ลมราตรีลอดผ่านซอกหน้าต่าง แสงตะเกียงและผืนผ้าม่านสั่นไหวไปตามแรงลม
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเปลวไฟที่ไหววูบ ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ข้ายังไม่เคยเห็นเลยว่าเขาหน้าตาเช่นไร” นางเอ่ย “เพียงแค่จำชื่อได้”
จำชื่อได้อย่างนั้นหรือ
ปั้นฉินตกใจไม่น้อย
เฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ ไม่ผิดแน่ นางรู้จักชื่อนี้ จนถึงตอนนี้ นี่คือชื่อที่สองในความทรงจำที่นางเพิ่งจะเคยได้ยินในชีวิตจริง
ชื่อแรกคือเฉิงฟั่ง ชื่อของนางเอง
“เป็นชื่อของผู้ใดหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
เฉิงเจียวเหนียงนิ่งเงียบ มือที่วางอยู่บนหน้าขาค่อยๆ กำเข้าหากัน
“ข้าอยาก ดื่มน้ำ” นางเอ่ย
นางหญิงกำลังประหม่าอย่างนั้นหรือ ปั้นฉินตกใจเสียยิ่งกว่าเดิม นางรีบก้มหน้าขานรับแล้วลุกขึ้นรินน้ำ
เฉิงเจียวเหนียงกำถ้วยน้ำแล้วยกขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า ปั้นฉินนั่งคุกเข่าลงทั้งยังไม่เอ่ยถามอันใดต่อ
“นายหญิง อยากอ่านหนังสือหรือไม่เจ้าคะ” นางถึงอะไรออกก็ถามออกไปเช่นนั้น
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้ารู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว จะอ่านหนังสือให้นายหญิงฟังก็คงไม่ได้” ปั้นฉินถอนหายใจ “หากพี่ปั้นฉินอยู่ก็คงดี”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“ถึงนางอยู่ ดึกเช่นนั้นข้าก็ไม่ให้นางอ่านหรอก” นางเอ่ย
ปั้นฉินครุ่นคิดก่อนจะปรบมือท่าทางดีใจ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าลืมไปเสียสนิท นายหญิงอยากจะไปเยี่ยมปั้นฉิน… เอ่อ พ่อแม่ของชิงเหมยหรือไม่เจ้าคะ” นางถาม
“ชิงเหมยคือผู้ใด” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ปั้นฉินชะงักไปก่อนจะป้องปากหัวเราะคิกคัก
“นางหญิง ท่านจำชื่อจริงของพวกข้าไม่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” นางถาม
“ก็แค่ชื่อ คนที่ชื่อนั้นต่างหากสำคัญกว่า…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ก็แค่ชื่อ คนต่างหากที่สำคัญกว่า
พอชื่อนั้นปรากฏขึ้นมา คนที่ชื่อนั้นจะเป็นคนเช่นไร
เฉิงเจียวเหนียงหยุดพูดเพียงเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง… หากเป็นเช่นนั้นจริง…
แผ่นหลังที่นั่งเหยียดคงอยู่ค่อยๆ โน้มลงมา ฝ่ามือที่กำถ้วยน้ำไว้แน่นเริ่มสั่นเทา จนน้ำกระเด็นออกมา
“นายหญิง นายหญิง” ปั้นฉินตื่นตกใจลุกยืนขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปตบแผ่นหลังของนาง ก่อนจะน้ำตาไหลออกมาอย่างรู้สึกผิด
บอกแล้วว่าให้เลี่ยงพูดถึงเรื่องนี้ เหตุใดถึงวกกลับมาได้ นางนี่มันโง่จริงๆ หากปั้นฉินอีกสองคนอยู่ด้วย คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอย่างแน่นอน
