บทที่ 354 หายนะของวิหารดวงตะวัน

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 354 หายนะของวิหารดวงตะวัน

จักรพรรดิอ๋าวฮวงมีสีหน้าผ่อนคลาย ดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

เปรี้ยง!

คลื่นความร้อนและเปลวไฟแผ่เข้ามา พื้นดินสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว

การโจมตีของหลุยส์ถูกจักรพรรดิอ๋าวฮวงปัดป้องออกไปได้อย่างง่ายดาย

“อ๊าก…” หลุยส์คำรามด้วยความเจ็บแค้นใจ

จักรพรรดิอ๋าวฮวงซัดพลังโต้ตอบกลับไป การปะทะกันของพลังลมปราณทำให้พื้นลาวาใต้เท้าของหลุยส์เลื่อนไหลและเกิดการระเบิดตัวขึ้น

ตู้ม!

ลาวาเหลวกระเด็นขึ้นกลางอากาศสูงหลายเมตร หลุยส์ต้องยกมือป้องกันเอาไว้ไม่ให้ลาวาเหล่านั้นกระเด็นมาถูกส่วนสำคัญของร่างกาย

บรรดาผู้ที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ต่างก็ตื่นเต้นและตื่นกลัว

“เป็นแค่เพียงมดแมลงตัวเล็กจ้อย กล้ามาดูหมิ่นประเทศจีนได้อย่างไร” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เมื่อชายชรายกฝ่ามือขึ้นมา พลังลมปราณก็ถูกซัดออกไปกดร่างของหลุยส์ให้จมหายลงไปใต้พื้นดิน

หลุยส์มีพลังระดับเดียวกับสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งวาติกัน ระดับพลังแตกต่างจากคนทั่วไปมาก แต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงต้องมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน ถึงสามารถซัดหลุยส์ให้กระเด็นได้ด้วยมือข้างเดียว

ทั้งนักรบยุโรปและจอมยุทธ์จีนต่างก็ตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะทำแค่เพียงนั่งรับชมผ่านหน้าจอ แต่ก็รู้สึกตื่นกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม

ในโลกใบนี้ มีคนที่แข็งแกร่งระดับนี้อยู่ด้วยเหรอ?

เปรี้ยง!

พื้นดินระเบิดตูม หลุยส์ร้องคำรามในขณะที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นดิน ปากของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ไฟโทสะลุกโชนถึงขีดสุด

เขามีสถานะเป็นเทพเจ้าแห่งโลกตะวันตก เป็นผู้นำของวิหารดวงตะวัน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามซัดพลังใส่จนจมลงไปใต้พื้นดิน ถือเป็นสิ่งที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

ประธานใหญ่แห่งสหพันธ์ศาสตร์มืดและสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งวาติกันก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วทั้งสองคนไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

ว่ากันตามข่าวลือ ประเทศจีนเก็บงำความลับเอาไว้อยู่มากมาย และก่อนหน้านี้ก็มีการตักเตือนเอาไว้แล้วว่า พวกเขาไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับประเทศจีน

และตอนนี้ทุกคนก็ได้เข้าใจแล้วว่าความน่ากลัวเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงข่าวลือ

ใบหน้าของหลุยส์เต็มไปด้วยบาดแผล สภาพร่างกายของเขาแทบดูไม่ได้ มีเลือดสีแดงไหลหยดออกมาจากตะเกียงจ้าวตะวัน ส่งผลให้หลุยส์ต้องรีบโคจรพลังเพิ่มเติมเข้าไป

ในทันใดนั้น ตะเกียงวิเศษก็ส่งแสงเป็นประกายสีทองสว่างจ้าปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้า

“เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ช่วยปกป้องสาวกผู้จงรักภักดีของท่านด้วย ขอท่านช่วยทำลายปีศาจตนนี้ไปเสีย และจงปลดปล่อยแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ ครอบคลุมไปให้ทั่วถึงทุกมุมโลก” นี่คือบทสวดภาวนาประจำวิหารดวงตะวัน

“มันไม่สำคัญหรอกว่าแกจะเป็นใคร แต่วันนี้แกจะต้องตายแน่นอน!”

หลุยส์พูดจบ ตะเกียงจ้าวตะวันก็เปล่งแสงเรืองรอง

เปรี้ยง!

เปลวไฟสีแดงลามเลียไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะรวบรวมเป็นมวลพลังพุ่งตรงเข้าไปหาจักรพรรดิอ๋าวฮวง

จักรพรรดิอ๋าวฮวงยังคงมีดวงตาเฉื่อยชา ราวกับว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

“ตาเฒ่าอ๋าวฮวง ระวัง!” ฉู่ชวิ๋นร้องเตือนออกไป เพราะทราบดีว่าตะเกียงวิเศษดวงนี้มีความน่ากลัวขนาดไหน

แต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงไม่มีท่าทีสนใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง เป็นเชิงบอกให้ชายหนุ่มสงบจิตสงบใจ

“แต่ว่านั้นมัน…” ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออก เขาเป็นห่วงจริง ๆ ว่ามือของจักรพรรดิอ๋าวฮวงจะถูกตะเกียงวิเศษแผดเผาจนมอดไหม้

แต่แล้วจักรพรรดิอ๋าวฮวงก็หันไปยกมือใส่เปลวไฟที่กำลังพุ่งเข้ามาหาก่อนที่คลื่นความร้อนและเปลวเพลิงจะปกคลุมไปทั่วบริเวณ มันก็ถูกดูดกลืนหายไปในฝ่ามือของจักรพรรดิอ๋าวฮวง

หลังจากนั้น จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็รวบมือกำเป็นหมัด ก่อนเสียงดัง “พรึบ” จะดังขึ้นแล้วควันสีขาวก็ลอยขึ้นมาจากนิ้วมือของเขา

น่าเหลือเชื่อ! ภาพที่เห็นทำให้ฉู่ชวิ๋นปากอ้าตาค้าง

หลุยส์เองก็ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ดวงตาของเขาเบิกโตแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาเพิ่งพบเห็นอะไรไป? เปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นมาด้วยเลือดของเขา กลับถูกอีกฝ่ายกำจัดทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่ว่าเป็นใครต่างก็รู้สึกแบบเดียวกัน สิ่งที่เห็นมันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

พลังจากตะเกียงจ้าวตะวันที่สามารถหลอมก้อนหินและทำลายภูเขาได้ทั้งลูก แม้แต่จอมมารฉู่ชวิ๋นก็ยังต้องหลบหนีเพราะสู้ไม่ได้

แต่ชายชราคนนี้กลับสามารถสลายพลังทั้งหมด ได้ภายในฝ่ามือเดียวของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย

ฉู่ชวิ๋นอ้าปากพะงาบ ๆ พูดอะไรไม่ออก ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ได้รับรู้แล้วว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ที่ผ่านมาชายชราหลอกเขามาโดยตลอดหรือนี่? ไหนบอกว่าโดนพันธนาการแห่งท้องฟ้าผนึกพลังเอาไว้ไง? ฉู่ชวิ๋นยืนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงและก็เห็นจักรพรรดิอ๋าวฮวงเหลียวหน้ามามองเขาเล็กน้อยเช่นกัน

“…” ฉู่ชวิ๋นทราบแล้วว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงจริง ๆ แล้วแข็งแกร่งเกินไป

เปรี้ยง!

ลาวาเหลวสาดกระจาย พื้นดินสั่นสะเทือน หลุยส์ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ถูกพลังซัดใส่จนร่างจมหายไปใต้พื้นดินอีกครั้ง

จักรพรรดิอ๋าวฮวงยื่นมือออกไปและดึงตะเกียงจ้าวตะวันเข้ามาหาตัวเองด้วยพลังลมปราณหลังจากนั้น เขาก็โยนตะเกียงให้ฉู่ชวิ๋นรับเอาไว้

“เก็บเอาไว้ป้องกันตัวเอง อย่าให้ไฟดับเด็ดขาด เพราะตะเกียงดวงนี้เมื่อไฟดับไปแล้วจะใช้งานไม่ได้อีก” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลน “ของกระจอกขนาดนี้ ยังกล้าเอาออกมาข่มขวัญผู้คนอีกนะ”

พูดจบ ชายชราก็ประกบสองมือเข้าด้วยกัน ท่าทางราวกับตบมือ

เปรี้ยง!

