คนเช่นนี้น่ะหรือ ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว
“นางก็โดนหลอกหรือ” นางถาม
“ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะฮูหยิน นางเพิ่งมาได้สามวัน นี่ก็เพิ่งออกจากประตูเรือนเป็นครั้งแรก” แม่นมเอ่ยค้านในทันใด
ก็จริงอย่างที่ว่า
ฮูหยินใหญ่เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง
“เช่นนั้น เขาหน้าตาอย่างไร” นางหลับตาลงก่อนจะเอ่ยถาม
แม่นมสีหน้ากระอักกระอ่วน
ถะ…ถามเช่นนี้ก็เหมือนถามว่าเฉิงเจียวเหนียงเป็นคนอย่างไรมิปาน…
“ฮูหยิน หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจหรอกเจ้าค่ะ คนเช่นนั้น…” นางเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินใหญ่เฉิงส่งเสียงฮึดฮัด
คนเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า แม้แต่คนบ้า… คนเคยบ้ายังหายดีได้เลย คงแตกต่างจากคนทั่วไปเป็นแน่ อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร ทุกอย่างก็เป็นแค่เปลือกที่ห่อหุ้มเท่านั้น
“จับตาดูไว้ให้ดี อย่าให้นางออกเรือนไปทำเรื่องขายหน้าเด็ดขาด” นางเอ่ย
หากต้องจับตาดูนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่จะห้ามปรามได้ทันหรือไม่ต่างหากคือปัญหา
แม่นมสีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อยก่อนจะก้มหน้าขานรับ
ฮูหยินใหญ่เฉิงโบกมือ เหล่าแม่นมก็รีบพากันออกไป ผ้าม่านถูกปลดลง ไฟตะเกียงถูกดับ จากนั้นทั้งห้องก็เข้าสู่ยามราตรีอันเงียบสงบ ทว่าแม้ฮูหยินใหญ่เฉิงจะปิดตาลง แต่ก็ยากจะหลับใหลเหมือนเคย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จนนางได้แต่ว้าวุ่นใจ
ฮูหยินใหญ่เฉิงทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าแล้วพลิกตัว
ฮูหยินรองเฉิงที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมาก็ได้ยินเหล่าแม่นมกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ ทว่านางที่เดินยิ้มเข้ามากลับไม่มีท่าทีร้อนใจเลยสักนิด
“ตามหาคนอย่างนั้นหรือ ก็ตามหาไปสิ เจียวเหนียงของเราอยากจะตามหาผู้ใดก็หาไปเถิด” นางเอ่ย
เหล่าแม่นมยิ้ม
“ฮูหยินเจ้าคะ เหมือนจะพบแม่นมตระกูลฉินแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินรองเฉิงเม้มปากยิ้ม
“ข้าก็แค่ไปเดินตามร้านค้า ไปดูว่ามีผ้าแบบใหม่มาบ้างหรือไม่ จู่ๆ ก็มีคนมีขวางไว้ ยื้อให้ข้าคุยด้วยอยู่ครึ่งค่อนวัน” นางแสร้งทำเป็นจนใจ ทว่าในแววตากลับฉายแววแห่งรอยยิ้มอย่างปิดไม่มิด
“แล้วเป็นอย่างไรเล่า” แม่นมที่สนิมสนมกันไม่ได้ตามไปด้วยจึงเอ่ยถามขึ้น
ฮูหยินรองยิ้มบาง
“ข้าก็เป็นแค่นายหญิงของเรือนนี้ ไม่รู้ว่าพวกนางจะเชื่อได้หรือไม่ รอนายรองกลับมาค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน” นางเอ่ยพลางหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเรื่องหมั้นหมายของลูกสาวคนโตของนายรอง ข้าไม่ยุ่งจะดีกว่า”
นางเน้นย้ำคำว่าลูกสาวคนโตของนายรอง
เหล่าแม่นมเข้าใจในความหมายก็พากันหัวเราะจนตัวงอ
“เช่นนั้นก็ยินดีกับฮูหยินล่วงหน้านะเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พูดจาเหลวไหล ออกไปได้แล้ว ออกไปได้แล้ว” นางแสร้งโบกมือไล่ออกไม่สบอารมณ์ ทว่าพูดไปตนเองกลับเผลอหัวเราะออกมา
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตระกูลโจวจะวางแผนการใหญ่โตถึงเพียงนี้! ถึงว่าล่ะพวกเขาถึงไม่ตามตอแยเรื่องสินเดิมอีกต่อไป ที่แท้ก็เห็นเส้นสายสำคัญกว่า!
