ตอนที่ 216 ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 216 ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

“ท่านแม่ ข้าอยากได้รองเท้าขนสัตว์สองคู่เจ้าค่ะ เมื่อออกไปข้างนอกในหน้าหนาว ข้าจะได้ไม่ต้องกลัวหิมะกัด” หยุนเชวี่ยครุ่นคิดว่าสำหรับตนแล้วเสื้อผ้าไม่จำเป็นมากนัก ทว่าอย่างไรเสียมันก็สามารถให้ความอบอุ่นเวลาออกไปข้างนอกบ้าน

“ได้สิ รองเท้าคู่หนึ่งคงใช้ขนสัตว์ไม่เกินสองแผ่นหรอก แม่จะทำผ้าคลุมผืนเล็กและคอเสื้อขนสัตว์ให้ด้วย ลูกสาวของแม่ต้องสวยมากแน่นอน” แม่นางเหลียนกล่าวอย่างมีความสุข

“ข้าไม่ต้องการเสื้อผ้าเพิ่มแล้ว หากหนังกระต่ายเหลือมากพอ ท่านแม่ทำรองเท้าแล้วมอบมันให้เหอยาโถว เสี่ยวส้วยเอ๋อ และชีจินคนละหนึ่งคู่เถิดเจ้าค่ะ” หลายวันมานี้หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวของตน

ทำงานด้วยกัน หาเงินด้วยกัน และแน่นอนว่ามีเรื่องดี ๆ ก็ไปทำด้วยกัน

“พอสิ มันต้องเพียงพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังเร็วไปสำหรับหน้าหนาวด้วยซ้ำ!” แม่นางเหลียนกล่าวตอบ “ลูกสาวของข้าใส่ใจและละเอียดอ่อนเสียจริง วางใจเถิด แม่รับรองว่ามันจะเสร็จก่อนหน้าหนาวแน่นอน!”

“ยังมีข้าด้วยเจ้าค่ะ!” หยุนเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางหยิบขนมวอโถวที่เหลือกินจากตอนกลางวันใส่ลงในหม้อและนึ่งอีกครั้ง เมื่อนึ่งเสร็จมันจะกลับมานุ่มนิ่มอีกครั้ง

เสียงด่าทอของแม่เฒ่าจูในห้องชั้นบนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ส่วนแม่นางเฉินก็ถูกดุด่าจนเละเทะไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ ด้วยวิธีนี้แม่เฒ่าจูจึงสามารถหลับสนิทโดยไม่มีสิ่งใดมากวนใจ

หยุนเชวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่เฒ่าจูจึงด่าแม่นางเฉินว่าน่าเกลียดบ้าง หน้าหนาบ้าง ทว่าตนเองนั้นหน้าหนาราวกับเสื้อเกราะหุ้มทองจนดาบและหอกฟันแทงไม่เข้า นางเคยกล่าวไว้ว่าการด่าทอคือการระบายอารมณ์ ทว่าความจริงแล้วยิ่งด่าก็ยิ่งโมโหจนไม่อาจหาความสุขให้ตนเองได้

เสียงด่าทอของหญิงชรายังตามมาหลอกหลอนถึงในความฝัน

แม่นางเฉินไม่ยอมแพ้ นางตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่และฉวยโอกาสขณะที่แม่นางจ้าวยังคงหลับใหลแอบย่องมาหาหยุนเชวี่ย “สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อ เจ้าบอกความจริงกับอาสะใภ้มาเถิดว่าเจ้าอยากได้เหอยาโถวเช่นกันใช่หรือไม่?”

“ท่านอาสะใภ้สาม ท่านบอกว่าเหออวี้รูปงามจนไม่มีชายคนใดในหมู่บ้านเทียบได้ และเมื่อก่อนข้าเคยมองเขาเป็นเด็กผู้หญิงเช่นเดียวกัน” หยุนเชวี่ยครุ่นคิดอย่างรอบคอบพลางพยักหน้า “อย่าพูดเลยว่าตอนนี้ข้ารู้สึกดีกับเขาจริง ๆ! อีกอย่างอายุของเราทั้งสองคนก็ไม่ต่างกันมาก”

หากเอ่ยถามเด็กสาวคนอื่นด้วยคำถามตรงไปตรงมาเช่นนี้ เกรงว่าใบหน้าของพวกนางคงแดงก่ำไปนานแล้ว แต่ในเมื่อแม่นางเฉินกล้าถาม หยุนเชวี่ยจึงกล้าตอบ

“เจ้า…” แม่นางเฉินตกตะลึงก่อนกล่าวคำเบา “อายุยังน้อยแต่กล้ากล่าวเรื่องพรรค์นี้ ไม่กระดากปากบ้างรึ! เซียงเอ๋อเป็นน้องสาวของเจ้า เจ้ากล้าขัดขวางนางได้อย่างไร?”