พลังลมปราณถูกซัดออกไปสามสาย หลังจากนั้น จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็ลดมือลง ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปในพริบตา

เมื่อทุกคนหันไปมองที่หลุยส์อีกครั้ง…พื้นที่ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ร่างกายของหลุยส์โดนพลังของจักรพรรดิอ๋าวฮวงกระแทกใส่ จนร่างกายแหลกสลายกลายเป็นเพียงกองเลือดหย่อมหนึ่งเท่านั้นเอง

“ท่านเจ้าสำนัก” ออร์โลและบรรดาผู้ติดตามร่ำร้องด้วยความโกรธแค้น

หลังจากซัดพลังลมปราณออกมาสามสายแล้วก็หายตัวไป นี่คือการลงมือที่เรียบง่าย แต่ทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบกันไปหมดแล้ว

ตาเฒ่าผู้ร้ายกาจคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่?

ฝ่ายนักรบยุโรปเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพิมพ์ข้อความอะไรในอินเทอร์เน็ตเลยสักคน

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในประเทศจีน โดยเฉพาะบรรดากองแช่งของฉู่ชวิ๋น ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าออกมาอีกแล้ว

ชายชราคนนี้…น่ากลัวมากเกินไป

ประธานใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืดปิดหน้าจอและออกคำสั่งเรียกรวมตัวผู้อาวุโสทุกคนให้มาเจอเขาในห้องประชุมโดยด่วน

อัศวินโต๊ะกลมและสำนักอื่น ๆ ก็เริ่มทำการประชุมลับเช่นกัน

เมื่อหลุยส์เสียชีวิตไปแล้ว วิหารดวงตะวันก็เหมือนงูที่ถูกตัดหัว วงการนักรบยุโรปเกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีนอีกแล้ว ขณะนี้ในเมืองจีนทุกคนกำลังพูดถึงจักรพรรดิอ๋าวฮวงอย่างกว้างขวาง

พวกเขาทราบแค่เพียงอย่างเดียวว่า ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกับจอมมารฉู่ชวิ๋น

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า บุคคลที่มีความข้องเกี่ยวกับจอมมารฉู่ชวิ๋น ต่างก็มีความน่าหวาดกลัวไม่แพ้ตัวเขาเลย

ฉู่ชวิ๋นมองไฟในตะเกียงลงด้วยความเศร้าเพราะเสียดายที่มันสามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหันไปมองออร์โลด้วยแววตาอำมหิต

วูบ!

ฉู่ชวิ๋นกระโดดลอยตัวข้ามท้องฟ้า พร้อมกับต่อยหมัดออกไป ระเบิดพลังซัดใส่กลุ่มคนของวิหารดวงตะวันที่ยังเหลือรอดอยู่

ออร์โลร้องโหยหวน ความตายของหลุยส์ทำให้เขาไม่มีขวัญกำลังใจสำหรับการต่อสู้อีกแล้ว ที่สำคัญก็คือในเมื่อตะเกียงจ้าวตะวันไม่ได้อยู่ในมือเขาเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่ชวิ๋นอีกแล้ว

หลังจากถูกต่อยไปเพียงแค่สองหมัด ออร์โลก็ลงนรกตามเจ้าสำนักไป

เช่นเดียวกับบริวารที่เหลืออยู่ ฉู่ชวิ๋นไม่ปล่อยให้ใครสักคนรอดชีวิต ในเมื่อคนพวกนี้กล้ามาเหยียบเมืองจีน พวกมันก็ควรต้องเตรียมใจรอรับความตายเอาไว้บ้าง

เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า บริวารของวิหารดวงตะวันที่เหลืออยู่ก็ถูกสังหารไปจนหมดสิ้น บนพื้นดินเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดเจิ่งนองกระจัดกระจาย

“จงจำเอาไว้ ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว แต่ถ้าผู้ใดก็ตามมาดูหมิ่นประเทศจีน พวกแกจะต้องถูกลงโทษ!”

