ตอนที่ 215 รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
เรือนตระกูลหยุน
ผู้เฒ่าหยุนเดินวนไปมาในเรือนด้วยความโกรธเคือง ระยะนี้ตระกูลหยุนต้องเจอกับเคราะห์กรรมระลอกแล้วระลอกเล่าไม่มีหยุดหย่อน ไม่รู้ว่าสะใภ้สามเป็นบ้าหรืออย่างไร ถึงทำเรื่องน่าขายหน้าตอนกลางวันแสก ๆ เช่นนี้
เหล่าลูก ๆ ของผู้เฒ่าหยุนไม่มีผู้ใดสามารถพึ่งพาได้เลยสักคน ลูกชายคนโตมีบุคลิกสูงส่งดังเช่นบัณฑิต ลูกชายคนสามที่ไม่รู้ว่าไปซุกหัวอยู่ที่ใด ส่วนหยุนชิ่วเอ๋อนั้นเป็นหญิงสาว ครั้นจะไปขอความช่วยเหลือจากลูกคนรองก็พบว่าเขาขึ้นไปบนภูเขาหลังหมู่บ้าน ผู้เฒ่าหยุนไม่สามารถแบกใบหน้าเหี่ยวย่นของตนเองไปเจอชาวบ้านได้ จึงบังคับให้แม่นางจ้าวออกไปแทน
ขณะนี้เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว แม่นางเฉินยังคงไม่กลับมา ผู้เฒ่าหยุนจึงสะบัดแขนเสื้อพลางถอนหายใจก่อนพึมพำด้วยความโมโห “เฮ้อ! เหลวไหล! ไร้สาระสิ้นดี!”
ห้องชั้นบน
หยุนชิ่วเอ๋อหัวเราะเยาะเสียงดังโดยไม่รู้สึกอับอายแม้แต่น้อย “พี่สะใภ้สามเป็นโรคทางทวารหนักหรือ? ถึงไปแหกปากที่หน้าเรือนตระกูลเหอ ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกยิ่งนัก!”
“ฮึ่ม หากนางทำสำเร็จจริงก็ถือว่านางมีความสามารถ” แม่เฒ่าจูพยักหน้าพลางพึมพำ “ข้าเกรงว่าสุดท้ายนางจะล้มเหลวไม่เป็นท่าน่ะสิ”
“ทะเยอทะยานปีนขึ้นบนกิ่งไม้สูง แต่ไม่ดูสารรูปของตนเอง นังเด็กคนนั้นมีค่าอะไร!” หลังจากด่าทอแม่นางเฉิน หยุนชิ่วเอ๋อจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ตระกูลเหอ “พวกตระกูลเหอก็ไร้ศีลธรรม!”
ขณะที่กำลังด่าทออยู่นั้น เสียงตะโกนโวยวายของแม่นางเฉินก็ดังขึ้น “เหตุใดพวกท่านจึงขวางทางข้า ข้ายังไม่ได้พูดจาเหลวไหลสักคำ…”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? พวกเขาปิดประตูไม่ให้เจ้าเข้าไปในบ้าน แต่เจ้าก็ยังดึงดันน่ะหรือ?” แม่นางจ้าวเอามือเท้าเอวขณะเดินผ่านประตู “พวกคนที่เห็นเรื่องตลกล้วนมาเคาะประตูบ้านของเราคนแล้วคนเล่า ข้าอับอายแทนเจ้าจริง ๆ!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน… ใครบ้างที่ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนดี ๆ ที่สามารถจ่ายค่าสินสอดได้มากมาย” แม่นางเฉินไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย นางคิดเพียงว่าพวกคนที่พูดจาไร้สาระเหล่านั้นล้วนริษยาตน
“เจ้าคิดว่าลูกสาวของเจ้ามีค่าดั่งทองคำหรือ?” หยุนชิ่วเอ๋อยืนพิงกรอบประตูพลางกล่าวเยาะเย้ย
หยุนชิ่วเอ๋อเยาะเย้ย ส่วนแม่นางจ้าวกล่าวดูถูก ดังนั้นแม่นางเฉินจึงรู้ดีว่าหากโต้เถียงกับพวกนางไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดจึงทำเป็นหูซ้ายทะลุหูขวาพลางทำท่าทีเหม่อลอย
แม่นางเหลียนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ หลังจากมาถึงบ้านแล้ว นางจึงหันเดินกลับไปที่ทุ่งนาทันทีโดยไม่กล่าวคำลา นางยอมทำงานหนักดีกว่านอนอยู่เฉย ๆ ทั้งวัน
