวกเราวิหารดวงตะวันไม่ปล่อยแกไว้แน่ แกคิดหรือว่าในโลกนี้จะไม่มีใครโค่นแก?” หลุยส์ลดมือลง ชายเสื้อคลุมของเขาปลิวไสวตามแรงลม ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
“จอมมารฉู่ชวิ๋น เมื่อแกเชิญหน้ากับท่านเจ้าสำนักแบบนี้ มีแต่ตายกับตายเท่านั้น!” ออร์โลพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
หลุยส์สีหน้าเต็มไปด้วยความอำมหิต เขายื่นมือออกมา แล้วออร์โลก็ส่งตะเกียงจ้าวตะวันไปให้
“จอมมารฉู่ชวิ๋น ฉันจะฆ่าแกด้วยนามของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์” หลุยส์โคจรพลังใส่ตะเกียงไฟวิเศษ ลำแสงสีทองเปล่งประกาย เปลวไฟพวยพุ่งตรงเข้าไปแผดเผากองหินที่ฝังร่างของฉู่ชวิ๋นอยู่ด้านล่าง
กลุ่มคนที่เป็นห่วงฉู่ชวิ๋นหัวใจกระตุกวูบด้วยความหวาดกลัว ตะเกียงวิเศษดวงนี้มีพลังร้ายกาจขนาดไหน เมื่อสักครู่นี้พวกเขาก็ได้เห็นมากับตาแล้ว
หลุยส์กำลังจะใช้มันแผดเผาฉู่ชวิ๋นให้หลอมละลายไปพร้อมกับกองภูเขาหิน
เปรี้ยง!
แต่ในขณะที่เปลวไฟเพิ่งจะเริ่มละลายกองหินเท่านั้น กองก้อนหินก็ระเบิดตูม แล้วร่างของฉู่ชวิ๋นก็ลอยทะลุขึ้นมาจากด้านล่าง
ฟู่! ฟู่!
กองก้อนหินขนาดมหึมาหลอมละลายกลายเป็นลาวาไปหมดสิ้น
“ไอ้แก่ เจ้าเล่ห์นักนะ” ฉู่ชวิ๋นหอบหายใจ ตาแก่คนนี้แข็งแกร่งมากเกินไป เรียกได้ว่ามีฝีมือทัดเทียมกับสมเด็จพระสันตะปาปาเลย
หลุยส์ประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นว่าฉู่ชวิ๋นยังคงปลอดภัยดี
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกนี่มันตายยากเหลือเกิน” หลุยส์พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เจ้าสำนักหลุยส์ ทำอะไรเป็นเด็กน้อยไปได้ กล้าเล่นงานฉันทีเผลอได้อย่างหน้าไม่อายเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นกระโดดไปยืนอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่งด้วยใบหน้าดำปิ๊ดปี๋ แต่สภาพของเขาที่ยังดูสบายดี ทำให้ผู้ที่ลงมือโจมตีไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่
หลุยส์ไม่ได้มีท่าทีละอายใจแม้แต่น้อย เขาหัวเราะในลำคอพูดว่า “ใครก็ตามที่กล้าลบหลู่วิหารดวงตะวัน จะต้องไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ตอบว่า “แต่ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ตายเลยนะ?”
“แกคิดว่าจะรอดไปได้หรือไง?” น้ำเสียงของหลุยส์เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“แล้วแกคิดว่าจะฆ่าฉันได้หรือไง?” ฉู่ชวิ๋นถามกลับไปพร้อมกับหัวเราะในลำคอ
เปรี้ยง!