ฉู่ชวิ๋นเดินมาพูดกับกล้องถ่ายทอดสด หลังจากนั้นเขาก็ยกมือชกกล้อง แล้วสัญญาณการถ่ายทอดสดก็ขาดหายไป

คราวนี้ เรียกได้ว่าวิหารดวงตะวันต้องเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง

ในขณะนี้ วิหารดวงตะวันต้องพบเจอกับความชุลมุนวุ่นวายไม่รู้จบ หลุยส์ถูกสังหารอย่างกะทันหัน ส่งผลให้บริวารที่เหลืออยู่ตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว

ผู้อาวุโสในสำนักจัดประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อหาทางรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดในครั้งนี้

แต่ในวงการนักรบยุโรปเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า วิหารดวงตะวันถึงคราวล่มสลายลงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนในวิหารดวงตะวันยังมีความคิดแตกแยก ต่างฝ่ายต่างก็จ้องมองบัลลังก์เจ้าสำนักด้วยความอยากครอบครองเป็นของตัวเอง

สหพันธ์ศาสตร์มืดและสำนักอื่นๆ เฝ้ามองวิหารดวงตะวันด้วยดวงตาเป็นประกาย พร้อมที่จะบุกโจมตีในทันทีที่มีโอกาส

สองวันผ่านไปแล้วนับตั้งแต่เกิดการต่อสู้ขึ้นที่เขตชายแดนระหว่างเมืองจีนกับเวียดนาม

แต่ในอินเทอร์เน็ตยังคงพูดคุยถึงการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีหยุด

ฉู่ชวิ๋นผู้เป็นตัวเอกในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้แอบเดินทางเข้าไปที่ทวีปยุโรปอีกครั้ง

ในผืนป่าที่หนาทึบแห่งหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นกำลังซ่อนตัวและจ้องมองไปที่ปราสาทโบราณซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของวิหารดวงตะวัน

เมื่อราตรีกาลมาเยือน ฉู่ชวิ๋นก็แอบเล็ดลอดเข้าไปในตัวปราสาทเหมือนภูตผี

เขาจัดการเวรยามที่เดินลาดตระเวน และเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดเครื่องแบบของคนพวกนั้นจากนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็เต้นระริก แล้วชายหนุ่มก็ปลอมแปลงใบหน้าตนเองให้เหมือนกับเวรยามคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย

ฉู่ชวิ๋นนำตัวเวรยามที่สลบเหมือดไปโยนทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำ แล้วเขาก็มาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเวรยามอีกกลุ่มหนึ่งเดินมาลาดตระเวนฉู่ชวิ๋นอาศัยจังหวะนี้เดินตามคนกลุ่มนี้ไป

ทั่ววิหารดวงตะวันมีการวางกำลังเวรยามเฝ้ารักษาการอย่างเข้มงวด และทุกคนเป็นนักรบที่มีฝีมือไม่ใช่น้อย

ฉู่ชวิ๋นเดินตามเวรยามหน่วยลาดตระเวนไปเรื่อยๆ เพียงไม่นาน เขาก็สำรวจพื้นที่ได้เกือบทั่วตัวปราสาทแล้ว

ชายหนุ่มกำลังหาพิกัดห้องเก็บสมบัติของวิหารดวงตะวัน

ถ้ามีคนล่วงรู้ความคิดของฉู่ชวิ๋น คนเหล่านั้นก็คงจะปากอ้าตาค้างกันไปหมดแล้ว

ในขณะนี้ มีหน่วยเวรยามอีกหนึ่งทีมเดินมาตรวจตราพอดี เมื่อทั้งสองหน่วยเดินสวนทางกัน ฉู่ชวิ๋นก็ทำเนียนแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มใหม่ เพื่อสำรวจพื้นที่ส่วนที่เหลืออยู่ของวิหารดวงตะวันทันที

“ของวิเศษจ๋า ฉันมาแล้ว!” ฉู่ชวิ๋นร้องตะโกนด้วยความลิงโลดอยู่ในใจ เมื่อค้นพบตำแหน่งที่ตั้งของห้องเก็บสมบัติ

ฉู่ชวิ๋นแฝงตัวเข้าไปในหน่วยลาดตระเวนกลุ่มใหม่อยู่เรื่อยๆ ในขณะที่เขาเข้าไปใกล้ห้องเก็บสมบัติมากขึ้นและมากขึ้น

ห้องเก็บสมบัติของชาวยุโรปไม่ได้ลึกลับซับซ้อนเหมือนห้องเก็บสมบัติของชาวจีน ซึ่งยากต่อการค้นหาและไม่รู้เลยว่าจะมีทางลับอยู่ที่ไหนบ้าง

