ตอนที่ 210-1 พี่น้องได้พบหน้า

ชายาเคียงหทัย

อีกหลายวันกว่าจะถึงวันงานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อ แต่เมืองหรู่หยางกลับครึกครื้นขึ้นก่อนแล้ว ด้วยเพราะสงครามที่เกิดขึ้นในเขตซีเป่ยเมื่อปีที่แล้ว ทำให้พ่อค้าจำนวนมากหลบหนีเข้าไปอยู่ภายในด่าน จึงทำให้การค้าภายในเขตซีเป่ยทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง และถึงขั้นถดถอยลงด้วยซ้ำ

 

 

ครานี้ ม่อตัวน้อยเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่เท่าไร ตำหนักติ้งอ๋องก็ออกประกาศอย่างอาจหาญว่าจะจัดงานเฉลิมฉลองให้ซื่อจื่อน้อย และยิ่งด้วยเพราะทรัพย์สมบัติและแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นของราชวงศ์ก่อน ยิ่งทำให้มีผู้คงหลั่งไหลกันเข้ามาในเขตซีเป่ยไม่ได้หยุด ชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน เมืองหรู่หยางก็ค่อยๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง

 

 

ก่อนหน้านี้เมืองใหญ่อันดับหนึ่งของซีเป่ยอย่างซิ่นหยาง ถูกเผาวอดจนกลายเป็นทะเลเพลิง และยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหรู่หยาง ทำให้เมืองหรู่หยางดูจะค่อยๆ กลายเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของซีเป่ย

 

 

ชาวบ้านภายในเมืองก็เตรียมปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนของตน ให้พร้อมต้อนรับแขกที่ถูกเชิญมาจากทั่วทุกสารทิศ และอาศัยโอกาสนี้ในการหารายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ

 

 

ตำหนักติ้งอ๋อง ด้วยเพราะมีคนของตระกูลสวีเข้ามาเพิ่มเติม ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีจึงรู้สึกเบาแรงลงไปไม่น้อย คนตระกูลสวี นอกจากท่านชิงอวิ๋นที่อายุมากแล้ว จึงเพียงใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอยู่ในตำหนัก และคอยไปเยี่ยมเยียนซูเจ๋อที่พักรักษาตัวอยู่ในตำหนักเท่านั้น แต่ตั้งแต่สวีหงอวี่ สวีหงเยี่ยน ไปจนถึงคุณชายทั้งห้าของตระกูลสวี ไม่เว้นแม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดอย่างสวีชิงเหยียน ก็ยังมาคอยติดตามช่วยเหลือสวีชิงป๋อได้ไม่น้อย

 

 

สวีหงอวี่และสวีชิงเฉิน เดิมก็เป็นอัจฉริยะมากความสามารถของยุคอยู่แล้ว เมื่อมีพวกเขาอยู่ ม่อซิวเหยาจึงโยนงานกว่าครึ่งของซีเป่ยไปให้พวกเขาทันทีอย่างไม่เกรงใจ วันคืนของเขาจึงเบาสบายลงมาก

 

 

“หลีเอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นคนเขียนหรือ” ภายในห้องหนังสือที่กว้างขวาง โต๊ะหนังสือหลายตัววางติดๆ กันจนกลายเป็นโต๊ะใหญ่ บนโต๊ะมีเอกสารและม้วนกระดาษจำนวนมากวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีคนจำนวนหนึ่งนั่งล้อมรอบโต๊ะจัดการม้วนเอกสารในมือพลางคอยพูดคุยกันเป็นระยะๆ

 

 

ถึงแม้ทุกคนต่างมีห้องหนังสือเป็นของตนเอง แต่ตามปกติก็มักชอบที่จะมาจัดการงานกันภายในห้องหนังสือกลางเสียมากกว่า เพราะทั้งไม่เงียบเหงาและไม่น่าเบื่อ ในยามที่คิดอันใดไม่ออก ก็ยังสามารถเรียกหาความเห็นจากผู้อื่นได้อีกด้วย

 

 

เมื่อครู่เป็นสวีชิงเฉินที่เงยหน้าขึ้นถาม ในมือถือเอกสารเกี่ยวกับแผนการค้าภายในซีเป่ย

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นจากฎีกาในมือ มองสวีชิงเฉินด้วยสีหน้างงงวย ด้วยไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องใด

 

 

ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายนาง ปรายตามองทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เกี่ยวกับแผนพัฒนาการค้าภายในซีเป่ย”

 

 

“อ้อ…ข้าเขียนเองเจ้าคะ” เยี่ยหลีถึงได้นึกออก เอ่ยด้วยความขัดเขินว่า “อันที่จริงข้าก็มีเพียงความคิดคร่าวๆ เท่านั้น ข้าไม่คุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้สักเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้มิได้บอกว่าจะให้หมิงซีกับเหลิ่งเอ้อร์ไปจัดการหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เหลิ่งเอ้อร์กลับเข้าด่านไปแล้ว หากหานหมิงซีคนเดียวต้องจัดการเรื่องในซีเป่ย แล้วยังต้องจัดการงานในหนานจ้าวและเป่ยหรงอีก คงจะจัดการคนเดียวไม่ไหว จึงยังเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน”

