ตอนที่ 209-2 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย

ชายาเคียงหทัย

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อเห็นว่า แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอยู่ในมือม่อซิวเหยาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ จากข่าวที่พวกเราได้มา…ดูเหมือนตำหนักติ้งอ๋องจะให้คนลอบออกตามหาคนที่ชื่อหลินย่วน และดูจะมีความเกี่ยวข้องกับแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หลินย่วน? หลิน…” เจิ้นหนานอ๋องใคร่ครวญอย่างใช้ความคิด

 

 

เหลยเถิงเฟิงเอ่ยว่า “หลินเป็นแซ่แห่งแคว้นของราชวงศ์ก่อน หลินย่วนผู้นี้มีอีกชื่อว่าถานจี้จือ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ที่ซีเป่ย เขาคิดอยากจับตัวชายาติ้งอ๋องไปเพื่อใช้ข่มขู่ติ้งอ๋อง แต่ไม่รู้ว่าข่าวเล็ดรอดไปได้อย่างไร จึงถูกติ้งอ๋องจับไปได้ ต่อมาม่อซิวเหยาปล่อยเขาไป แต่เขากลับหายตัวไปต่อหน้าต่อตาผู้คน ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีข่าวเรื่องแท่นประทับตราหยกอยู่กับตำหนักติ้งอ๋องแพร่ออกมา ไม่เพียงตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น แต่ม่อจิ่งฉีก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่เช่นกัน”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องนิ่งไตร่ครองอยู่ครู่ใหญ่ “ถานจี้จือผู้นี้ข้าพอจะจำเขาได้อยู่บ้าง ซูจุ้ยเตี๋ยเคยพูดถึงเขา เขาเป็นบุตรกำพร้าของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อน”

 

 

“บุตรกำพร้าของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อน?” เหลยเถิงเฟิงเบ้ปากอย่างไม่คิดเห็นเช่นนั้น ราชวงศ์ก่อนล่มสลายมาถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว ยังมีผู้ใดมาสนใจว่าเขาจะเป็นลูกกำพร้าไม่ลูกกำพร้าอีก หากคิดเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะมีลูกกำพร้าที่หลงเหลือมาจากทุกราชวงศ์อีกสักกี่คน

 

 

ทุกคราที่มีการเปลี่ยนราชวงศ์ อย่างไรก็ต้องมีลูกหลานของเชื้อพระวงศ์จำนวนไม่มากก็น้อยที่เล็ดรอดมาอยู่เป็นคนธรรมดาสามัญ แต่จะมีผู้ใดที่สามารถฟื้นฟูแคว้นได้สำเร็จ คำกล่าวที่ว่า บีบคั้นตนเองเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและลบล้างการถูกหยามเกียรตินั้น ที่สามารถเอ่ยต่อๆ กันมาเป็นพันปี ก็เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น

 

 

“เสด็จพ่อรู้ถึงฐานะของถานจี้จือนานแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องดูจะไม่เห็นถานจี้จืออยู่ในสายตา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เขาจะเป็นทายาทของราชวงศ์ก่อนหรือเป็นทายาทของขุนนางทรยศ สำหรับพวกเราแล้วไม่มีอันใดสำคัญทั้งสิ้น ขอแค่เขาสามารถช่วยม่อซิวเหยาต่อสู้กับตำหนักติ้งอ๋องได้ สำหรับพวกเราถือว่ามิใช่ศัตรู ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าย่อมจะช่วยเก็บเรื่องฐานะของเขาไว้เป็นความลับ ช่างน่าเสียดาย…ซูจุ้ยเตี๋ยนังผู้หญิงคนนั้น! ในเมื่อบอกเรื่องฐานะของเขากับข้าได้ แล้วนางจะไม่บอกผู้อื่นหรือ”

 

 

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเสด็จพ่อคิดว่า แท่นประทบหยกสืบทอดแคว้นอยู่ในมือผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นเหนานอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง “ด้วยนิสัยของคนตำหนักติ้งอ๋อง แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมิได้มีความสำคัญกับพวกเขาเท่าไรนัก ม่อซิวเหยาผู้นี้ มีความทระนงตนเสียยิ่งกว่าม่อหลิวฟางเมื่อในอดีตเสียอีก เขาไม่คิดจะใช้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมาทำให้ชื่อเสียงของกองทัพตระกูลม่อโด่งดังขึ้นหรอก”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเอ่ยว่า “ความหมายของเสด็จพ่อคือ…”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องโบกมือ “ไม่ แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น ไม่แน่ว่าจะอยู่ในมือม่อซิวเหยา แต่ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ในมือถานจี้จือจริงๆ ดังนั้นการเดินทางครานี้…ไปซีเป่ยอย่างไรพวกเราก็ต้องไป” อย่างน้อยก็มิอาจให้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นตกไปอยู่ในมือผู้อื่น