ปั้นฉินยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำจากเฉิงเจียวเหนียง แต่ทว่าต้องออกแรงไม่น้อยจึงจะดึงกลับมาได้ ปั้นฉินร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
นางไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อ ทำได้เพียงยื่นมือไปลูบบ่าของเฉิงเจียวเหนียงอยู่อย่างนั้น
ยามฟ้าสาง เสียงฝีเท้าขวักไขว่ดังไปทั่วถนนทุกเส้นของเมืองเจียงโจว
“ไม่มี… ที่นี่ซ่อนตัวไม่ได้หรอก”
เสียงกระซิบดังขึ้นภายในตรอกพร้อมกับเสียงของไก่ที่ร้องขันเพราะตกใจ
“นี่ ทำอะไร ทำอะไรน่ะ”
เสียงดุด่าของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น
สองเด็กน้อยในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งวิ่งหนีไปออกจากเล้าไก่ด้านนอกประตู
“เช้ามาก็ขโมยไก่กันเลยหรือ!” หญิงผู้นั้นถือไม้กวาดวิ่งไล่ตาม เด็กสองคนวิ่งเลี้ยวโค้งก่อนจะคลาดสายตาไป นางจึงทำได้เพียงเดินกลับไปอย่างแค้นเคือง
มองดูเล้าไก่ที่ถูกรื้อจนเละเทะไปหมด พอนับไก่ดูก็พบว่าไม่ได้หายไป ถึงได้โล่งใจมาเปราะหนึ่ง นางตะโกนเร่งให้ชายหนุ่มในเรือนย้ายเล้าไก่เข้ามาในรั้ว จากนั้นก็ดึงเศษฟางที่ใช้สำหรับปูรองในเล้าไก่จากกองฟางที่อยู่ข้างๆ ทว่าดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก แต่กลับมีเสียงคนร้องออกมาแทน
“ตายแล้ว!” หญิงผู้นั้นตกใจถอยหลังจนทรุดลงนั่งกับพื้น มองดูคนปีนออกมาจากกองฟาง
“แม่ใหญ่ ขอบใจท่านมาที่ให้ข้ายืมกองฟางนอน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางนั่งลงคาระวะให้กับหญิงที่นั่งอยู่บนพื้น เศษหญ้าเศษฟางติดเต็มตัวเขาไปหมด
“จับขโมย!” หญิงผู้นั้นกรี๊ดลั่น
“แม่ใหญ่ชอบล้อเล่นเสียจริง อย่างข้าน่ะหรือจะเป็นขโมย! ข้าคือคนไร้ที่ซุกหัวนอนที่น่าสงสารต่างหาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นกลัวก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “แม่ใหญ่ ข้ากับท่านมีวาสนาต่อกัน ข้าดูใบหน้าท่านหมองคล้ำนัก จะต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน มา มา ข้าจะทำนายดวงชะตาให้ท่าน ว่าจะแก้อย่างไรดี ขอแค่หนึ่งเหวินเท่านั้น…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หญิงตรงหน้าก็ชี้นิ้วไปที่เขาในทันที
“ตี!” นางตะโกนลั่น
ยามนางยื่นมือออกมา ชายหนุ่มก็ย่อตัวลงในทันใด ไม้ท่อนหนึ่งฟาดเฉียดกลางกระหม่อมของเขาไป
“มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา มาทุบตีกันอย่างนี้ได้เช่นไร” ชายหนุ่มตะโกนลั่น มองดูชายคนหนึ่งและเด็กวัยกำลังโตอีกสามคน ทุกคนมองมาอย่างแค้นเคืองในมือถือทั้งไม้กวาด ท่อนไม้ และเก้าอี้
“ตีเจ้าโจรนั่น ตีเจ้าโจรนั่น!” หญิงผู้นั่นพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วตวาดลั่น
เสียงโวยวายนั่นพาลทำให้ทั้งตรอกโกลาหลขึ้นมา คนบ้านอื่นก็วิ่งเข้ามามุงดูอย่างคึกครื้น