 

 

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นหันมองไปทางสวีชิงเฉิน สวีชิงเฉินยื่นของในมือส่งให้สวีหงอวี่ ทุกคนจึงหันมองตามไปทางสวีหงอวี่ ที่พยักหน้าด้วยความชื่นชมว่า “ความคิดของหลีเอ๋อร์ช่างแปลกใหม่ไม่เหมือนผู้ใดยิ่งนัก สามารถเอาไปลองดู อาจจะเป็นไปได้”

 

 

ตระกูลสวีถึงแม้จะเป็นตระกูลบัณฑิต แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นคนยึดติดกับอะไรเดิมๆ ย่อมเข้าใจดีว่าเรื่องการค้าขายสำหรับเมืองเมืองหนึ่งแล้ว มีความหมายเช่นไร เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของพื้นที่ทางจงหยวนและเจียงหนานแล้ว ซีเป่ยไม่ถือว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่ง แม้แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารก็ยังขาดแคลน หากไม่ลองหาลู่ทางใหม่ๆ คงมีสักวันที่กองทัพตระกูลม่อค่อยๆ ล่มสลายไปเพราะความอัตคัดของซีเป่ย

 

 

แรกเริ่มเดิมที เมื่อเห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาพากันไปไหนมาไหน คอยจัดการเรื่องการบริหารด้านการปกครองและการบริหารกองทัพตระกูลม่ออยู่ทุกวันแล้ว ทำให้ผู้คนอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าผู้บัญชาการทหารตระกูลม่อทุกคนต่างเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ก็กลับทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ

 

 

หลีเอ๋อร์มีสติปัญญาและความสามารถที่เพียงพอ ที่สำคัญที่สุดคือ ติ้งอ๋องยินดีให้ความเชื่อใจแก่นาง และให้พื้นที่ในการแสดงความสามารถของนาง ซึ่งทำให้ทุกคนในตระกูลสวีรู้สึกดีกับม่อซิวเหยาขึ้นมาก

 

 

ม้วนเอกสารนั้นถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ สวีชิงป๋อเป็นคนที่สนใจในแผนการนี้เป็นที่สุด เดิมทีที่เขาถูกส่งตัวไปอยู่ทางซีหนาน ก็กำลังเตรียมตัวที่จะขยายที่ทางของตนอยู่พอดี แต่กลับถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงมาเสียก่อน ยามนี้เมื่อได้เห็นแผนฉบับนี้ ก็ให้นึกถึงความตั้งใจเมื่อครั้งอยู่ที่ซีหนานขึ้นมาติดหมัด “หลีเอ๋อร์ เจ้ามีความคิดเช่นไร”

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมาที่ตน เยี่ยหลีก็ได้แต่วางฎีกาในมือลง สั่งให้จั๋วจิ้งนำแผนที่ฉบับหนึ่งขึ้นมาแขวนไว้บนกำแพง พร้อมทั้งเรียกให้คนนำน้ำชาถ้วยใหม่มาให้

 

 

นางเรียบเรียงความคิดและคำพูดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “พื้นที่ของซีเป่ยมีไม่ถึงหนึ่งในหกของต้าฉู่ จำนวนประชากรยิ่งไม่ถึงหนึ่งส่วนของต้าฉู่ ถึงแม้หงโจวจะได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของซีเป่ย แต่หากเทียบกับจงหยวนหรือเจียงหนาน หรือแม้แต่ซีหนานที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์ ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ หากเป็นยากปกติก็คงไม่เป็นอันใด พวกเราเพียงซื้อเสบียงอาหารจากภายนอกจำนวนเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูชาวบ้านและทหารในซีเป่ยได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเราก็คือ เราต้องเผชิญศึกกับทัพใหญ่จากต้าฉู่ เป่ยหรงและซีหลิงพร้อมๆ กัน ซึ่งมีจำนวนกว่าสามล้านนาย แต่ถึงแม้จะไม่เกิดศึกสงคราม แต่แเค่เพียงทั้งสามแคว้นพร้อมใจกันปิดช่องทางการซื้อเสบียงอาหารหรือทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของซีเป่ย ต่อให้ซีเป่ยไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากโดยทันที แต่ก็มีแต่จะยากจนลงเรื่อยๆ และเช่นเดียวกัน กองทัพตระกูลม่อก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ และคงจะสูญสลายไปในเวลาอันรวดเร็ว”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป สิ่งที่เยี่ยหลีพูดทั้งหมดล้วนเป็นความจริง คนที่นั่งอยู่ทั้งหมดมิใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่ไม่เคยนำข้อมูลทั้งหมดออกมากางให้เห็นโดยละเอียดเท่านั้น เพราะยิ่งชัดเจนเท่าไรก็มีแต่จะยิ่งทำให้ตื่นตระหนก

 

 

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากพวกเราเริ่มบุกก่อนเพื่อขยายอาณาเขตของซีเป่ยเล่า”

