แม้เขาจะอาศัยอยู่ไกลจากเมืองหลวง แต่ชื่อเสียงเรียงนามของตระกูลผู้รากมากดีนั้น นายใหญ่โจวกลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี

อย่างเช่นหากพูดถึงตระกูลหัน ก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังพูดถึงลูกหลานตระกูลหันที่สืบเชื้อสายกันมาจากเมืองเซียงโจว หากพูดถึงตระกูลซูก็ย่อมต้องเป็นตระกูลซูเมืองเฝินโจวที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว

ดังนั้นหากพูดถึงตระกูลฉินแล้ว ยิ่งเป็นจวนองค์หญิงตระกูลฉินอีก ก็ย่อมเป็นตระกูลฉินที่สืบเชื้อสายมาจากเมืองชวนโจว

ที่ตระกูลฉินกลายเป็นตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ใช่เพียงเพราะมีสะใภ้เป็นองค์หญิง หากจะพูดให้ถูกต้อง คงเป็นเพราะพวกเขาคือตระกูลฉิน องค์หญิงจึงยินยอมตกลงปลงใจแต่งงานด้วยต่างหาก

นายใหญ่เฉิงไม่คิดว่าชาตินี้ตนเองจะมีโอกาสได้รู้จักกับตระกูลฉินเสียด้วยซ้ำ

“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

นายใหญ่เฉิงถือถ้วยชาอย่างเหม่อลอย ลืมแม้กระทั่งเช็ดเศษใบชาที่เลอะเทอะร่างกายของตัวเองออก ก่อนจะได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของฮูหยินใหญ่เฉิง

“ตระกูลฉินก็คือตระกูลฉิน แต่ใช่ว่าตระกูลฉินจะเหมือนกันทุกคน”

ก็เหมือนกับตระกูลเฉิงของพวกเขา เฉิงใต้ก็คือตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจว เฉิงเหนือก็คือตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจว แต่หากพูดกันตามตรงแล้วกลับแตกต่างกันลิบลับ

“ท่านคิดว่าตระกูลโจวเป็นคนทาบทามตระกูลฉิน หรือว่าเด็กบ้านั่นเป็นเรียกมาเอง”

นายใหญ่เฉิงเพิ่งได้สติคืนมา เขาวางถ้วยชาลงแล้วเช็ดคราบน้ำ

“ก็แค่ละครตบตาของตระกูลโจว ไม่รู้ว่าแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างไร ถึงขนาดหว่านล้อมให้ตระกูลมีหน้ามีตาจากเมืองหลวงมาร่วมมือได้” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงเย้ยหยัน

“ก็คงได้ผลประโยชน์อันใดสักอย่าง คงไม่ใช่แค่สินเดิมเป็นแน่” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

แม้จะเป็นตระกูลเจ้าใหญ่นายโตมากจากไหน พอเห็นสินเดิมอยู่ตรงหน้าก็เสียกิริยากันทั้งนั้น แต่ก่อนเคยมีขุนนางจากเมืองหลวงสองคนทะเลาะกันยกใหญ่ เพียงเพราะสินเดิมแสนก้วนของหญิงหม้ายนางหนึ่ง คราวนั้นฮ่องเต้ถึงกับออกมาตัดสินคดีความด้วยตนเอง

ถึงสินเดิมของเฉิงเจียวเหนียงจะไม่ถึงหนึ่งแสนก้วน แต่กิจการของร้านก็เปิดมาหลายปีแล้ว อย่างน้อยก็คงจะมีเงินประมาณห้าหมื่นก้วนได้

ห้าหมื่นก้วนแค่นี้ก็เพียงพอให้จิตใจของคนสั่นคลอนได้

ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า นางเองก็คิดเช่นเดียวกัน

“บ้านแม่ข้าบอกมาว่า อยากจะจัดงานแต่งงานให้แล้วเสร็จภายในเดือนหน้า”

“เช่นนั้นว่าตามนั้น แต่ก็อย่าให้ดูแร้นแค้นจนเกินไป อย่างไรเสียก็เป็นหน้าเป็นของตระกูลเฉิงของเรา อีกอย่างพวกตระกูลโจวจะได้ไม่มาฉวยโอกาสนี้เจ้ากี้เจ้าการ…”

ขณะที่สองสามีภรรยาคู่นี้กำลังพูดเรื่องงานแต่งงาน ส่วนฮูหยินรองเฉิงและนายรองเฉิงก็คุยกันงานแต่งงานเช่นกัน

“เจ้าพูดจริงหรือ” นายรองเฉิงตกตะลึงยิ่งนัก “ตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ!”

ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้า

“ข้าไปสืบถามมาได้ความชัดแจ้ง” นางเอ่ยพลางยกมือขึ้นมากุมอก ราวกับหายใจไม่ทัน “ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนางมาสู่ขอให้ใครบ้าง”

“ผู้ใดบ้าง” นายรองเฉิงถาม

ตระกูลแบบนั้นคงไม่มาสู่ขอให้กับลูกหลานสายตรงหรอกกระมัง แต่แค่ลูกหลานสายรองก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

“ลูกชายคนที่เจ็ดที่เกิดจากภรรยาหลวง ลำดับที่สิบสามของตระกูล” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยแววตาเป็นประกาย

นายรองเฉิงตาเบิกโพลงแล้วมองไปที่นาง

“เขาสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไร” เขาถาม

ฮูหยินรองเฉิงผลักเขา

“จะสนใจไปทำไม่ว่าสติฟั่นเฟือนหรือเป็นบ้า” นางเอ่ย “นั่นคือตระกูลฉินนะ! ตระกูลฉิน!”

นายรองเฉิงพยักหน้า

“แล้วยังมีตระกูลอื่นอีก ท่าทางดูไม่เลวทั้งนั้น” ฮูหยินรองเฉิงพูดต่อก่อนจะนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้ามาคิดดูแล้ว ก็ใช้โอกาสนี้หาคู่ให้แม่นางเจ็ดของเราไปพร้อมกันเลย…”

“อย่ามองแค่เปลือกนอก ตระกูลโจวน่ะเชื่อได้เสียที่ไหนกัน” นายรองเฉิงเอ่ย “แม่นางเจ็ดของพวกเรา เลือกคู่ทั้งทีใช่ว่าจะเป็นใครที่ไหนก็ได้”

ฮูหยินรองเฉิงโน้มมาซบแขนของนายรองเฉิงแล้วพยักหน้า ก่อนจะส่งยิ้มอย่างคุ้นเคย

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ไม่ว่าจะเลือกคนไหนก็ดีทั้งนั้น ส่วนสินเดิม หากตระกูลโจวอยากจะขอส่วนแบ่ง ก็แบ่งให้เสียสักหน่อยก็ได้… ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“จู่ๆ เหตุใดเจ้าถึงได้ใจกว้างขึ้นมา” นายรองเฉิงยิ้มเอ่ย

“บางครั้งเงินทองหาใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “ข้าคิดว่าตระกูลโจวก็ไม่เลว หากพวกเราเทียบชั้นกับเขาได้ ก็คงสุขสบายกว่าทุกวันนี้”

นางเอ่ยพลางส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนเบะปากไปทางเรือนของฮูหยินใหญ่

“เจ้าได้กินเนื้อ แต่เรือนข้าไม่มีแม้แต่น้ำแกงจะกิน ผู้ใดจะยอมได้เล่า” นางเอ่ย “อีกอย่าง หากเจียวเหนียงแต่งงานออกเรือนไป ร้ายดีอย่างไรพวกเราก็กลายเป็นญาติของพวกเขาแล้ว แต่เครือญาตินั้นใช่ว่าจะสนิทสนมกันเสมอไป ก็ย่อมต้องไปมาหาสู่ หากมีโอกาสได้ไปมาหาสู่กัน แม่นางเจ็ดของเราย่อมมีโอกาสเลือกคู่ที่ดีกว่ามิใช่หรือ อีกอย่างท่านจะมีโอกาสในหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นด้วย”

นายรองเฉิงลูบเคราไม่เอ่ยคำใด

“เด็กบ้าเช่นนั้น หากพาไปมาหาสู่ญาติมิตร จะไม่ต้องขายมูลขายขี้เอาหรอกหรือ” เขาเอ่ย

“บ้าอะไรกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านยังไม่ได้พบนาง ยามนี้นางไม่ได้บ้าแล้ว เพียงยืนนิ่งไม่พูดไม่จาคนก็พากันเหลียวมองแล้ว ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าตระกูลโจวนั้นร้ายกาจนัก ไม่รู้ว่าสั่งสอนมาอย่างไรนางถึงได้แสร้งทำเก่งถึงเพียงนี้”

พูดจบก็หันไปตะโกนกับคนด้านนอก

“ไปเรียกแม่นางใหญ่มา บอกว่านายรองกลับมาแล้ว”