“ข้าไม่ใช่โจร ข้าไม่ใช่โจร พวกเจ้าเหตุใดถึงไม่ฟังข้าเลย” ชายหนุ่มตะโกน พลางหลบท่อนไม้ที่ตีเข้ามาไม่ยั้ง เบี่ยงตัวหลบไปหลบมาจนแทรกตัวผ่านฝูงชนแล้ววิ่งหนีไป
“อย่าให้ข้าเจออีกล่ะ!” ชายผู้นั้นตะโกนลั่น ชูท่อนไม้ในมือขึ้นแกว่งไปมา แล้วชี้ไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่วิ่งหนีไป
“ตีเจ้าโจรนั่นให้ตาย! คิดจะขโมยไก่บ้านข้าอย่างนั้นหรือ แถมยังบอกว่าข้าจะมีเคราะห์ ไหนจะให้ข้าสะเดาะห์อีก เป็นทั้งโจรทั้งสิบแปดมงกุฎ อย่างเจ้าไม่ได้ตายดีหรอก…” หญิงผู้นั้นยังวิ่งไล่ตะโกนตามไป พลางชี้นิ้วก่นด่า
ยังไม่ทันได้พูดจบ ชายที่อยู่ข้างกายก็หันหลังกลับ ทว่าท่อนไม้ในมือบังเอิญฟาดใส่หน้าของหญิงผู้นั้นเข้าอย่างจัง จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น หญิงผู้นั้นกุมหน้าแล้วล้มลงไปกับพื้น…
“เจ้าบ้านี่…”
รอบกายโกลาหลวุ่นวายไปหมด คนที่กรูกันเข้ามาช่วยยังอดหัวเราะไม่ได้
“เช่นนี้ไม่เรียกมีเคราะห์อีกหรือ” คนหนึ่งมองดูเลือดกำเดาที่ไหลลงมาตามซอกนิ้วของหญิงที่กุมหน้าอยู่ ก่อนหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ชายหนุ่มที่วิ่งหนีจากไปที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตรอกแสนคับแคบแห่งนี้มีเส้นทางที่เชื่อมต่อกัน วิ่งเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่นานก็คุ้นเคยเส้นทางได้อย่างง่ายดาย เส้นหญ้าฟางที่ติดตามตัวหัวจรดเท้าถูกปัดทิ้งจดหมดแล้วระหว่างทางที่เขาวิ่งมา ส่วนเส้นผมก็จัดเข้าทรงใหม่ ก่อนจะหักกิ่งไม้ที่ไม่รู้ว่ามาจากต้นไม้ของบ้านหลังใดติดมือมาด้วย เขายกมือขึ้นมาลูบใบหน้า ยามที่ยืนนิ่งอยู่ริมถนน ร่างทั้งร่างก็สะอาดหมดจดแล้ว
เขาแบมือแล้วสะบัดไปมาก่อนสูดหายใจลึก
“เอาล่ะ สะอาดแล้ว” เขาเอ่ยพลางล้วงเข้าไปในสาบเสื้อแล้วดึงธงลายออกมา ทว่ายังไม่ทันได้คลี่ออกก็ต้องเก็บเข้าไปใหม่ แล้วรีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงในตรอก
“เจ้าหมอนั่นมักจะมาเดินลอยหน้าลอยตาต้มตุ๋นคนอยู่แถวนี้นี่…”
“พวกเราไปตามหาให้ทั่ว จับได้แล้วก็เอาไปแลกเงินรางวัล…”
สองคนที่พูดคุยกันเดินผ่านไปแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้ชโงกหัวออกมาดูสองคนนั้น ทว่ากับแนบตัวไปกับกำแพงทั้งยังถดไปข้างหลังอีกหลายก้าว ก่อนจะก้มตัวลงหลบอยู่ที่หลังประตูเรือนหลังหนึ่ง วินาทีที่เขาเข้ามา เด็กหนุ่มสองคนที่เดินผ่านไปแล้วเมื่อครู่ก็ย้อนกลับเข้ามามองซ้ายมองขวาในตรอกอีกครั้ง
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่มีหรอก”
“ตั้งใจหาหน่อย หลายตังเชียวนะ…”
คอยให้สองคนนั้นเดินจากไปเสียก่อน จากนั้นชายหนุ่มที่หลบอยู่หลังประตูก็ก้าวออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคางด้วยสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย
“ประการแรก” เขาชูนิ้วขึ้นมาถึงนิ้วออกไปทางถนน “ข้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋นหลอกลวง ข้าทำนายดวงชะตาสะเดาะเคราะห์”
จากนั้นก็ชูนิ้วขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว
“ประการที่สอง ข้าคิดเงินแค่หนึ่งเหวินเท่านั้น” เขาแกว่งนิ้วไปมา ก่อนจะเดาะลิ้นส่ายหน้าแล้วมองไปตามถนน “ถึงขนาดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ”
เขาชักมือกลับมาเท้าเอวก่อนจะขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง
“ช่างเถิด ออกไปหาที่ซ่อนตัวดีกว่า”
ยามแสงอาทิตย์สาดส่อง นายใหญ่เฉิงก้าวเข้าประตูมา เขาเพิ่งจะลงจากม้าก็ได้ยินเสียงโครมครามมาจากด้านหลัง ก่อนจะมีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา นายรองเฉิงท่าทางเหนื่อยล้าลงมาจาดรถโดยมีบ่าวคอยพยุง
“เจ้ากลับมาได้อย่างไร” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“นางป่วยน่ะ” นายรองเฉิงเอ่ย
นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว
“ป่วยก็ไปเชิญหมอมาสิ ในเรือนมีคนตั้งมากมาย เจ้าก็ไม่ใช่หมอเสียหน่อย กลับมาแล้วจะทำอันใดได้” เขาเอ่ยหน้าบึ้งตึง “เจ้าเป็นขุนนาง ปกป้องชาวเมืองเพื่อโอรสแห่งสวรรค์ เหตุใดถึงละทิ้งหน้าที่การงานเพียงเพราะหญิงนางหนึ่งเจ็บเป็นป่วยไข้ เช่นนี้ไม่เรียกว่าเห็นชาวเมืองเป็นของเล่นหรืออย่างไร”
นายรองเฉิงรีบยกมือคำนับก่อนจะโค้งให้
“ขอรับ คำสอนของท่านพี่ข้าจักจำไว้” เขาตอบ
นายใหญ่เฉิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ไปเถิด เจ้าเองก็เหนื่อยล้านัก” เขาเอ่ย
นายรองเฉิงขานรับก่อนจะโค้งคำนับแล้วหันหลังเดินจากไป
“บ้านน้องรองมีคนป่วย เหตุใดเจ้าถึงไม่ดูแล”
นายใหญ่เฉิงก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง พอเห็นฮูหยินใหญ่เฉิงเดินเข้ามารับก็เอ่ยถามในทันที
“แถมยังให้น้องรองเดินทางกลับมาทั้งคืน คนไม่รู้เขาจะคิดว่าที่บ้านมีคนตายเอา”
ฮูหยินใหญ่เฉิงถูกคำพูดรัวใส่จนมึนไปหมด ทั้งยังรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย
นางกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ที่เรือนมาสามวันสามคืน จนต้องเริ่มกินยาต้มแล้ว อุตส่าห์รอคอยกว่าสามีของตนจะกลับมา ทว่าพอกลับมาก็เอาแต่ตำหนิติเตียนกันไม่หยุด แถมยังถามถึงภรรยาของผู้อื่นอีก
“นางป่วยหรือ ข้าต่างหากที่ใกล้ตายแล้ว” ฮูหยินใหญ่เฉิงรับเสื้อคลุมของนายใหญ่เฉิงมาสะบัดก่อนจะปากลับ แล้วหันหลังเดินออกไป
นายใหญ่เฉิงเองก็เดือดดาลไม่น้อย บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดขึ้นมาในทันใด เหล่าแม่
นมกลั้นหายใจไม่กล้าเอ่ยคำใด