ห้องเก็บสมบัติของวิหารดวงตะวันตั้งอยู่ในชั้นใต้ดิน

ฉู่ชวิ๋นเดินตามหน่วยลาดตระเวนลงไปที่ชั้นใต้ดิน ก่อนที่จะแยกตัวออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

ถ้าไม่ใช่คนที่มีฝีมือสูงส่งอย่างหลุยส์และถ้าฉู่ชวิ๋นไม่ผิดพลาดทำเสียงดังเสียเอง ก็จะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าฉู่ชวิ๋นแอบเข้ามาในนี้

ที่นี่คือห้องโถงหลักของชั้นใต้ดินในวิหารดวงตะวัน ภายในห้องโถงตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา ตรงกลางเป็นเสาหินขนาดใหญ่ที่รองรับน้ำหนักตัววิหารเอาไว้

เสาหินขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อฉู่ชวิ๋นอย่างยิ่ง เขากระโดดจากเสาต้นหนึ่งไปสู่เสาต้นหนึ่งภายในความเงียบงัน

ชายหนุ่มกระโดดข้ามผ่านช่องว่างระหว่างเสาสองต้น ก่อนที่จะไถลตัวรูดลงมาและผลักบานประตูที่อยู่สุดปลายทางเดินเปิดออกกว้าง แล้วแสงไฟก็สาดส่องสวนออกมาทันที

“นั่นใครน่ะ?” มีเสียงคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน

ฉู่ชวิ๋นเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ ไม่มีคนคอยคุ้มกันอยู่หน้าประตู ก็ต้องมีคนคอยคุ้มกันอยู่หลังประตู

แต่โชคดีที่เวรยามทั้งสองคนนี้เป็นแค่เพียงลูกศิษย์ธรรมดา ก่อนที่พวกเขาจะทันได้อ้าปากพูดอะไรอีก ฉู่ชวิ๋นก็ซัดพลังใส่จนทั้งสองคนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างโดยไม่รู้ตัว

ฉู่ชวิ๋นชำเลืองมองรอบกาย ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา วัสดุแต่ละชิ้นทำมาจากของชั้นดีทั้งสิ้น

ฉู่ชวิ๋นหันไปมองรูปภาพบนกำแพง แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ห้องนี้คือห้องพักของหลุยส์นั่นเอง

สภาพภายในห้องข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย โต๊ะขนาดใหญ่พลิกคว่ำ ตู้ลิ้นชักที่อยู่ในห้องเปิดค้างทิ้งไว้ ของทั้งหมดที่อยู่ในนั้นถูกเอาออกไปหมดแล้ว

ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองลูกศิษย์ของวิหารดวงตะวันที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ที่แท้เจ้าสองคนนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาดี พวกมันฉวยโอกาสเข้ามาขโมยของในห้องพักของเจ้าสำนัก แต่แน่นอนว่าทั้งสองคนนี้คงไม่ได้ลงมือเองเป็นแน่แท้ พวกมันคงรับคำสั่งมาจากผู้อาวุโสในสำนักมากกว่า

“ฝีมือต่ำต้อยอย่างพวกแก ต่อให้หาไปอีกทั้งปี ก็หาไม่เจอหรอก” ฉู่ชวิ๋นอดไม่ได้จนต้องบ่นออกมา เขาเดินไปเคลื่อนย้ายโต๊ะอ่านหนังสือขนาดใหญ่ รวมถึงเปิดพื้นพรมที่ปูอยู่บนพื้นห้องออกดู

ฉู่ชวิ๋นพลันลุกขึ้นยืน มีม่านพลังสีม่วงลอยขึ้นมาจากใต้เท้าของเขาอย่างเจือจาง ตรงจุดนี้คือประตูทางเข้า เมื่อมีเสียงดังกริ๊ก พื้นห้องใต้เท้าของฉู่ชวิ๋นก็เปิดออกกลายเป็นประตูกลบานหนึ่ง

ฉู่ชวิ๋นเดินวนรอบประตูกล เฝ้ามองด้วยความระมัดระวัง เพียงไม่นาน ขั้นบันไดที่ทอดลงไปสู่ชั้นล่างก็ปรากฏให้เห็น

