ตอนที่ 213 หลับใหลในทุกฤดูกาล
ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูร้อน หยุนลี่เซียวก็หลับใหลด้วยความเกียจคร้าน ทว่าฤดูใบไม้ร่วงเขาจะเกียจคร้านเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่ก้าวลงจากเตียงเลย เขาไม่สนใจแม้กระทั่งล้างปากหลังอาหารเย็นหรือก่อนเข้านอน ชายผู้นี้มักพูดคุยโอ้อวดด้านนอกบ้าน และล้มตัวลงนอนบนเตียงหรือไม่ก็นอนเหม่อลอยถึงแม่นางผู้เลอโฉมแห่งหอส้วยเซียง
ขณะนี้หยุนลี่เซียวกำลังฝันหวานถึงสาวงาม ทว่าแม่นางเฉินกลับส่งเสียงปลุก เขาจึงด่าทอด้วยความหงุดหงิดก่อนพลิกตัวและนอนต่อ
แม่นางเฉินชินชากับการกระทำเช่นนี้แล้วจึงไม่คิดโกรธเคือง นางขยับตัวเข้าไปใกล้พลางกล่าวต่อ “ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านอยากร่ำรวยหรอกหรือ ข้ามีวิธีดี ๆ มาแนะนำ ท่านอยากฟังหรือไม่?”
“ไสหัวไป” หยุนลี่เซียวสบถอีกครั้ง
แม่นางเฉินเบ้ปากพลางพึมพำกับตนเอง “พี่ใหญ่มองว่าเราเป็นคนนอกครอบครัว เช่นนั้นจะพึ่งพาเขาได้หรือ ไม่สู้พึ่งพาลูกสาวในไส้ของท่าน เซียงเอ๋อเป็นเลือดเนื้อของข้า คนเป็นแม่เช่นข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก…”
“เจ้าพูดอะไร? โชคลาภแบบไหน?” หยุนลี่เซียวรู้สึกงุนงง เพราะเพิ่งตื่นจากการหลับพักผ่อน และเมื่อหันหลังกลับไปเห็นใบหน้ามันเยิ้มของภรรยา หัวใจของเขาพลันห่อเหี่ยวทันที
หยุนลี่เซียวมีอายุสามสิบปีและเพิ่งไปเที่ยวหอส้วยเซียงครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ เขาเห็นสาวงามผู้เย้ายวนและมากด้วยเสน่ห์ ทว่าไม่อาจแม้แต่แตะต้องตัวของพวกนาง ดังนั้นหลายวันมานี้เขาจึงจินตนาการถึงหญิงสาวเหล่านั้น ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของแม่นางเฉิน หยุนลี่เซียวก็รู้สึกตายด้านราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดลงมา
อันที่จริงตอนแต่งเข้าตระกูลหยุน แม่นางเฉินไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ ขณะนั้นนางมีรูปร่างอวบอิ่ม ผิวขาวผ่อง หน้าอกและบั้นท้ายอวบอัด แม้แต่แม่สื่อยังกล่าวชื่นชมไม่ขาดปาก ดูเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางมีรูปลักษณ์อันเป็นมงคล
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากให้กำเนิดบุตร นางจะอ้วนท้วนขึ้นทุกวัน ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ แม้ดื่มน้ำเพียงอึกเดียวยังเกียจคร้าน ดังนั้นแม่นางเฉินจึงปล่อยตัวปล่อยใจให้ตนเองอ้วนฉุ ในทางกลับกันหยุนลี่เซียวรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก บุรุษวัยกลางคนต้องเผชิญหน้ากับภรรยาเช่นนี้ทั้งวัน… แม้ตอนอยู่ข้างนอกบ้านจะพูดโอ้อวดไม่หยุด ทว่าเมื่อดับตะเกียงแล้วเขากลับปิดปากเงียบ
แม่นางเฉินแสยะยิ้ม เมื่อเห็นสามีหันกลับมามองด้วยสีหน้างุนงง “วิธีนั้นก็คือเราต้องให้เซียงเอ๋อลูกสาวของเราแต่งงานกับตระกูลเหอในหมู่บ้านอย่างไรล่ะ…”
นางเลิกคิ้วขึ้นขณะที่น้ำลายกระเด็นออกมาไม่หยุด ส่วนหยุนลี่เซียวมองภาพตรงหน้าพลางกลอกตาไปมาด้วยความรังเกียจ
“ท่านพี่ว่าอย่างไร?” แม่นางเฉินรอสามีตัดสินใจ “หากท่านพี่เห็นด้วย ข้าจะไปพูดคุยกับพวกเขาด้วยตนเอง ข้าไม่ฝากความหวังไว้ที่พี่สะใภ้รองอีกแล้ว”
“แค่นี้หรือ?” หยุนลี่เซียวคิดว่านางจะมีวิธีหาเงินที่ดีกว่านี้จึงโมโห “เสียเวลานอน เจ้าอยากไปก็ไป เหอเหล่าซานไม่ตกลงล่ะสิ!”
