ตอนที่ 619

Elixir Supplier

619 เสียงคำรามเขย่าขวัญ

 

“มันไม่ได้เป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยสักนิด ถ้าหมาตัวนั้นมันจะเข้าใจภาษามนุษย์น่ะ” หวังเฟิงยี่พูด(ลูกชายคนที่สี่)

 

“พอได้แล้ว” ในที่สุด พี่ชายคนโตของบ้านก็พูดขึ้นมา “ถึงนายจะพูดความจริงไป ยังไงเราก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดีว่า หมาตัวนั้นเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อ มันไม่มีทั้งวิดีโอหรือพยานอะไรเลยสักอย่าง”

 

“พี่หมายความว่ายังไง? จะปล่อยไปแบบนี้น่ะเหรอ?” หวังเฟิงยี่ถาม

 

“แล้วนายต้องการอะไร?” พี่ชายคนโตถาม

 

“หวังเฟิงฮวากับครอบครัวจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด” หวังเฟิงยี่พูด

 

“รับผิดชอบอะไร? จ่ายค่าทำขวัญเหรอ?” พี่ชายคนโตถาม

 

“ใช่ เราจะปล่อยให้พ่อตายโดยที่เราไม่ได้อะไรเลยได้ยังไงกันล่ะ” หวังเฟิงยี่พูด

 

พี่ๆของเขาต่างก็ถอนหายใจออกมา เธอรู้ดีว่า น้องชายคนนี้ของเธอกำลังคิดอะไรและเป็นคนแบบไหน “นายอย่าคิดจะทำเรื่องแบบนี้ดีกว่านะ”

 

“อะไรนะ?” หวังเฟิงยี่เริ่มโมโหขึ้นมา

 

“เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย” พี่สาวของเขาพูด

 

“ฉันจะไปคุยกับพวกเอง” หวังเฟิงยี่พูด

 

“เฟิงยี่!” พี่น้องคนอื่นๆทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องปล่อยเขาไป

 

ในตอนที่หวังเย้ายังคงอยู่ที่คลินิก ที่บ้านของเขาก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมา

 

“เฟิงยี่ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” หวังเฟิงฮวาถาม

 

“ฉันขอพูดตรงๆเลยแล้วกันและไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น” หวังเฟิงยี่พูด “พ่อของฉันตายเพราะกลัวหมาของบ้านนาย”

 

หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างตกใจ

 

“นายกำลังจะบอกว่า เจี้ยนกั๋วตกใจกลัวจนตายเพราะหมาของเราเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม

 

“ใช่!” หวังเฟิงยี่ยกข้ออ้างนี้ขึ้นมา

 

“เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” หวังเฟิงฮวาพูด “ฉันจะโทรบอกให้เสี่ยวเย้ากลับมาคุยแทนแล้วกันนะ”

 

หลังจาได้รับสายจากที่บ้าน หวังเย้าก็รีบกลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ? คุณคิดว่า หมาที่ผมเลี้ยงทำให้พ่อของคุณต้องตกใจกลัวจนตายอย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถามออกด้วยท่าทีเฉยเมย

 

ถึงเขาจะรู้สึกว่า ตัวเขาควรรับผิดชอบเรื่องการตายของชายชราอยู่บ้าง แต่เขาก็คิดว่า การที่หวังเฟิงยี่มาถามหาความเป็นธรรมถึงที่บ้านของเขาด้วยท่าทีอวดดี เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้

 

“แน่นอนว่าฉันมีหลักฐาน ฉันเพิ่งจะขึ้นไปบนเขามา แล้วฉันก็เห็นหมาตัวนั้นยืนอยู่ตรงที่ที่พ่อของฉันตายยังไงล่ะ” หวังเฟิงยี่พูด

 

“เพราะเรื่องแค่นั้นน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างก็อึ้งไปกับคำตอบของหวังเฟิงยี่ มันเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด และมันไม่ต่างจากการขู่กรรโชกกันหน้าด้านๆเลย

 

“มีชาวบ้านหลายๆคนขึ้นไปบนเขาและเห็นหมาตัวนั้นเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังสบายดีกันทุกคน ข้ออ้างของคุณมันไร้สาระเกินไป” ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา หวังเย้าควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แล้วชายคนนี้และครอบครัวของเขาก็ยังอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับพวกเขาด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น หวังเย้าก็คงจะจัดการลงโทษเขาไปนานแล้ว

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะหมาของนาย แล้วทำไมถึงเป็นนายที่เป็นคนแบกพ่อฉันลงมาจากเขาล่ะ?” หวังเฟิงยี่ถาม

 

คำถามของเขานั้นคลาสสิคมาก เหมือนกับคำถามที่ว่า “ถ้านายไม่ได้ต่อยเขา แล้วนายช่วยเขาทำไม?”