“เซียงเอ๋ออายุน้อยกว่าข้าอย่างนั้นรึ?” หยุนเชวี่ยหัวเราะคิกคักอย่างไม่แยแส “อีกอย่างนางเป็นน้องสาวแล้วอย่างไร ใครดีใครได้สิเจ้าคะ หรือว่ามันคือเหตุผลที่ท่านอามาที่นี่?”

“เหลวไหล!” แม่นางเฉินเบิกตากว้างด้วยความโมโห “นังเด็กไร้จิตสำนึกอย่างเจ้าทนเห็นน้องสาวได้ดีกว่าไม่ได้! ถุย เสียแรงที่ข้าทำดีกับเจ้ามาตลอดหลายปี…”

“ดูท่านอาสะใภ้สามพูดสิเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยเชิดหน้าพลางเอียงคอและกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าจำได้ว่าไม่เคยได้เศษเสี้ยวน้ำใจหรือเคยกินลูกอมของท่านอาสะใภ้สามมิใช่หรือเจ้าคะ?”

“เจ้า… เจ้ายังคิดแค้นข้าอยู่ใช่หรือไม่?” แม่นางเฉินกล่าวเสียงทุ้ม

“ชู่ว…” หยุนเชวี่ยเม้มปากปากเงียบพลางชี้ไปยังห้องชั้นบน

แม่นางเฉินปิดปากเงียบทันที

ประตูห้องนอนในปีกตะวันออกส่งเสียง “แอ๊ด…” จากนั้นแม่นางจ้าวจึงเดินออกมาพลางเงยหน้ามองแม่นางเฉินที่เผยท่าทีมีพิรุธพลางกลอกตาก่อนเอ่ยถาม “น้องสะใภ้สาม เจ้ามาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่นี่ตอนรุ่งสาง?”

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะป้าสะใภ้ใหญ่” หยุนเชวี่ยกล่าวทักทายก่อนหันกลับไปช่วยหยุนเยี่ยนจุดไฟทำอาหาร

“ข้าไม่ได้ทำอะไร ข้าเพียงมาดูว่าบ้านพี่รองมีอะไรกินบ้าง!” แม่นางเฉินแสยะยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นเราไปหุงข้าวกับบ้างดีกว่า หากชักช้าท่านแม่จะโวยวายเอา”

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่แม่เฒ่าจูมอบหมายให้แม่นางจ้าวและแม่นางเฉินทำงานในครัวร่วมกัน แม่นางเฉินก็ตะโกนเรียกนางวันละหลายครั้ง ทว่าแม่นางจ้าวไม่เคยตอบรับเลย

“เจ้าไปทำก่อนเถอะ ทำเสร็จแล้วเรียกข้า” ภรรยาของบัณฑิตมวยผมขึ้นพลางเดินไปยังห้องชั้นบนก่อนเคาะประตูเบา ๆ สองสามทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ ลูกสะใภ้มาคารวะท่านผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว”

“กลับมายกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปวางไว้บนโต๊ะก็นับว่าเป็นงานแล้วหรือ ช่างสุขสบายเสียจริง!” แม่นางเฉินเบ้ปาก นางพลันรู้สึกว่าพูดไปก็เสียแรงเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่เคยมาช่วยเหลือนางเลย ก่อนรู้สึกน้อยใจที่ตนเองต้องทำงานหนักทั้งวัน ในขณะที่ลูกสะใภ้ใหญ่ไม่ทำอะไรเลย ท่านพี่พูดถูก แม่เฒ่าจูลำเอียงเอาใจแต่ลูกชายคนโต ฮึ่ม!

