ตอนที่ 214 น่าละอาย

“ไปจริงด้วย” แม่นางเหลียนมองออกไปนอกหน้าต่างทันทีที่ได้ยิน “สะใภ้สามผู้นี้ทำตัวเป็นเด็กไปได้! เชวี่ยเอ๋อขวางทางนางไว้ อย่าให้นางออกไปได้” หลังจากพูดจบ นางก็รีบเดินออกจากห้องทันที

“ท่านแม่” หยุนเชวี่ยจับแขนมารดาไว้ “ท่านอย่าออกไป”

“อาสะใภ้สามของเจ้ากำลังจะทำเรื่องน่าอับอาย เจ้าไม่กลัวขายหน้าหรือ”

“เช่นนั้นก็อย่าไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ตามไปแล้วอยู่ในเหตุการณ์ที่อาสะใภ้สามโต้เถียงกับป้าสะใภ้เหอ มันจะไม่อับอายยิ่งกว่าหรือ?” หยุนเชวี่ยนั่งขัดสมาธิอย่างใจเย็น “พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งเลย”

“ข้าเกรงว่าอาสะใภ้สามของเจ้าจะพูดจาเหลวไหล เมื่อถึงตอนนั้นชาวบ้านจะต้องเอาเรื่องนี้ไปนินทาแน่นอน…” แม่นางเหลียนรู้สึกโมโห

บางครั้งนางรู้สึกว่าแม่นางเฉินเป็นสตรีผู้น่าสงสารมาก ทว่าบางครั้งนางก็รู้สึกโกรธเคืองจนปวดศีรษะกับการกระทำของน้องสะใภ้ นางเป็นแม่ที่มีนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ตนเองจะหน้าหนาจนไม่รู้จักอับอาย ทว่าเหตุใดต้องเอาลูกสาวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

“ลูกสาวของป้าสะใภ้เหอและเหอยาโถวไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่าย ๆ ท่านแม่อย่ากังวล…” หยุนเชวี่ยไม่แสดงท่าทีกังวลแม้แต่น้อย

“เชวี่ยเอ๋อพูดถูก พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า” หยุนลี่เต๋อจัดแจงเสื้อผ้าและสวมรองเท้าก่อนหยิบหน้าไม้ที่แขวนอยู่บนกำแพงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย อยากไปภูเขาหลังหมู่บ้านกับพ่อหรือไม่?”

“ไม่ไปเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะพร้อมส่งน้ำเต้าให้หยุนลี่เต๋อ “ข้าจะไปที่สวนผักกับท่านแม่และพี่สาว หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามข้าจะไปที่บ้านของเหอยาโถว”

หยุนลี่เต๋อยื่นมือออกไปรับน้ำเต้าพลางลูบศีรษะของลูกสาวพลางรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดเด็กสาวที่ชอบวิ่งขึ้นเขาทั้งวันกลับไม่สนใจไปที่นั่น?

ยามบ่าย

หยุนเชวี่ยเดินเล่นอยู่ในสวนผักของครอบครัว นางหยิบหัวไชเท้าขึ้นมาสำรวจพลางสังเกตดอกแตงกวาด้วยท่าทีจริงจัง ทว่าความจริงแล้วนางกำลังเหม่อลอยอยู่

พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะได้เข้าพบเจ้าเมืองแล้ว ตนอายุเพียงเท่านี้ ทั้งยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยจะสามารถทำให้คนเชื่อถือได้หรือ นางต้องทำอย่างไรดีเพื่อดึงดูดความสนใจของท่านเจ้าเมือง?

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่จู่ ๆ หยุนเชวี่ยก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “สะใภ้รองตระกูลหยุน เจ้ารีบไปดูเถิด สะใภ้สามของตระกูลเจ้ากำลังโวยวายเสียงดังอยู่หน้าเรือนของตระกูลเหอ!”