หลุยส์ยกมือที่ถือตะเกียงขึ้น เปลวไฟพวยพุ่งเผาผลาญภูเขาโดยรอบให้แปรเปลี่ยนกลายเป็นทะเลไฟ พื้นดินกลายเป็นลาวาเหลว คลื่นความร้อนแผ่กระจายเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น
แต่ตอนนี้ ฉู่ชวิ๋นไม่หลบหนีอีกต่อไป ชายหนุ่มยืนจ้องมองหลุยส์พร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน
หลุยส์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
ทันใดนั้นเอง มวลพลังรูปมือคนขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าและตั้งตัวเป็นกำแพงคอยกำบังร่างของฉู่ชวิ๋นเอาไว้
การโจมตีของหลุยส์ปะทะเข้ากับกำแพงมือยักษ์ มวลพลังสลายตัว ลาวาเหลวแตกกระจาย แต่กลับไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นได้เลย
“จักรพรรดิอ๋าวฮวง ถ้าไม่มาช่วยผมคราวนี้ สงสัยผมคงได้ตายจริง ๆ แล้วนะ ชักช้าจริง ๆ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะด้วยความชอบใจ
ปรากฏร่างของใครบางคนยืนอยู่บนยอดเขา ชายผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเหลืองและสวมมงกุฎทองคำ หน้าตาหล่อเหลามีสง่าราศี
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่ชวิ๋น ริมฝีปากของเขาก็กระตุกตัวเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด ก่อนจะหันสายตาชำเลืองมองมาที่ชายหนุ่ม
หลุยส์รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที เพราะแค่ชายคนนี้มายืนอยู่บนยอดเขา ก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงแล้ว
“นักสู้ยุโรปเอ๋ย พวกเจ้าทำลำเส้นมากเกินไปแล้วนะ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงหันมามองหน้าหลุยส์ด้วยดวงตาอันน่าหวาดกลัว
หลุยส์อยู่ในสภาพตกใจสุดขีด รีบโคจรพลังลมปราณแสงอาทิตย์มาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ อีกฝ่ายมาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลย
ชายคนนี้คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองจีนอย่างไม่ต้องสงสัย
“แกเป็นใคร? กล้าดียังไงพูดจาสามหาวกับเจ้าสำนักของเรา” ลูกศิษย์คนหนึ่งของวิหารดวงตะวันตะโกนออกมา
“หุบปาก” หลุยส์คำราม
จักรพรรดิอ๋าวฮวงหันกลับไปจ้องมองลูกศิษย์คนที่ส่งเสียงดัง
ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดัง “ตู้ม” แล้วลูกศิษย์คนที่ตะโกนใส่จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็ร่างระเบิดกลายเป็นเพียงกองเลือดกองหนึ่ง ทำให้บรรดาลูกศิษย์ของวิหารดวงตะวันที่เหลืออยู่ มืออ่อนเท้าอ่อนกันไปหมดแล้ว
เมื่อพบเข้ากับฉากนี้ แม้แต่กลุ่มผู้รับชมการถ่ายทอดสดก็ตกตะลึงจนเหงื่อซึมออกมาเย็นเยียบ ถึงพวกเขาจะรับชมผ่านหน้าจอ แต่ก็รู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงไขสันหลัง
เพียงแค่กวาดตามองเฉย ๆ ก็สามารถทำให้คนของวิหารดวงตะวันร่างระเบิดได้เลยหรือนี่
หลุยส์โกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งมาก แต่อีกฝ่ายมาถึงก็สังหารคนของวิหารดวงตะวันไปต่อหน้าต่อตาเขา
“ทำแบบนี้มันอำมหิตเกินไปหรือเปล่า?” หลุยส์ยืนตัวแข็งทื่อ
“นักสู้ยุโรปเอ๋ย เมืองจีนไม่ใช่ที่สำหรับพวกเจ้า ความตายคือบทลงโทษเดียวเท่านั้นสำหรับการที่พวกเจ้ามาทำลายภูเขาและแม่น้ำของข้า” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ ตาเฒ่าคนนี้พูดจาดีๆ ก็เป็นด้วยแฮะ
“หมายความว่าอยากจะฆ่าฉันใช่ไหมล่ะ?” หลุยส์ยิ้มออกมาด้วยความแค้นเคือง
“ทำไมล่ะ? คิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้หรือไง?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย “ไปเอาความมั่นใจผิด ๆ แบบนี้มาจากไหนกัน?”
ไม่ทันขาดคำ จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็สะบัดมือซัดพลังใส่หลุยส์ ส่งผลให้ร่างของเจ้าสำนักวิหารดวงตะวันลอยกระเด็นไปเหมือนตุ๊กตา
หลุยส์เกือบจะกระอักเลือดออกมา เขาคือเจ้าสำนักวิหารดวงตะวันผู้ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงในยุโรป เป็นที่กราบไหว้บูชาของคนจำนวนหลายล้านคน เขามาพบเจอชะตากรรมแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ?
เปรี้ยง!
พลังเปลวไฟจากตะเกียงจ้าวตะวันถูกปล่อยโต้ตอบกลับไป อุณหภูมิความร้อนสูงทำให้มวลอากาศระเบิดตัว แล้วมวลพลังงานความร้อนนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปหาจักรพรรดิอ๋าวฮวงอย่างรุนแรง!