“หลายวันมานี้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไป เหตุใดนางจึงไปที่ห้องของท่านพ่อและท่านแม่ทุกวัน?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามหยุนลี่เต๋อด้วยความประหลาดใจ

“คารวะน่ะ” หยุนลี่เต๋อเอ่ยตอบ

“คารวะอะไรหรือ?”

“ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นธรรมเนียมของครอบครัวขุนนาง” หยุนลี่เต๋อไม่เข้าใจเช่นกัน “ก็แค่ไปที่ห้องของท่านพ่อและท่านแม่ทุกเช้าเย็น” ชาวนาในชนบทไม่ใส่ใจขนบธรรมเนียมเหล่านี้มากนัก กล่าวคือหยุนลี่เต๋อเรียนรู้ธรรมเนียมเหล่านี้มาครั้งที่เป็นทหารและออกรบในสงคราม

“อ๋อ…” แม่นางเหลียนพยักหน้า

“ตระกูลใหญ่มีบ้านหลังใหญ่และพื้นที่สวนหย่อมกว้างขวาง ผู้คนเดินผ่านกันขวักไขว่ บางคราก็มีผู้คนจากเรือนต่าง ๆ พากันตบเท้าไปคารวะพ่อแม่ไม่ขาดสาย” หยุนเชวี่ยรู้สึกขำขันเล็กน้อย

ตระกูลหยุนมีลานบ้านกว้างขวางเช่นกัน แม่นางจ้าวเป็นคนช่างเสแสร้ง และนับจากนี้ไปคนในตระกูลจะต้องทำตัวคุ้นชินกับขนบธรรมเนียมของตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่?

หยุนเยี่ยนระเบิดหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว “เช่นนั้นต่อไปนี้เราก็ต้องระวังแม้แต่การขยับร่างกายสินะ สงสัยคงทำได้เพียงกลอกตาไปมา…”

ไม่ว่าคนอื่นจะมีความคิดเห็นเช่นไรต ทว่าแม่นางจ้าวก็ต้องการเอาใจผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูจริง ๆ

แม่นางจ้าวรู้สึกถึงสถานะของตนเองในตระกูลนี้ดี นอกจากนี้ผู้เฒ่าหยุนสามารถรับฟังข่าวคราวของหยุนลี่จงที่กำลังศึกษาตำราอย่างหนักและฝึกฝนเขียนบทความจากตน ดังนั้นในใจของนางจึงรู้สึกสงบสุข

หลังจากเกลี้ยกล่อมผู้เฒ่าทั้งสองมานาน ชีวิตของแม่นางจ้าวก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากโข อย่างน้อยนางไม่ต้องเข้าไปรมควันไฟร้อน ๆ ในครัว เนื่องจากการใช้คำพูดประจบประแจงนั้นสบายกว่ายิ่งนัก

“ท่านพ่อ ท่านวางใจ พี่ใหญ่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจกับการสอบครั้งนี้ยิ่งนัก เขาตื่นขึ้นมาอ่านตำราตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ก้นของเขายังไม่ขยับเขยื้อนไปที่ใดเลยเจ้าค่ะ…” แม่นางจ้าวกล่าวด้วยความเคารพ

“คนเราไม่สามารถเป็นคนดีได้จนกว่าจะพบเจอกับความขมขื่น” ชายชราสงสารลูกชายคนโตจึงเอ่ยถาม “เขากินไข่หรือยัง? เวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เราจะปล่อยให้เจ้าใหญ่สูญเสียสมาธิไม่ได้”

“น้องสะใภ้สามกำลังต้มอยู่เจ้าค่ะ หลังจากต้มเสร็จ ข้าจะเอาไปส่งให้เขาเอง… ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าสิ่งที่ท่านต้องเจอต้องลำบาก พี่ใหญ่มักพูดถึงเรื่องนี้ทุกวันว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีท่าน…”

แม่นางจ้าวมีลิ้นที่แหลมคม ผู้เฒ่าหยุนจึงพยักหน้าอย่างปลื้มปีติ “เจ้าจงไปบอกเจ้าใหญ่ว่าอย่างกังวลไป ตั้งใจทบทวนตำราด้วยใจจริง เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่รบกวนเขาแน่นอน…”

“เฮ้อ!” แม่นางจ้าวลุกขึ้นพลางกล่าว “ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องหยุนชิ่วเอ๋อข้าขอตัวไปปรนนิบัติท่านพี่ก่อนนะเจ้าคะ”