“ฮึ่ม หากพวกเขาไม่เอ็นดูเซียงเอ๋อ ข้าจะป่าวประกาศความเลวร้ายให้ทั่ว ดูซิว่าจะมีหญิงสาวคนไหนกล้าแต่งงานกับลูกชายคนเดียวของตระกูลหรือไม่? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะกล้าตัดสายสัมพันธ์ที่หยิบยื่นให้…” แม่นางเฉินพึมพำ “และอีกอย่างตระกูลของพวกเขาร่ำรวยและเอ็นดูเซียงเอ๋อ มันไม่ใช่เรื่องดีหรือที่จะมีลูกสะใภ้คอยปรนนิบัติ? พรุ่งนี้ข้าจะไปถามพวกเขา…”
หยุนลี่เซียวคร้านจะสนใจนาง ทว่าคำพูดของแม่นางเฉินกลับทำให้เขาฉุกคิดบางอย่าง
ไม่ช้าก็เร็วลูกสาวจะต้องแต่งงานออกเรือนและกลายเป็นคนของตระกูลอื่น ไม่ว่าจะส่งไปตอนนี้หรือตอนไหน เหอเหล่าซานก็ต้องจ่ายค่าสินสอดอยู่ดี…
สองสามีภรรยาคู่นี้ต่างคิดหาวิธีขายลูกสาวเพื่อให้ตนมีความเป็นอยู่ที่ดี แม่นางเฉินจึงกล่าวออก “การแต่งงานต้องใช้เงิน แต่การแต่งงานก็ทำให้เราได้รับเงินเช่นกัน เหตุใดข้าถึงไม่มีลูกสาวเพิ่มสักคนสองคนเล่า? จุ๊ ๆ ดูอย่างตระกูลเหอสิ อาศัยลูกสาวเพิ่มบารมีให้ตนเองมิใช่หรือ? เมียของเหอเหล่าซานถึงได้หน้าบานขนาดนั้น!”
แม่นางเฉินกล่าวด้วยความริษยาและเสียใจ หากนางมีลูกสาวหลายคนก็คงไม่ต้องมาลำบากเช่นนี้ ไม่แน่ว่าชีวิตของนางอาจสุขสบายกว่าพวกตระกูลเหอเสียอีก!