นางไม่เข้าใจว่าแม่นางจ้าว หยุนชิ่วเอ๋อ และน้องสามจึงไม่สนใจช่วยแบ่งเบางานในทุ่งนา พวกเขามีเวลาว่างมากมาย ทว่าก็เอาเวลาเหล่านั้นไปด่าทอกัน หากไม่ใช่เพราะหยุนลี่เต๋อและตน พืชผลในไร่คงเหี่ยวเฉาตายไปนานแล้ว
…
ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนี้จะจบลงอย่างไร
แม่นางเหลียนทำงานอยู่ในท้องทุ่งตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างทยอยกลับบ้าน นางจึงตะโกนเรียกหยุนเยี่ยนและหยุนเชวี่ยพลางหยิบถังน้ำและจอบขึ้นมาก่อนเดินกลับบ้าน
หลังจากเวลาผ่านไปสองก้านธูป แม่เฒ่าจูยังคงสบถด่าทอต่อไปอย่างต่อเนื่อง “เจ้าคนเกียจคร้าน ทำอะไรไม่ได้เรื่อง ทั้งยังเลี้ยงเท่าไรก็ไม่เชื่อง เจ้าไปเรือนตระกูลเหอโดยไม่บอกกล่าวสักคำ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำรึ ข้าวกับน้ำที่เจ้ากินมิได้มาจากครอบครัวของข้าหรอกหรือ? แล้วตอนนี้คิดเรื่องแต่งงานโดยไม่ปรึกษาผู้ใด เจ้าเดรัจฉานไร้มโนธรรม!”
แม่เฒ่าจูสบถด่าทออยู่ภายในห้องชั้นบน ในขณะที่แม่นางเฉินทำอาหารในครัวโดยไม่หยุดพัก
หยุนลี่เต๋อกลับมาถึงบ้านก่อนผู้ใด เขากำลังตักน้ำจากโอ่งเพื่อล้างหน้าและล้างมือ ถัดไปบนผนังบ้านมีไก่ฟ้าสี่ห้าตัวและกระต่ายป่าตัวอ้วนที่ถูกมัดเป็นพวงด้วยเชือกแขวนอยู่
“กลับมากันแล้วหรือ” หยุนลี่เต๋อวางอ่างไม้ไว้บนโต๊ะก่อนเขยิบไปด้านข้าง “พวกเจ้าล้างก่อนสิ มือกับใบหน้าของข้าสกปรกน่ะ”
“ดูเจ้าสิ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยุนเชวี่ยนั่งยอง ๆ ข้างผนังพร้อมกล่าวหยอกล้อ “สัตว์ป่าที่ท่านพ่อจับมาได้นั้นตัวอ้วนยิ่ง พ่อครัวและเถ้าแก่ภัตตาคารหลงชิ่งต้องหัวเราะดีใจจนปากเบี้ยวแน่”
ตั้งแต่เหอยาโถวพูดเรื่องสัตว์ป่าที่พ่อของหยุนเชวี่ยหามาได้ให้กับเปาหยวนเอ๋อแห่งภัตตาคารหลงชิง หยุนเชวี่ยก็เข้าใจดีว่าคุณชายรองเจิ้งเป็นคนรับประกันให้น้องชายของภรรยาและธุรกิจของนางด้วย
เกิดเป็นคนต้องทำงานได้ทุกอย่าง ดังนั้นหยุนเชวี่ยจึงเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่ว่าสัตว์ป่าที่บิดาหามาได้จะตัวน้อยหรือตัวอ้วน นางก็ขายในราคาต่ำเสมอ แม้จะได้เงินน้อยกว่าสิบเหรียญ ทว่านางไม่ต้องตระเวนส่งตามตรอกซอยและไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมดในวันที่อากาศร้อนจัด เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้นางสบายใจไม่น้อย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกค้าของภัตตาคารหลงชิงมีตั้งแต่คนธรรมดาไปจนถึงขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โต นับได้ว่ามันคือสถานที่ที่รวบรวมผู้คนไว้มากมาย
“ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ไม่ว่าจะเลี้ยงในบ้านหรือเติบโตตามธรรมชาติในป่าบนภูเขา เมื่อถึงเวลาสัตว์ป่าเหล่านี้ก็อ้วนท้วนอยู่ดี” หยุนลี่เต๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเห็นตัวที่อ้วนกว่าพวกมันตั้งมากมาย แต่จับไม่ได้สักตัว น่าเสียดาย”
“น่าเสียดายอะไรกันเจ้าคะ ปล่อยให้พวกมันอยู่ในป่าน่ะดีแล้ว เมื่อถึงปีหน้าพวกมันไม่พ้นเงื้อมมือของท่านพ่อแน่นอน” หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มจนดวงตามีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
แม่นางเหลียนเหยียดยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “ดูสิ เจ้าเกลี้ยกล่อมพ่อของเจ้าจนเขาไม่กล้าอ้าปากเถียงเลย เจ้าพูดอะไรเขาก็เชื่อฟังทุกอย่าง หากอยากได้ดวงจันทร์บนท้องฟ้า พ่อของเจ้าก็แทบจะสร้างบันไดและหยิบเอามันมาให้เจ้า…”
คำว่าเด็กช่างเจรจามักไม่อดตายนั้นเป็นความจริง ในครอบครัวนี้มีลูกสาวเพียงสองคน ซึ่งพวกนางสามารถทำให้หยุนลี่เต๋อมีความสุขและไม่มีความทุกข์แม้แต่น้อย
“ข้าไม่ได้เกลี้ยกล่อมท่านพ่อเสียหน่อย ท่านพ่อของข้าเก่งกาจจะตายไป หมู่บ้านเรามีคนตั้งเยอะแยะ แต่มีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่สามารถล่าสัตว์ป่าด้วยหน้าไม้” หยุนเชวี่ยไม่ได้เยินยอบิดาเกินจริง เพราะเขามีความสามารถมากมาย
หยุนลี่เต๋อสามารถทำนา ล่าสัตว์ป่า หาปลา ทำงานไม้ ทั้งยังเคยทำคุณงามความดีในสนามรบมาก่อน อย่าว่าแต่หมู่บ้านไป๋ซี หมู่บ้านที่อยู่ในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้านก็ใช่ว่าจะหาคนเช่นนี้เจอ แม่นางเหลียนนับว่าเป็นพวกที่สติผิดเพี้ยนไม่น้อย แม้ว่าสิบปีที่ผ่านมาจะลำบากยากเข็ญ แต่นางก็คิดว่ามันคุ้มค่า
หยุนลี่เต๋อแทบจะเคลิบเคลิ้มไปกับคำชื่นชมของลูกสาว เขาเผยท่าทีเก้กังพลางเกาศีรษะอย่างมีความสุข “ข้าจะจุดฟืนก่อน…”
“ท่านแม่ เราเก็บหนังกระต่ายได้เท่าไหร่แล้วเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
แม่นางเหลียนทำความสะอาดกระต่ายป่าทุกตัวที่จับมาจากบนภูเขาเองกับมือ หลังจากฟอกหนังอย่างประณีตแล้ว หนังที่มันวาวจะถูกเก็บรวบรวมรักษาไว้อย่างดี และรอจนถึงฤดูหนาวจึงจะเอาออกมาพิจารณาว่ามันสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
“เก็บได้เกือบยี่สิบอันแล้ว” แม่นางเหลียนเอ่ยตอบ
“เยอะเพียงนี้เลยรึ?”
“ไม่สิ มันมีทั้งอันเล็กและอันใหญ่ ซึ่งเพียงพอสำหรับพวกเจ้าทั้งสามคน เจ้าจะเอาทำอะไรรึ? หากแม่ว่าง แม่สามารถทำให้เจ้าได้” แม่นางเหลียนสะบัดมืออย่างคล่องแคล่ว
“ฮี่ฮี่ ท่านแม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดอะไรอยู่?”
“ใครใช้ให้แม่เป็นแม่ของเจ้าล่ะ? เพียงแค่เห็นสายตาของเจ้า แม่ก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่”
หยุนเยี่ยนเม้มปากพร้อมหัวเราะ “เชวี่ยเอ๋อเป็นคนขยัน เพียงพริบตาเดียวนางสามารถคิดอะไรได้ตั้งมากมาย ต่างจากข้าที่นอนคิดสามวันสามคืนก็ยังคิดไม่ออก”