 

 

“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหลยเถิงเฟิงพยักหน้า “เสด็จพ่อเตรียมจะเดินทางไปหรู่หยางด้วยตนเอง?”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า “เจ้าไปกับข้าด้วย ช่วงนี้ที่ซีหลิงก็มิได้มีงานสำคัญอันใด”

 

 

“ลูกรับบัญชา”

 

 

 

 

ภายในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงของต้าฉู่ บรรยากาศดูหนักอึ้งขึ้นไปอีก ม่อจิ่งฉีโกรธจนหน้าดำคล้ำ โยนจดหมายเชิญทิ้งไปเสียไกล “ม่ออวี้เฉิน! ม่ออวี้เฉินตัวดี! ม่อซิวเหยา เจ้าช่างดีเหลือเกิน…”

 

 

คนที่ได้รับจดหมายเชิญถึงได้เข้าวังมาอย่างม่อจิ่งหลี เมื่อก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก็เห็นจดหมายเชิญที่มีตราตำหนักติ้งอ๋องลอยมาต้อนรับพอดี จึงรีบยกมือขึ้นรับไว้

 

 

ม่อจิ่งหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เสด็จพี่ ผู้ใดทำให้ท่านทรงพิโรธเช่นนี้กัน”

 

 

เมื่อเห็นพี่น้องร่วมมารดา สีหน้าม่อจิ่งฉีก็ยิ่งดูย่ำแย่ขึ้นไปอีก เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเข้ามาทำอันใดในวัง”

 

 

ม่อจิ่งหลีอมยิ้ม หยิบจดหมายเชิญอีกฉบับหนึ่งออกมา “ข้ามาถวายพระพรเสด็จแม่ อีกอย่าง…ดูท่าเสด็จพี่ก็คงได้รับจดหมายเชิญจากติ้งอ๋องเช่นกัน เสด็จพี่คิดจะทำเช่นไร”

 

 

ระหว่างที่พูดเขาก็เปิดจดหมายเชิญไปด้วย เมื่อเห็นชื่อซื่อจื่อของตำหนักติ้งอ๋องที่เขียนอยู่บนจดหมายเชิญลายมังกรโบยบินหงส์เริงระบำว่า…ม่ออวี้เฉิน อวี้เฉิน…ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ ม่อซิวเหยา ในที่สุดเจ้าก็อดรนทนไม่ไหวแล้วหรือ

 

 

ม่อจิ่งฉีมองน้องชายด้วยสายตาเย็นเยียบ น้องชายเขาผู้นี้ ตั้งแต่กลับมาจากทางใต้ดูจากฉลาดเฉลียวและรับมือได้ยากยิ่งขึ้น หากมิใช่เพราะเขาเกิดรู้แจ้งขึ้นมากะทันหัน เช่นนั้นก็คงมีผู้ยิ่งใหญ่คอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง “เจ้าคิดจะทำเช่นไร เมื่อม่อซิวเหยาถึงขั้นให้คนส่งจดหมายเชิญมาให้เจ้าแล้ว เจ้าคิดจะไปหรือไม่”

 

 

ม่อจิ่งหลียิ้ม “จดหมายเชิญที่ติ้งอ๋องส่งออกมาด้วยตนเอง กระหม่อมจะกล้าไม่ไปได้อย่างไร เสด็จพี่คิดจะส่งของขวัญอันใดให้ติ้งอ๋องซื่อจื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึอย่างเยาะหยัน แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มประสงค์ร้ายออกมา “เจ้าควรต้องไปจริงๆ เพราะถึงอย่างไรเยี่ยหลีนั่นกับเจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้ากัน ทั้งยังเป็นพี่สาวของชายาหลีอ๋องอีกด้วย”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าม่อจิ่งหลีก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที แค่เพียงคิดถึงชายาที่อยู่ในจวนของตนอย่างเยี่ยอิ๋ง ที่เป็นแต่ร้องไห้ ออดอ้อน คร่ำครวญแล้ว แล้วมานึกถึงเยี่ยหลีที่สามารถไปออกรบ สามารถอยู่ในราชสำนัก และเบื้องหลังก็ยังมีตระกูลสวีคอยสนับสนุนแล้ว ทุกคราที่ม่อจิ่งหลีนึกถึงว่าเยี่ยหลีเคยเป็นอดีตคู่หมั้นของตน ก็อดรู้สึกปวดท้องขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่ได้