ฉู่ชวิ๋นยิ้มกริ่มและก้าวเดินลงบันไดเข้าสู่ห้องใต้ดินชั้นล่าง

ในขณะที่ชายหนุ่มเดินลงไป ตะเกียงไฟโบราณสองดวงที่แขวนอยู่บนกำแพงก็สว่างพรึบ เปิดเผยให้เห็นทางเดินที่ทอดลงไปสู่ห้องใต้ดินชั้นล่างทั้งหมด

“แม้แต่ตะเกียงไฟก็มีเซ็นเซอร์ตรวจจับเสียงด้วยเหรอเนี่ย ทันสมัยเหลือเกินนะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำในขณะที่เคลื่อนกายลงไปตามทางเดิน

ในไม่ช้า เขาก็มาเจอกับประตูเหล็กบานใหญ่ที่ขวางกั้นทางเดิน มันมีความสูงมากกว่าสามเมตรและมีความกว้างประมาณสองเมตร

ฉู่ชวิ๋นใช้พลังจิตลองสำรวจด้านหลังประตู ไม่พบเจออาวุธวิเศษเลยสักชิ้นเดียว

“นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมเหมือนฉันมาเสียเที่ยวเปล่ายังไงก็ไม่รู้” ชายหนุ่มรำพึง

อันที่จริงแล้ว วิหารดวงตะวันก่อตั้งมาหลายพันปี ไม่ว่าเป็นใครต่างก็สนใจห้องเก็บสมบัติของวิหารแห่งนี้ แต่แน่นอน คงไม่มีใครคิดว่าฉู่ชวิ๋นจะสามารถมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้จริงๆ

ประตูเหล็กบานนี้ทำมาจากเหล็กกล้า มีความหนามากกว่าสิบเซนติเมตร

ฉู่ชวิ๋นขยับตัวไปข้างหน้า พลังลมปราณสีม่วงแผ่ออกมาปะทะร่างกายเขารุนแรงมากขึ้น ฉู่ชวิ๋นไม่ลังเลที่จะโคจรพลังและพังตัวล็อคประตูทิ้งไป

“ในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่ง เห็นพวกแกหันมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่แบบนี้ ฉันต้องขอชื่นชมเลยจริงๆ” ฉู่ชวิ๋นอดชื่นชมความเป็นคนหัวสมัยใหม่ของหลุยส์ไม่ได้

เมื่อเปิดประตูเหล็กกล้าออกแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็เดินเข้าไปด้านใน ดวงตาของเขาพลันเป็นประกายสว่างไสว

วิหารดวงตะวันก่อตั้งมาแล้วหลายพันปี แน่นอนว่าต้องเก็บสมบัติล้ำค่าและของวิเศษไว้จำนวนมากมาย สิ่งที่ชายหนุ่มได้พบเห็นก็คือเหรียญทองคำกองมหึมา คำนวณดูแล้วน่าจะมีน้ำหนักหลายสิบตัน ทองคำเหล่านี้กำลังเปล่งแสงเป็นประกายจนแสบตาเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรวิญญาณ ดอกไม้ประหลาด และพืชสมุนไพรอีกจำนวนนับไม่ถ้วน อัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ภายในห้องที่มีขนาด 200 ตารางเมตร

“ก็ถือว่ายังพอใช้ได้ละนะ” ฉู่ชวิ๋นถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น

สายตาของฉู่ชวิ๋นจับจ้องไปที่ขวดหยกหลายขวดซึ่งตั้งอยู่บนแท่นบูชาด้านในสุดของห้อง เมื่อเขาเดินไปเปิดจุกขวดหนึ่งออกดู ลำแสงสีแดงก็พวยพุ่งออกมา แล้วก็เปลี่ยนให้ห้องใต้ดินให้ลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที

หรือว่านี่คือน้ำยาแสงตะวัน?

ฉู่ชวิ๋นมีดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับยิ่งกว่าน้ำยาแสงตะวันเสียอีก แล้วทุกอย่างที่อยู่ในห้องเก็บสมบัติแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นของเล็กหรือของใหญ่ ฉู่ชวิ๋นก็จัดการหยิบใส่แหวนเก็บสมบัติของตนเองไปไม่ให้เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!