เวลาสั้นๆ เพียงแค่ปีเดียว ตระกูลโจวอบรมสั่งสอนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่ว่าตระกูลโจวจะลงทุนลงแรงไปเท่าใด ทว่ารูปแกะสลักที่งดงามย่อมมาจากไม้ชั้นดี เช่นนั้นแล้วเจ้าเด็กบ้านี่… ไม่ได้บ้าอย่างนั้นหรือ
“เจียวเหนียง เจ้ามาหาท่านลุง มีเรื่องอันใดหรือ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงชิงถามขึ้นก่อน
นายใหญ่เฉิงเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ก่อนจะเอ่ยปากพูด นางหันมาคำนับให้แก่ฮูหยินใหญ่เฉิง
“ข้าอยากดู ลำดับบรรพชน” นางเอ่ย
พอคำนั้นพูดออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ชะงักไปในทันที
พวกเขาเองก็เคยคิดว่าหญิงผู้นี้อาจจะพูดจาเหลวไหลตามประสา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเอ่ยคำพูดพิลึกชอบกลเช่นนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
“เจ้าจะดูไปทำไมหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงยังไม่ทันตอบ นายใหญ่เฉิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“มีคนจากเมืองหลวงมาสู่ขอ เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม
ฮูหยินใหญ่เฉิงสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นกระหนก
เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเช่นนั้น
นายใหญ่เฉิงเองก็ตกใจกับสิ่งที่ตนถามออกไปเช่นกัน อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถามเช่นนั้น
“พวกเขามาสู่ขอจริงหรือเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางพยักหน้า “ข้ารู้”
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนัก เรื่องเช่นนี้ตระกูลโจวย่อมปรึกษากับนางก่อนหน้าแล้ว
ทว่านายใหญ่เฉิงกลับดูเหม่อลอยไป เพียงแค่ประโยคสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย อยากจะพูดออกไปแต่กลับพูดไม่ออก
“เช่นนั้นแล้วท่านลุงของเจียวเหนียงต้องการอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม “เจ้าเชื่อท่านลุงของเจ้า หรือจะเชื่อตระกูลเรา”
นางพูดจบก็มองไปยังสาวใช้ที่นั่งอยู่หน้าประตู
สาวใช้นิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
ดูก็รู้ว่าเตรียมคำพูดมาแล้วอย่างดี ยามนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลสิท่า
ฮูหยินใหญ่เฉิงเย้ยหยันอยู่ในใจ
“ข้าเชื่อตัวเองเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบแล้วหันไปทางนายใหญ่เฉิง “ดังนั้นท่านลุงได้โปรดให้ข้าดูลำดับบรรพชนด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้ว่าข้าคือใคร”
คำตอบนั้นพาลทำให้ฮูหยินใหญ่เฉิงต้องขมวดคิ้ว ส่วนนายใหญ่เฉิงกลับแววตาเป็นประกาย
นางเชื่อตัวเอง อยากจะรู้ว่าเป็นตนตระกูลใดกันอย่างนั้นหรือ ก็ย่อมเป็นคนตระกูลเฉิงอยู่แล้ว หากเป็นคนตระกูลโจว เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็คงไม่ฟัง!