“นายใหญ่เจ้าคะ ขอให้บ่าวได้อธิบายแทนฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมข้างกายของฮูหยินใหญ่เฉิงคุกเข่าลงแล้วพูดขึ้น “ฮูหยินรองไม่ได้บอกว่าตนป่วย ที่เรือนเชิญหมอมาจริงเจ้าค่ะ แต่มาดูอาการป่วยของฮูหยินใหญ่ เรื่องของฮูหยินรอง ฮูหยินท่านไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ วันก่อนฮูหยินรองออกไปข้างนอกด้วยเจ้าค่ะ เห็นว่าซื้อผ้าม้วนใหญ่กลับมาเจ้าค่ะ”
นายใหญ่เฉิงหน้านิ่งไม่รู้จะพูดแก้เก้อให้ตนเองอย่างไร
“เจ้าอยู่ที่เรือนเหตุใดไม่ดูแลนางเสียหน่อย ไม่ใช่สะใภ้สาวรุ่นแล้วนะ จะมองเง้างอนกันเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงที่นั่งอยู่ข้างหลังไม่เอ่ยคำใด
นายใหญ่เฉิงกระแอมขึ้นมา
“แล้วหมอว่าอย่างไร” เขาถาม
แม่นมยกมือโบกไปมา เหล่าแม่นมและสาวใช้ในห้องก็พากันออกไป เมื่อประตูถูกปิดลง ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของฮูหยินใหญ่เฉิงดังออกมา เหล่าแม่นมและสาวใช้ที่อยู่ริมระเบียงก็รีบพากันถอยหนีออกมา
“ก็ดีๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงเกินเรื่องวุ่นวายขึ้นได้” นายใหญ่เฉิงถามอย่างเหนื่อยหน่าย พลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฮูหยินใหญ่เฉิง
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“ดีเสียที่ไหนกัน สองผัวเมียนั่นคิดอะไรอยู่ท่านก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าจะอยู่เป็นสุขได้อย่างไร มีแต่สายตาจับจ้องมาที่พวกเรา เหมือนกับพวกเราไปกินเลือดกินเนื้อพวกเขามิปาน จ้องจะกัดกันอยู่ตลอดเวลา” นางเอ่ยสะอื้น “ยามนี้ได้ตัวเด็กบ้านนั่นกลับมา ก็เหมือนมีของดีอยู่ในมือ คงอยากจะปั่นป่วนให้ทั้งเรือนวุ่นวายจนทนไม่ไหวแล้วกระมัง”
เป็นเพราะเด็กบ้านั่นอีกแล้วหรือ
เรื่องที่เด็กบ้านั่นกลับมา นายใหญ่เฉิงย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่เก็บมาใส่ใจ
“เด็กบ้านั่นจะมีอะไร พวกเขาจะใช้เด็กบ้านั่นเล่นงานเราได้อย่างไร เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เรื่องหมั้นหมายก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ รีบจัดการให้เสร็จแล้วส่งตัวนางออกจากเรือนไป” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
พอพูดถึงเด็กบ้านั่น ฮูหยินใหญ่เฉิงก็หยุดร้องไห้ในทันใด
“นายท่าน มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง” นางเอ่ย “เมื่อวานมีคนมาจากเมืองหลวง บอกว่าจะมาสู่ขอเจียวเหนียง แถมยังเอาฤกษ์เกิดมาจากหลายตระกูลเชียวเจ้าค่ะ”
นายใหญ่เฉิงส่งเสียงเย้ยหยัน
“ก็แค่ละครตบตาของตระกูลโจว พวกนั้นจะไปหาคนดีๆ มาจากที่ไหนได้อีก” เอ่ยอย่างรู้ทันพลางยกชาขึ้นดื่ม
“เป็นคนจากจวนองค์หญิงตระกูลฉินเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
จวนองค์หญิงตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ!
นายใหญ่เฉิงพ่นน้ำชาพรวด
คนดีจริงๆ เสียด้วย!
…………………………