พอมีเส้นสายแล้ว ทั้งยังเป็นเส้นสายที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้มีบุญวาสนาได้พบเจอ นับแต่นี้เป็นต้นไปตระกูลของนาง ก็จะไม่ใช่ตระกูลธรรมดาอีกต่อไป เงินทองช่างหัวมันประไร มีเส้นสายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ใครหน้าไหนจะกล้ามาแย่งสินเดิมไปจากนาง
ไม่ใช่แค่สินเดิม แต่ในวันหน้าหากมีเส้นสายนี้แล้ว ลูกหลานของนางก็จะได้แต่งงานกับคนดีๆ
ว่าแต่จะเลือกคนจากตระกูลฉินขององค์หญิงดี หรือว่าตระกูลขุนนางฝ่ายพิธีการ หรือว่าตระกูลขุนนางผู้ตรวจการดีล่ะ
เหล่าแม่นมล้อมกันเข้ามาถอดปิ่นปักผมของนางออก ทว่าฮูหยินรองเฉิงที่เปลี่ยนชุดนอนแล้วกลับไม่มีท่าทีว่าจะนอนหลับแต่อย่างใด
จะนอนหลับลงได้อย่างไรเล่า นางแทบอยากจะให้พรุ่งนี้มาถึงภายในพริบตา พอนายรองเฉิงกลับมาแล้วก็จัดการเรื่องนี้เสียให้เรียบร้อย!
ทว่าคนที่นอนไม่หลับในคืนนี้ไม่ได้มีแค่นาง ฮูหยินหวังที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าสักเพียงใดทว่ากลับข่มตานอนไม่ลง ยิ่งเห็นลูกชายที่ดีอกดีใจจนกระโดดโลดเต้น ก็รู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ทำเพื่อข้าได้ทุกอย่าง” เขาเอ่ยหน้ายิ้มแป้น
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเสียหน่อย” ฮูหยินหวังฝืนยิ้มออกมา
“นั่นสิขอรับ นั่นสิขอรับ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพยักหน้าก่อนจะมองไปที่ฮูหยินหวัง “โธ่ ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าท่านถึงไม่สู้ดีเช่นนี้…”
ฮูหยินหวังยกมือขึ้นมาปิดหน้าอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกที่นางหลอกลูกชายของตน แน่นอนว่าต้องมีพิรุธ จะซ่อนอย่างไรก็คงปิดไม่มิด…
“หลายวันมานี้ท่านแม่ต้องเทียวไปเทียวมาเพื่อข้า ถึงได้เหนื่อยล้าเพียงนี้” ท่านชาวหวังสิบเจ็ดคุกเข่านั่งลง ก่อนจะคำนับให้อย่างเป็นห่วงเป็นใย “ท่านแม่รีบเข้านอนเถิด”
ฮูหยินหวังถอนหายใจ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับดูข่มขื่นยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าก็รีบเข้านอนเถิด” นางเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดดีใจจนกระเด้งตัวยืนขึ้น
“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปนอนเช่นกัน ข้าเองก็ไม่ได้หลับอย่างไร้กังวลมานานแล้ว” เขาเอ่ยพลางกระโดดโลดเต้นเดินออกไป
“หลับฝันดี หลับฝันดี”
ภายในเรือนยังคงได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจของเขา พอเสียงนั้นค่อยๆ ไกลออกไป ฮูหยินหวังที่อยู่ในห้องก็ล้มตัวทรุดลงในทันที
มีเสียงดังขึ้นจากประตูข้าง นายใหญ่หวังเดินเข้ามาในห้อง
“เจ้าจะปิดบังเขาไปถึงเมื่อใด” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า