 

“เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของหมู่บ้าน ที่ซื่อสัตย์และจริงใจ” หวังเย้าพูด “นั้นคือเหตุผลที่ผมช่วยเขา ถ้าเป็นคนอื่น ผมก็คงไม่ช่วย”

 

“ที่ช่วย มันเป็นเพราะนายรู้สึกผิดต่างหากล่ะ!” หวังเฟิงยี่พูดไม่รู้จบ

 

“ผมไม่อยากพูดอะไรกับคุณแล้ว ออกไปจากบ้านผมซะ” หวังเย้าพูด

 

เพราะเรื่องดังเอะอะ ทำให้ชาวบ้านหลายๆคนที่อยู่ใกล้เดินมาที่บ้านของหวังเย้า

 

“ซิวหยิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งถาม “นั่นใช่เฟิงยี่รึเปล่า? ทำไมเขาไม่อยู่ไว้ทุกข์ที่บ้านล่ะ? เขามาทำอะไรที่นี่กัน?”

 

“มีคนมาเยอะก็ดี ชาวบ้านทุกคน! ฉันมาที่นี่ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า พ่อของฉันตายเพราะคนพวกนี้” หวังเฟิงยี่พูดเสียงดัง

 

“อะไรนะ?” ชาวบ้านต่างตกใจกับคำพูดของเขา “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

 

ใบหน้าของหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงเปลี่ยนสีในทันที พวกเขาต่างตัวสั่นเทาเพราะความโกรธ

 

“ออกไป!” หวังเย้าคำรามและส่งพลังฉีออกไป

 

เสียงคำรามผสมกับพลังฉีที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธของเขา และยังถูกควบคุมทิศทางไว้เป็นอย่างดี มันเป็นเหมือนกับการระเบิดที่กำหนดเป้าหมายเอาไว้เรียบร้อย

 

บึ้ม! มันคล้ายกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นบนท้องฟ้า

 

หวังเฟิงยี่กรีดร้องออกมาและกุมศีรษะเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ในหูของเขาเต็มไปด้วยเสียงดังกระหึ่ม “โอ๊ยๆๆ! ฉันปวดหัว”

“ช่วยหลีกทางให้หน่อย”

 

ในเวลานั้นเอง พี่ชายและพี่สาวของหวังเฟิงยี่ก็มาถึงที่บ้านของหวังเย้า เมื่อพวกเขาเห็นหวังเฟิงยี่กุมศีรษะอยู่ที่ลานบ้าน พวกเขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาเขา

 

“เฟิงยี่ เป็นอะไรไปน่ะ?”

 

“ปวดมาก! ฉันปวดหัว!” หวังเฟิงยี่ตะโกน ทั้งหูและจมูกของเขามีเลือดไหลออกมา

 

“นายเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสภาพของเขา พี่น้องของหวังเฟิงยี่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

 

เกิดเสียงสั่นสะเทือนภายในหูของหวังเฟิงยี่ จึงทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดของพี่ชายและพี่สาวของเขา

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” พี่ชายของหวังเฟิงยี่ถาม “เป็นเพราะเสียงตะโกนของหวังเย้าเหรอ?”

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก เราทุกคนก็อยู่ไม่ไกลจากเขา แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครเป็นอะไรเลยสักคน” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด “เสียงของเขาแค่ดังกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น”

 

“เสี่ยวเย้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” จางซิวหยิงถามลูกชายของเธอ

 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” หวังเย้าตอบน่าตาเฉย

 

ชายคนนี้มาที่บ้านของด้วยเจตนาไม่ดี และเป็นไปได้ว่า เขาคิดจะข่มขู่เอาเงิน การตายของชายชรานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังเย้าจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังเย้าไม่สามารถปฏิเสธได้ ถึงเขาไม่คิดจะยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถ้าทำได้ เขาก็ยินดีที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับการสูญเสียของพวกเขา แต่ข้ออ้างที่ชายคนนี้ยกขึ้นมานั้นไร้เหตุผลเกินไป และยังมาป่วนถึงที่บ้านของเขาอีกด้วย ดังนั้น หวังเย้าจึงต้องลงโทษเขา

 

หวังเฟิงยี่จากไปโดยมีพี่ชายและพี่สาวของเขาช่วยกันแบก ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

 

“ซิวหยิง ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกฉันได้นะ” หนึ่งในเพื่อนบ้านพูด

 

“เฟิงฮวา ถ้ามีเรื่องอีก บอกฉันเลยนะ” เพื่อนบ้านอีกคนพูด

 

หวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้าน พวกเขาเป็นคนกระตือรือร้น, ซื่อสัตย์, และใจดี ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนบ้าน

 