“ข้าไม่อยากพบนาง” นายรองเฉิงหน้าบึ้งตึงในทันที

ทว่าแม่นมที่อยู่นอกประตูขานรับแล้วออกไปเสียแล้ว

ฮูหยินรองเฉิงให้คนอุ้มลูกชายเข้ามา นายรองเฉิงที่ไม่ได้เจอลูกชายมานานก็ดีใจไม่น้อย เขาอุ้มหยอกล้อด้วยตนเอง ขณะที่ครอบครัวกำลังสุขสันต์ แม่นมก็กลับมาทว่าไม่ได้พาตัวเฉิงเจียวเหนียงมาด้วย

“นางไปพบนายใหญ่เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

ฮูหยินรองเฉิงลุกขึ้นพรวดในทันใด ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักนายรองเฉิง

“เห็นหรือไม่ ท่านไม่อยากพบ มีคนอยากจะพบนางมากกว่าท่านอีก” นางเอ่ย “รีบไปเร็วเข้า นางเป็นลูกสาวท่านนะ จะให้พวกเขามาเอาเปรียบเช่นนี้ไม่ได้”

ฮูหยินรองเฉิงกล่าวหานายใหญ่เฉิงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพอได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงจะมาพบ เขาก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน

“พบข้าอย่างนั้นหรือ” เขาขมวดคิ้วถาม “พบข้าไปทำไมกัน”

“ใช่แล้ว ตอนกลับมาถึงวันนั้นก็บอกว่าจะมาพบท่าน” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

“ไม่พบ!” นายใหญ่เฉิงเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด

ฮูหยินใหญ่เฉิงปรามเอาไว้

“พบนางเถิด” นางเอ่ย “พบนางก็เหมือนไปพบตระกูลโจว ดูซิว่าตระกูลโจวสั่งให้นางมาพูดอะไร”

“ตระกูลโจวอยากจะพูดอะไรช่างหัวประไร ข้าต้องฟังด้วยหรือ” นายใหญ่เฉิงส่งเสียงฮึดฮัด

ฮูหยินใหญ่เฉิงยกมือส่งสัญญาณให้แม่นม แม่นมรีบออกไป ไม่นานก็พาเฉิงเจียวเหนียงกลับเข้ามา

“ท่านดูสาวใช้นางนั้น” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยกระซิบ

นายใหญ่เฉิงหันไปมองอย่างไม่เต็มใจนัก ทว่าพอได้มองกลับไม่อาจละสายตาจากไปได้

ใบหน้าขาวนวลดุจหยก เสื้อผ้าสีทึม บ่าและแผ่นหลังที่เหยียดตรง ชายกระโปรงปลิวไสวยามก้าวเดิน

หญิงงามชัดๆ!

“สาวใช้นางนั้นเป็นคนที่ตระกูลโจวส่งมาให้ คราวก่อนที่กลับมาพร้อมกันก็หนีตามคนตระกูล

โจวกลับไปอีก ท่านดูสิ คราวนี้ก็เป็นนางอีกแล้ว…”

เสียงของฮูหยินใหญ่เฉิงพึมพำอยู่ข้างหู ทว่านายใหญ่ยังคงไม่ละสายตาไปจากเฉิงเจียวเหนียง

สาวใช้นางนั้น สาวใช้นางไหน พอหญิงสาวผู้นี้เดินเข้ามา ฟ้าดินก็พลันกลายเป็นสีเทา แล้วจะมองเห็นคนอื่นได้อย่างไร!

สง่างามถึงเพียงนี้ ก็สมแล้วที่ตระกูลฉินแห่งชวนโจวมาสู่ขอ

ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของนายใหญ่เฉิง จนเขายังตกตะลึกกับความคิดของตนเอง

“คำนับท่านลุงเจ้าค่ะ”

หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านั่งคุกเข่าลง หลังเหยียดตรง ก่อนจะก้มหัวลงจรดพื้น

นายใหญ่เฉิงคำนับกลับอย่างประหม่าในทันใด

“เจ้า…” เขาเสียอาการจนนั่งหลังเหยียดตรงแหน่ว ก่อนจะกระแอมขึ้นมาหนึ่งทีเพื่อกลบเกลื่อน “นั่งลงเถิด”

เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับอีกครั้งก่อนจะกลับมานั่งหลังตรง

นายใหญ่เฉิงแอบทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ เหล่าบรรดาลูกหลานผู้หญิงในเรือน แม้เขาจะเชิญอาจารย์มาอบรบสั่งสอนเป็นการเฉพาะแล้ว ทว่าไม่มีคนไหนที่สามารถคำนับได้อย่างอ่อนช้อยงดงามเหมือนดั่งสายน้ำพริ้วไหวเช่นหญิงผู้นี้

เชิญอาจารย์มาอบรม ยังสู้เด็กบ้าที่ไม่เคยมีผู้ใดสั่งสอนไม่ได้เลยหรือ

…………………