“โอ้ ใช่แล้ว ข้าให้ท่านไปสืบหาข่าวของเอ้อหลางนี่ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” แม่นางเฉินเอ่ยถามพร้อมสัมผัสร่างกายของหยุนลี่เซียว
“ไม่” หยุนลี่เซียวรู้จักคนที่มีนิสัยเกียจคร้านและเจ้าเล่ห์คล้ายตนหลายคน พวกเขามักรวมกลุ่มกันพูดโอ้อวดความสามารถ แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญให้ช่วยเหลือ กลับไม่มีผู้ใดสามารถพึ่งพาได้
“นี่มันก็หลายวันแล้ว เขาจะไปที่ไหนได้” แม่นางเฉินเผยท่าทีเป็นกังวล ทว่าในใจของนางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เด็กบ้านนอกล้วนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับถิ่นรกร้างที่ซึ่งปลอดภัยกว่าในเมือง นอกจากนี้หมู่บ้านไป๋ซีในมณฑลอันผิงยังเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยยิ่งนัก หลายปีมานี้นางไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายเลย ผู้คนในหมู่บ้านต่างใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ดังนั้นเด็กหนุ่มเช่นเอ้อหลางคงไม่พบเจอกับเรื่องเลวร้ายอันใด อย่างมากก็แค่หิวโซ
แม่นางเฉินพลันคิดได้ว่าบุตรชายคนโตผู้ที่นางให้กำเนิดถึงวัยแต่งงานแล้ว ในที่สุดลูกสะใภ้ที่ถูกโขกสับมานานหลายปีจะได้กลายเป็นแม่สามีและจะมีคนคอยปรนนิบัติเสียที
“หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้น เราต้องให้ท่านพ่อและท่านแม่เกลี้ยกล่อมเอ้อหลางให้แต่งงานเพื่อที่ข้าจะได้มีลูกสะใภ้มาคอยปรนนิบัติ” แม่นางเฉินกล่าว
“ต้าหลางยังไม่ได้แต่งงาน เขาต้องรอไปก่อน” ในยุคสมัยของราชวงศ์เหลียง ชาวบ้านมีขนบธรรมเนียมว่าหาก ลูกชายคนโตของตระกูลยังไม่แต่งงาน ลูกชายคนรองต้องรอไปก่อน เช่นเดียวกับถ้าลูกสาวคนโตยังไม่ออกเรือน ลูกสาวคนรองก็ต้องรอเช่นกัน
“พวกเรากับพี่ใหญ่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ ลูกของพี่ใหญ่ก็คือลูกของเขา ส่วนเอ้อหลางคือลูกของเรา ลูกของพี่ใหญ่เป็นบัณฑิตมีจิตใจสูงส่ง ส่วนข้าอยากให้เอ้อหลางรีบแต่งงานและให้ลูกสะใภ้มาปรนนิบัติข้า” แม่นางเฉินหวังที่จะนอนเฉย ๆ ทั้งวันเหมือนกับแม่เฒ่าจู ทั้งยังสามารถดุด่าทอลูกสะใภ้ หากนางทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบใจ
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกตาแก่เอง!” หยุนลี่เซียวกังวลจนไม่อยากนอนร่วมเตียงกับนาง ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าและเดินออกจากห้องไป
“ข้ากำลังปรึกษากับท่านอยู่ไม่ใช่หรือ นี่ท่านจะไปที่ใด…” แม่นางเฉินขยับตัวอย่างงุ่มง่าม
หยุนลี่เซียวไม่สนใจเสียงเรียกของนาง เขาเปิดประตูห้องและเห็นหยุนเซียงนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยหน้าประตู ก่อนที่นางจะเงยหน้ามองบิดาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แม่นางเฉินตะลึงงัน “เซียงเอ๋อ เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
หยุนเซียงลุกยืนขึ้นพลางกล่าวคำเบา “ป้าสะใภ้เหอบอกให้ข้ากลับมาเจ้าค่ะ”
“พวกเขาทำร้ายเจ้าหรือ?”
หยุนเซียงพยักหน้า
“พวกเขาให้ขนมกินอีกหรือไม่?”
หยุนเซียงส่ายศีรษะ
เมื่อเห็นเช่นนั้น แม่นางเฉินจึงคิดบางอย่างได้ก่อนเบ้ปากพลางกล่าวว่า “เมียของเหอเหล่าซานช่างตีสองหน้าเสียจริง ไปกันเถิด… เราไปบ้านพวกเขากัน!”
เมื่อพูดจบ นางจึงลุกออกจากเตียงสวมรองเท้าและลากตัวหยุนเซียงออกไป
หยุนเซียงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมกะหร่อง ร่างกายของนางปลิวไปตามแรงกระชากก่อนเดินก้มหน้าตามมารดาไปอย่างไม่เต็มใจ
ปีกตะวันตก
หยุนเชวี่ยงีบหลับไปครู่หนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมา นางก็เห็นแม่นางเฉินเดินกระชากแขนหยุนเซียงออกไปจากบ้านผ่านบานหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
“ท่านแม่ พี่สาว” หยุนเชวี่ยกระซิบ “อาสะใภ้สามลากตัวเซียงเอ๋อออกจากบ้านไปแล้ว ข้าเดาว่านางต้องไปที่เรือนตระกูลเหอเป็นแน่!”