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ดี” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าแล้วมองไปข้างนอก “ลิ่วเหวิน”
ไม่นานชายชราท่าทางแสนซื่อตรงก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน
“นายใหญ่มีรับสั่งอันใดหรือขอรับ” เขาคำนับก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อม
“พานางไปดูลำดับบรรพชน” นายใหญ่เฉิงพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่านางไม่รู้หนังสือ “เจ้าอ่านให้นางฟัง”
ชายผู้นั้นขานรับ ก่อนจะชำเลืองมองเฉิงเจียวเหนียง แล้วออกไปรอที่นอกห้อง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไป
“นางพูดอะไรของนาง หมายความว่าอย่างไร จะดูลำดับบรรพชนไปทำไมกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถาม “แล้วเหตุใดท่านถึงยอมให้นางดู”
“นางพูดแล้วนี่ว่าจะเป็นคนตระกูลเฉิง จึงไม่เชื่อคำของตระกูลโจว” นายใหญ่เฉิงลูบเคราพลางพยักหน้าเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงหันไปมองเข้า
“นางพูดหรือ นางพูดเมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยิน” นางถาม
มือที่ลูบเคราอยู่ของนายใหญ่เฉิงชะงักไป
“ก็เมื่อครู่นางพูดไม่ใช่หรือว่าอยากดูลำดับบรรพชน เพราะอยากรู้ว่าตนเป็นใคร และนางก็จะเชื่อตัวนางเอง…” เขาเสียงตะกุกตะกัก
พูดยังไม่ทันจบฮูหยินใหญ่เฉิงก็โมโหเลือดขึ้นหน้าจนต้องเอ่ยแทรก
“นางพูดเองเสียที่ไหนกัน ท่านพูดเองชัดๆ!” นางตะโกนลั่น “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ คิดอะไรเหลวไหล!”
นั่นสินะ เขาคิดอะไรเหลวไหล นางพูดอีกอย่าง เหตุใดเขาถึงคิดไปอีกอย่างได้
เพียงแต่ตอนที่มองหญิงผู้นั้นพูดคำนี้ออกมา เขากลับรู้สึกว่านางหมายความเช่นนี้…
แล้วนางไม่ได้หมายความเช่นนี้หรือ เขาเองหรอกหรือที่คิดมากจนเกินไป แล้วเหตุใดเขาถึงคิดมาก ราวกับว่านับแต่ที่หญิงผู้นั้นเอ่ยออกมาประโยคแรก บทสนทนานั้นก็จะมีนางเป็นผู้นำเสียอย่างนั้น….
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือนางทำมันได้อย่างแยบยลนัก ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร! ลูกหลานคนหนึ่งทำเช่นนี้ต่อหน้าเขาได้อย่างไร แถมยังเป็นเด็กบ้านั่นอีกต่างหาก
ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปแน่นอน
นายใหญ่เฉิงก้มหน้ายกมือขึ้นมานวดขมับอย่างอดไม่ได้
“อยากดูก็ดูไปเถิด หาใช่ของสำคัญแต่อย่างใด” เขาเอ่ยพึมพำออกมา
พูดจบจนเองก็ชะงักไป
ลำดับบรรพชน…
เหมือนนี่จะเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนแล้วที่มีคนมาขอดูลำดับบรรพชน
แล้วทั้งสองหนนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างนั้นหรือ
ความคิดแวบเข้ามาในหัว ทว่านายใหญ่เฉิงกลับรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป
จะเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร เขาคิดมากไปอีกแล้ว! คราวก่อนเป็นขุนนางจากเมืองหลวง จะเกี่ยวเนื่องกับเด็กบ้านของตระกูลเขาได้อย่างไร!
พอพูดถึงเมื่อคราวก่อน คนเมืองหลวงพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่ มาตรวจสอบข้อมูลการสอบขุนนางจริงๆ หรือ ข้อมูลการสอบของขุนนางผู้น้อยต่างเมืองเช่นนี้ สำคัญถึงขนาดต้องให้คนจากทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบเลยหรือ
ทั้งยังน่าแปลกที่พวกเขากลับไม่ได้ถามถึงนายใหญ่เฉิงด้วย
เมืองหลวง วังหลัง ภายในตำหนักของไทเฮามีผู้คนนั่งพูดคุยหัวเราะกันอยู่เต็มไปหมด
“ใช่แล้ว องค์ชาย” เกาหลิงปอใบหน้ายิ้มแย้มในชุดขุนนาง จู่ๆ ก็หันไปถามจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองอยู่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองมาด้วยรอยยิ้ม