“จะไม่ให้ปิดบังได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านดูชายสิบเจ็ดดีอกดีใจเสียแทบบ้า หากรู้เรื่องเข้า… คงจะกลายเป็นบ้าไปจริงๆ” ฮูหยินหวังเอ่ยพลางทอดถอนใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมานวดขมับ
“เพียงแต่เดือนหน้าก็ต้องแต่งแล้ว เรื่องเช่นนี้จะปิดบังคนเป็นเจ้าบ่าวได้อีกนานสักเท่าไหร่” นายใหญ่หวังยิ้มเอ่ย “ก็ยังดีไม่ได้เป็นเจ้าสาว ถึงเวลานั้นหากไม่ยินยอม ก็จับมือแล้วส่งตัวเข้าห้องหอเสียก็จบ”
“ปิดได้อีกกี่วันก็ตามนั้น” ฮูหยินหวังเอ่ยอย่างว้าวุ่นใจ
“อย่ากังวลไปเลย เขาก็แค่ตกใจ ไม่กี่วันก็คงจะลืม ลองโน้มน้าวอีกสักหนก็คงยอม ก็แค่สู่ขอภรรยา ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงชีวิตเสียหน่อย” นายใหญ่หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ดูท่าทางพึงพอใจ ไม่กังวลเลยสักนิด
แต่หากเขาไม่ยินยอมนี่สิ ฮูหยินหวังนวดขมับยิ้มเจื่อน
“เป็นเพราะเจ้าตามใจเขามากเกินไป เอาล่ะ เอาล่ะ เหนื่อยมามากแล้ว รีบเข้านอนเถิด” นายใหญ่หวังเอ่ยพลางเดินเข้าไปในห้องนอน
หลับลงก็แปลกแล้ว ฮูหยินหวังถอนหายใจนั่งอยู่เช่นนั้นไม่ไหวติง
เหตุใดเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ฮูหยินหวังคิดแล้วคิดเล่านับร้อยหนก็ยังคงคิดไม่ออก
ยามค่ำคืนอันมืดมิน ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัด เพราะริมสระบัวมีกองหินมากมาย กระแสลมที่พัดมาจึงแปลกไปจากที่อื่นนัก
เสียงลมพัดต้นไม้ดังลอดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง ปั้นฉินลืมตาขึ้น
เรือนริมน้ำเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ในยามฤดูหนาวจริงๆ หากนายหญิงจะอยู่ที่นี่อีกนานคงต้องหาเรือนอื่นแล้ว
ปั้นฉินกระชับเสื้อให้แน่นขึ้นก่อนจะลุกขึ้นถือตะเกียงแล้วแหวกม่านออก พอหันไปมองที่เตียงก็สะดุ้งตกใจจนเกือบจะเผลอร้องออกมา
เจียวเหนียงที่มักจะหลับสนิทอยู่เสมอกลับนั่งอยู่บนเตียงท่ามกลางความมืดแล้วหันมองมา แสงสะท้อนจากตะเกียงตั้งพื้นที่มุมห้องยิ่งทำให้ดวงตาดำขลับนั้นเปล่งประกายเสียงยิ่งกว่ายามกลางวัน
“นายหญิง ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถือจะเกียงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถามในทันใด “ต้องการอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้านอนไม่หลับน่ะ” นางตอบก่อนจะส่งยิ้มบางให้
นอนไม่หลับอย่างนั้นหรือ ปั้นฉินตกใจยิ่งนัก
ที่เป็นครั้งแรกที่นายหญิงนอนไม่หลับอย่างน่าประหลาด แต่ก่อนไม่ว่าจะพบเจอกับเรื่องใด ไม่ว่ายามที่ถูกราชเลขาหลิวข่มขู่ หรือยามที่เหล่าท่านชายจะถูกประหาร การนอนหลับของนางก็ไม่เคยถูกรบกวน
ปั้นฉินนั่นลงคุกเข่าลงบนพื้น
“นายหญิง” นางเงยหน้าขึ้นถาม “คนผู้นั้น นายหญิงรู้จักหรือเจ้าคะ”
……………………………..