หวังเย้าก็มีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ด้วยความสามารถในด้านการรักษาของเขา ทำให้เขารักษาชาวบ้านหายแล้วหลายคน แล้วในบางครั้ง เขายังไม่คิดเงินอีกด้วย และเพราะเรื่องนี้ เลยทำให้ชาวบ้านหลายๆคนรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมาก ยิ่งเมื่อเห็น คนจากเมืองใหญ่มารักษากับเขาด้วย ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกชื่นชมและนับถือในตัวเขามากขึ้นไปอีก ชาวบ้านบางคนยังคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเอาไว้ และยังมีบางคน ที่คิดจะสร้างปัญหาและหาเรื่องเขา แต่สุดท้าย ทุกคนก็ถูกส่งไปนอนในคุกจนหมด ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆคนต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาเพื่อสร้างบุญคุณ

 

“ขอบคุณนะ” จางซิวหยิงยิ้ม

 

หลังจากส่งชาวบ้านทุกคนกลับไปแล้ว ก็เหลือพวกเขาแค่สามคนพ่อแม่ลูก

 

“เสี่ยวเย้า บอกพ่อมา การตายของเจี้ยนกั๋วเกี่ยวข้องกับลูกรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม

 

“พ่อ เขาตายอยู่บนเขา ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ผมลองถามซานเซียนดูแล้ว ตอนที่เขาตาย ซานเซียนไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย” หวังเย้าพูด

 

สำหรับเรื่องนี้ เขาคิดไว้แล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่บอกใคร เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่ของเขาต้องโทษตัวเอง

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังเฟิงฮวาพูด

 

“พ่ออย่าไปสนใจเรื่องนี้อีกเลย ปล่อยไปเถอะ” หวังเย้าพูด

 

“แม่กับพ่อรู้อยู่แล้วว่า หวังเฟิงยี่เป็นพวกตัวปัญหาในหมู่บ้าน” แม่ของเขาพูด “เขาออกไปอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว แม่ก็ยังคิดว่า เขาจะเปลี่ยนนิสัยให้ดีขึ้นบ้าง แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด”

 

ในเวลานี้ ตัวปัญหาที่พวกเขากำลังพูดถึง กำลังนอนอยู่บนเตียงและพูดเพ้อไปต่างๆนาๆ

 

“ฉันบอกเขาแล้วว่าอย่าไปที่นั่น แต่เขาก็ไม่ฟัง ที่ต้องกลายเป็นแบบนี้ก็สมควรแล้ว” พี่ชายคนโจพูด

 

“ตอนนี้ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย” หวังเฟิงยี่พูด “เราต้องคิดก่อนว่า เราจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงกันดี มันเป็นฝีมือของหวังเย้าใช่รึเปล่า?”

 

“คนอยู่ที่นั่นตั้งมากมาย เขาจะไปทำอะไรได้กันล่ะ?” พี่สาวของเขาถาม

 

“แล้วเราควรทำยังไงกันดี?” พี่ชายคนโตถาม

 

“พาเขาไปหาหมอ” พี่สาวของหวังเฟิงยี่พูด

 

แทนที่จะได้เอาเวลาไปจัดงานศพให้พ่อของพวกเขา พี่น้องทั้งหมดกลับต้องมาพาน้องชายคนเล็กของพวกเขาไปโรงพยาบาลแทน

 

งานศพถูกจัดขึ้นในวันถัดมา ในหมู่บ้าน ทุกคนที่รู้จักคนในครอบครัวนี้ต่างก็เข้าร่วมพิธีเผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อแสดงความไว้อาลัยแต่คนตาย ชาวบ้านล้วนให้ความสำคัญกับงานศพและงานแต่ง พ่อของหวังเย้ายังไปเข้าร่วมงานและใส่ซองไป 100 หยวนก่อนที่จะกลับบ้านไป

 

“ดูเฟิงฮวาสิ เขาใจกว้างจริงๆ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด “ตอนที่หวังเฟิงยี่อยู่ในหมู่บ้าน เขาเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว ไปอยู่ข้างนอกมากลับไม่เรียนรู้อะไรดีดี นอกจากเรื่องข่มขู่เอาเงินจากคนอื่นเขา”

 

ในระหว่างงานศพ หวังเฟิงยี่กำลังนอนโอดครวญอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล “ทรมานจริงๆเลย…ฉันปวดหัวไปหมดแล้ว”

 

เขามีอาการปวดศีรษะมาตลอดทั้งวัน เขารู้สึกว่าศีรษะของเขาด้านชาและบวมเป่ง เหมือนกับเอาศีรษะไปแช่อยู่ในน้ำทะเลจนพองออกและใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว

 

ไม่ว่าจะนั่งหรือนอน เขาก็ไม่สามารถสลัดอาการปวดหัวนี้ได้เลย เขาไม่สามารถนอนหลับได้และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว

 

“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” เขาไม่สนใจ ว่าคนในครอบครัวของเขาจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือไม่

 

“พี่บ้าไปแล้วเหรอไง” ภรรยาของเขาพูด “หมอบอกว่า อาการของพี่ค่อนข้างพิเศษและยังอยู่ในอันตราย พี่ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไปก่อน”