“ว่าอย่างไรนะ?” แม่นางเหลียนยืดตัวตรงทันที

คนที่มาเรียกพวกนางคือแม่นางหยางมารดาของเฟิงซิ่วไฉซึ่งสนิทสนมกับแม่นางเหลียน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “ไปพูดเกลี้ยกล่อมสะใภ้สามเถิด อย่าให้นางก่อเรื่องอีกเลย เท่านี้ก็ขายหน้าพอแล้ว!”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอบคุณพี่สะใภ้ยิ่งนัก!” แม่นางเหลียนที่กำลังรดน้ำผักวางฝักบัวรดน้ำลงพลางปาดเหงื่อ ก่อนรีบร้อนไปยังเรือนตระกูลเหอ ในขณะที่หยุนเยี่ยนและหยุนเชวี่ยตามไปไม่ห่าง

ยังไม่ทันถึงเรือนตระกูลเหอ สามคนแม่ลูกก็เห็นแม่นางจ้าวเดินเข้ามาขณะที่ใบหน้าของนางดำคล้ำด้วยความโกรธ นางเอ่ยถามแม่นางเหลียนทันทีที่มองเห็น “สะใภ้สามป่วยเป็นโรคอะไรรึ? เมื่อเช้าข้าเห็นว่าเจ้าสองคนคุยกัน พวกเจ้ารวมหัวทำเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่? น่าอับอาย! พวกคนที่เห็นละครปาหี่ต่างมาตะโกนเรียกคนในบ้านเรา ยังไม่รีบไปลากตัวนางกลับมาอีก!”

“แม่ของเฟิงซิ่วไฉเพิ่งมาบอกข้าเมื่อครู่…” แม่นางเหลียนเหงื่อแตกพลั่ก ใบหน้าของนางแดงก่ำ เพราะโดนแม่นางจ้าวดุด่า นางไม่ได้จงใจปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สะใภ้ใหญ่ ทว่าเป็นแม่นางเฉินที่ไม่อยากให้แม่นางจ้าวรับรู้ ดังนั้นจึงไม่กล้าปริปากบอกไป

“ท่านแม่ไม่อาจรับมือกับอาสะใภ้สามได้ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่รีบไปห้ามปรามเถิด!” หยุนเชวี่ยกล่าว

“ข้าไม่ไป นางไม่อับอายก็ปล่อยนางทำ!” แม่นางจ้าวสะบัดผ้าเช็ดหน้าพลางกลอกตา เดิมทีผู้เฒ่าหยุนมอบหมายให้นางไปเรียกแม่นางเฉินกลับบ้าน ทว่านางไม่สามารถทนทำเช่นนั้นได้จึงมาหาแม่นางเหลียน

“ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ของข้าไม่อยากขายหน้าเช่นกัน หากอาสะใภ้สามไม่ละอายใจก็ปล่อยให้นางทำไปเถิด อย่างไรเสียมันไม่ก็ไม่ใช่ธุระกงการของครอบครัวข้า” หยุนเชวี่ยใช้มือข้างหนึ่งจับมือของแม่นางเหลียน และอีกมือหนึ่งจับมือของหยุนเยี่ยนก่อนเดินจากไป

หยุนเชวี่ยปล่อยให้ป้าสะใภ้ใหญ่ผู้โง่งมหวีดร้องโวยวายเพียงลำพัง หลังจากนี้นางจะต้องโดนตำหนิเกี่ยวกับเรื่องที่แม่นางเฉินก่อ ช่างโง่เง่าเสียจริง นางคงไม่มีงานทำจึงสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นไปทั่ว

แม่นางจ้าวโกรธจัดจึงกล่าวหาแม่นางเหลียน “พวกเจ้ารวมหัวกันทำเรื่องเลวร้ายใช่หรือไม่? น้องสะใภ้รอง เจ้าวางแผนเรื่องอะไรไว้ในใจหรือ? เจ้า…”

“ท่านแม่ของข้าไม่เคยร่วมมือทำเรื่องชั่วร้ายกับท่านอาสะใภ้สามมาก่อน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อย่าพูดจาเหลวไหล” หยุนเชวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใดกันแน่ที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่ภายในใจ…”

มันเป็นเพียงคำพูดพล่อย ๆ ที่ออกมาจากปากคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ

แม่นางจ้าวโกรธจัดจนใบหน้าขาวซีด นางขบกรามแน่พลางถลึงตาใส่หลานสาว ในขณะที่หยุนเชวี่ยเชิดหน้าขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่กลับบ้านไปเถิดเจ้าค่ะ หากท่านอาสะใภ้สามทำเรื่องบ้าบอจนเหนื่อย นางก็จะหยุดเอง พวกเราจะสนใจนางไปไย”

ไม่สำคัญว่าหยุนเชวี่ยจะพูดอะไร แต่เมื่อกลับไปที่เรือน แม่นางจ้าวจะต้องรายงานเรื่องแม่นางเฉินให้ผู้เฒ่าหยุนฟัง ดังนั้นนางจึงข่มความโกรธเคืองไว้ในใจพลางเปลี่ยนสีหน้าให้อ่อนโยนลง “ยังไม่รีบไปกันอีก สะใภ้สามตัวใหญ่ขนาดนั้น ข้าคนเดียวคงห้ามไม่อยู่”