“กัวเฉวียนจากกรมพระคลัง ท่านรู้จักหรือไม่” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“เคยได้ยินชื่อ เป็นผู้พิพากษาใช่หรือไม่ เหมือนเคยได้ยินผู้ใดพูดถึง” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางองค์ชายใหญ่ที่นั่งหลังตรงอยู่ “เคยได้ยินองค์ชายใหญ่พูดถึง บอกว่าตอนว่าความเขาพูดถึงเรื่องอะไรสักอย่าง”
องค์ชายใหญ่ไม่ตอบ ทว่ากุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายกลับยิ้มออกมา
“เด็กน้อยจะไปเข้าใจงานราชการแผ่นดินได้อย่างไร พวกเจ้าอย่าได้เอามาพูดเหลวไหล” นางเอ่ย
องค์ชายใหญ่เข้าไปนั่งในศาลาว่าการ แถมยังเอ่ยถึงชื่อของคนอื่น กิริยาเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก
เกาหลิงปอเองก็รู้ดี จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนมนา
เขาไม่มีทางพูดเรื่องที่จะเป็นผลร้ายต่อองค์ชายใหญ่เป็นแน่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง พลางก้มหน้าเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองต่อ
“คนผู้นั้นทำไมหรือ” ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงที่เยื้องออกไปได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน จึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ได้ข่าวมาว่าช่วงก่อนเขาส่งคนไปตรวจข้อมูลของขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว จึงรู้ว่าแปลกชอบกลพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เห็นแปลกนี่ ข้อมูลสอบขุนนางจะละเลยได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของกรมพระคลังอยู่แล้วมิใช่หรือ ช่วยจัดการดูแลแทนฝ่าบาท” ไทเฮายิ้มเอ่ย
ทุกคนพากันหัวเราะ
“ไทเฮา กรมพระคลังมิได้มีหน้าที่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยพลางหัวเราะ
“อืม หากพวกเขาทำหน้าที่นี้ได้ดีก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ไทเฮาเองก็หัวเราะเช่นกัน
เรืองในราชสำนัก วังหลังมิควรก้าวก่าย ไม่ต้องรอให้ผู้ใดเตือน ไทเฮาก็เปลี่ยนเรื่องคุยด้วยตนเอง นางพูดคุยหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลาทุกคนแล้วออกไป
“องค์ชาย ช้าๆ พ่ะย่ะค่ะ อย่าวิ่ง”
พอก้าวออกมาจากตำหนักไทเฮา องค์ชายรองก็รีบจูงมือจิ้นอันจวิ้นอ๋องวิ่งเล่นในทันที ขันทีตื่นตกใจแทบแย่ พลางวิ่งตามไปกล่าวเตือน
“เร็วเข้า เร็วเข้า ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ” องค์ชายรองเอ่ย
“เสด็จพ่อว่าราชการอยู่ เจ้าอย่าได้รบกวนท่าน” องค์ชายใหญ่เอ่ยพลางยกมือขึ้นกอดอก
องค์ชายรองหันมายิ้มให้แก่เขา
“เสด็จพ่อเรียกให้ข้าไปหา” เขาตอบ
“เจ้ารบเร้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจนใจ จึงยอมตกลงเสียมากกว่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อพลางหัวเราะออกมา มือข้างหนึ่งจูงมือองค์ชายรองไว้ เพื่อให้อีกคนเดินช้าลง
คำพูดนั้นทำให้สีหน้าขององค์ชายใหญ่แจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้น
“ข้าจะไปทำการบ้าน” เขาเอ่ยพลางเหลียวกลับไปมองกุ้ยเฟยและเกาหลิงปอ
กุ้ยเฟยส่งยิ้มไหม้
“เพคะ ไปเถิดเพคะ” นางตอบ
“องค์ชายช่างพากเพียรแท้” เกาหลิงปอพยักหน้าเอ่ยชม
องค์ชายใหญ่พึงพอใจไม่น้อยก่อนจะหลังกลับแล้วก้าวเท้าเดินออกไป
มองดูพวกเขาเดินไกลออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของกุ้ยเฟยก็เลือนหายไปในทันที สายตาหันมองไปทางองค์ชายรองที่เดินไกลออกไปเช่นกัน
“ลิ่วเกอร์ฉลาดหลักแหม ฝ่าบาทยิ่งเอ็นดูมากขึ้นทุกวัน” นางเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