 

 

หากแรกเริ่มเดิมทีเขาแต่งงานกับเยี่ยหลี สถานการณ์จะเป็นเช่นไร ด้วยความสามารถของเยี่ยหลีที่สามารถทำศึกเอาชนะเจิ้นหนานอ๋องได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่จำเป็นต้องคอยดูเชิงอยู่เหนือใต้กับเสด็จพี่ของเขาผู้นี้ แต่สามารถบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงเลยก็เป็นได้

 

 

แล้วยังมีสวีชิงเฉินนั่นอีก เขาคอยหาเรื่องวุ่นวายให้เขาที่ทางใต้ไม่รู้ตั้งเท่าไร หากชายาของเขาคือเยี่ยหลี สวีชิงเฉินไม่เพียงจะไม่คอยหาเรื่องเขา แต่อาจกลับกลายเป็นช่วยเขาด้วยซ้ำ และถึงขั้นไม่แน่ว่าอาจสามารถช่วยเขายึดหนานจ้าวได้ด้วย ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่ทุกอย่างต้องถูกหนานจ้าวคอยควบคุมเช่นนี้!

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมากะทันหันของม่อจิ่งหลี อารมณ์ของม่อจิ่งฉีก็ดีขึ้นมากทันที เลิกคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าจะไป จะพาชายาหลีอ๋องไปด้วยก็ได้ จะได้ไปพูดคุยเรื่องเก่ากับเยี่ยหลีเสียด้วยเลย”

 

 

ม่อจิ่งหลีกัดฟัน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ชี้แนะ ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอตัวไปเตรียมตัวก่อนก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ ดูว่าเวลาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว พรุ่งนี้จะรีบออกเดินทางไปซีเป่ยแต่เช้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีพยักหน้า “เจ้าไปเถิด”

 

 

เมื่อม่อจิ่งหลีออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อจิ่งฉีก็หายวับไปในพริบตา ม่อจิ่งหลีคิดหรือว่าเขาไม่รู้ ว่าเขาคิดอยากไปทำอันใดที่ซีเป่ย ไปอวยพรบุตรชายของม่อซิวเหยาที่มีอายุครบเดือนหรือ หึ! ม่อจิ่งหลีมีแต่จะคิดอยากให้บุตรชายของม่อซิวเหยาตายไปเร็วๆ เสียยิ่งกว่าเขาเสียอีก ด้วยเพราะมารดาของเด็กผู้นั้นเป็นอดีตคู่หมั้นของเขา การมีอยู่ของเยี่ยหลี มีแต่จะบอกให้ทั่วทั้งใต้หล้ารู้ว่า เขา หลีอ๋อง มีตาแต่หามีแววไม่

 

 

คิดอยากไปซีเป่ยเพื่อตามหาแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นหรือ ม่อจิ่งหลี ความหิวกระหายของเจ้าจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ!

 

 

“ฝ่าบาท?”

 

 

“มีข่าวเรื่องที่อยู่ของถานจี้จือหรือยัง” ม่อจิ่งหลีหันมองชายในชุดเทาที่คุกเข่าอยู่กลางตำหนัก แล้วเอ่ยถามเสียงเย็นขึ้น

 

 

“ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย ยามนี้ยังไม่ทราบที่อยู่ของถานจี้จือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เพล้ง! ม่อจิ่งฉีคว้าแท่นฝนหมึกขึ้นมาขว้างลงไปทันที ชายในชุดเทาย่อมไม่กล้าหลบ แท่นฝนหมึกขว้างถูกเข้ากับหัวไหล่ของเขาอย่างจัง ก่อนหล่นลงกับพื้น ชายในชุดเทาส่งเสียงอึ้กออกมาเบาๆ “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย!”

 

 

“เจ้าพวกเศษสวะ! ไปตามหาต่อ ต่อให้ต้องขุดลงไปลึกสามฉื่อ ก็ต้องหาตัวถานจี้จือมาให้ข้าให้ได้!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”