ประตูบานใหญ่ของเรือนตระกูลเหอปิดสนิท ซึ่งด้านหน้าประตูมีกลุ่มสาวใหญ่สาวน้อยส่งเสียงจอแจอยู่ เนื่องจากขณะนี้เหล่าผู้ชายยังคงยุ่งอยู่กับการทำงานในทุ่งนา ดังนั้นเหล่าคนที่มุงดูเรื่องน่าตื่นเต้นจึงมีเพียงเด็กและสตรี

หมู่บ้านในชนบทมีข้อดีคือเมื่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ข่าวลือจะแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ในยุคสมัยโบราณเรื่องซุบซิบนินทาในหมู่บ้านนั้นถือว่าเป็นกิจกรรมบันเทิงแก้เบื่อหน่ายหลังมื้ออาหารเย็น

“พี่สะใภ้ เปิดประตูสิ! ข้ายังพูดไม่จบ ท่านจะเปิดประตูให้ข้าเข้าไปพูดคุยได้หรือไม่?” แม่นางเฉินไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านและใช้ฝ่ามือตบประตูเรือนของตระกูลเหอจนเกิดเสียงดัง

หยุนเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มศีรษะลง สองมือกำชายเสื้อแน่นพลางเผยท่าทีลำบากใจ ขณะที่ใบหน้าเรียวเล็กของนางแดงระเรื่อภายใต้สายตาหลายคู่ที่จับจ้อง

“พี่สะใภ้ แม้ว่าเซียงเอ๋อของข้าจะอายุยังน้อย แต่นางก็มีเลือดเนื้อของข้า อีกทั้งตระกูลของท่านยังมีลูกชายเพียงคนเดียว ดังนั้นหากเซียงเอ๋อแต่งงานเข้าตระกูล ในภายภาคหน้านางจะต้องให้กำเนิดบุตรหลานมากมายแน่นอน! พี่สะใภ้…”

เหล่าสาวใหญ่สาวน้อยที่มุงดูอยู่ต่างปิดปากหัวเราะ

“สะใภ้สามตระกูลหยุนเป็นอะไรไป ลูกสาวของนางอายุแค่ไม่กี่ปีก็ต้องการขายนางให้ตระกูลเหอแล้วหรือ? จุ๊ ๆ เคราะห์ดีที่สะใภ้ตระกูลเหอไม่เห็นด้วย…”

“นางต้องการอะไรอีก? อยากสุขสบายทางลัดหรือ ช่วงนี้ข้าเห็นสาวน้อยคนนั้นวิ่งเข้าออกเรือนตระกูลเหอเป็นว่าเล่น จุ๊ ๆ อายุยังน้อยก็รู้จักทำตัวเช่นนี้แล้ว ร้ายกาจเสียจริง…”

“ลูกชายของเหอเหล่าซานมีอายุสิบสี่สิบห้าปีแล้วใช่หรือไม่? ข้ายังคงมองเขาเป็นเด็กชายตัวน้อย เด็กคนนี้หล่อเหลายิ่งนัก…”

“ข้าเห็นว่าลูกสะใภ้สามตระกูลหยุนเป็นคนเกียจคร้าน ซึ่งต่างจากเมียของเหอเหล่าซานที่เป็นคนเรียบร้อยเจ้าระเบียบ หากทั้งสองคนเกี่ยวดองกันคงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก!”

ผู้คนโดยรอบต่างวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ทว่าแม่นางเฉินกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางยังคงเคาะประตูเรือนตระกูลเหออย่างดื้อรั้นและพยายามยัดเยียดหยุนเซียงให้เป็นสะใภ้ของพวกเขา

“น้องสะใภ้สาม เจ้ากำลังทำอะไร?” แม่นางเหลียนตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางไม่ชอบทำให้ตนเองเป็นจุดสนใจ แม้ชาวบ้านจะมองดูแม่นางเฉินเป็นตาเดียว แต่นางก็ยังคงรู้สึกเขินอายและตื่นตระหนก

ขณะนี้สีหน้าของแม่นางจ้าวไม่สู้ดีนัก นางจึงสบถเสียงทุ้ม “เจ้าคนน่าละอาย กลับบ้านเร็วเข้า!”