 

 

สวีหงอสวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่…พื้นที่ทางซีหลิงเองก็แร้นแค้นอยู่แล้ว เสบียงอาหารของพวกเขา โดยมากก็มาจากต้าฉู่ หนานจ้าวและแคว้นต่างๆ ทางตะวันตก ส่วนเป่ยหรงก็มีพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ คนเป่ยหรงกินวัวและแพะเป็นอาหารหลัก ส่วนต้าฉู่…คงยังทำอันใดไม่ได้เป็นการชั่วคราว เมื่อใดก็ตามที่กองทัพตระกูลม่อลงมือโจมตีต้าฉู่ ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ซีหลิง เป่ยหรงและหนานจ้าวจะสร้างปัญหาให้กองทัพตระกูลม่อพร้อมๆ กัน อันที่จริงด้วยความเก่งกาจของกองทัพตระกูลม่อ สิ่งที่แม่ทัพเฟิ่งเอ่ย ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่คงจะเสียหายอย่างหนัก ข้าคิดว่า สิ่งที่หลีเอ๋อร์คิดคงจะเป็นการวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ถูกแล้ว หากเราทำให้ซีเป่ยต้องเสียหายหนักเกินไป สุดท้ายคนที่ต้องคอยเก็บกวาดเรื่องเหล่านี้ก็มีแต่พวกเราด้วยกันเอง นอกเสียจากว่า พวกเราจะสามารถยึดซีหลิงหรือเป่ยหรงมาเป็นพันธมิตรได้ภายในครึ่งปี มิเช่นนั้นแล้ว หากอีกฝ่ายเกิดลุกฮือขึ้นมา ก็เพียงพอจะทำให้กองทัพตระกูลม่อต้องเสียหายอย่างหนักได้”

 

 

กองทัพตระกูลม่อมิได้เป็นเพียงกองทัพกองทัพหนึ่ง พวกเขาดูเหมือนเก่งกาจหาใดเทียม แต่เอาเข้าจริงก็มีความอันตรายอยู่อย่างล้นหลาม ด้วเพราะไม่ว่าผู้ใดที่คิดอยากแย่งชิงแผ่นดินในใต้หล้าหรือคิดทำการใดก็ตาม หากมีพละกำลังที่ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ก็จะถูกคนมองข้ามไปโดยทันที หรือหากมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเพียงพอก็สามารถกวาดล้างทุกพื้นที่ได้

 

 

แต่กองทัพตระกูลม่อ แต่ไหนแต่ไรมาก็ถูกทุกคนวางให้อยู่ในตำแหน่งศัตรู ไม่ว่าจะเป็นซีหลิงหรือเป่ยหรง ก็ไม่มีผู้ใดยินดีที่จะร่วมมือกับกองทัพตระกูลม่อ หากสามารถเลือกได้ พวกเขาคงยินดีที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อขจัดกองทัพตระกูลม่อออกไปให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

 

 

สวีชิงเยี่ยนยืดตัวตรงและยื่นคอไปมองสิ่งที่อยู่ในมือสวีชิงป๋อ พลางเอ่ยถามว่า “พี่หลีเอ๋อร์คิดใคร่ครวญเรื่องมากมายเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วหรือ เช่นนั้นก็คงมีทางแก้ปัญหาได้แล้วสิ?”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ยิ้ม “คิดอยากแก้ปัญหาเหล่านี้ ไฉนเลยจะสามารถทำได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้สั่งให้คนไปสืบเรื่องสถานการณ์ภายซีเป่ยทั้งหมดมาแล้ว อันที่จริงนอกจากบริเวณโดยรอบเมืองหงโจว ก็มีในเขตกานโจว หรือก็คือทางตอนกลางของแม่น้ำหมิ่นเจียง ที่เป็นพื้นที่ราบกว้าง ไม่ว่าจะคุณภาพดินหรือคุณภาพน้ำก็ล้วนดีเลิศ เพียงแต่ที่นั่นอยู่ติดกับเป่ยหรง ดังนั้นจึงมีผู้คนอยู่เพียงน้อยนิดและไม่มีผู้ใดลงมือทำเกษตร”

 

 

สวีชิงป๋อเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ความหมายของหลีเอ๋อร์คือ จะให้ชาวบ้านย้ายเข้าไปเปิดพื้นที่ทำกินที่กานโจวหรือ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีกองทัพขนาดใหญ่ไว้คอยคุ้มกันทางชายแดน เพื่อกันไม่ให้คนเป่ยหรงสามารถเข้ามารุกรานได้ตลอดเวลา”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ยามนี้ยังมีกองทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนายที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำพอดี อีกอย่างถึงอย่างไรก็ต้องมีการขยายกองทัพตระกูลม่อ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนคอยรักษาการณ์”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “หากพวกชาวบ้านไม่สบายใจ จะให้กองทัพตระกูลม่อไปเปิดพื้นที่ทำเกษตรก่อนก็ยังได้ หรือจะให้ไปร่วมทำเกษตรกับชาวบ้านก็ได้เช่นกัน”

 

 

“ให้กองทัพตระกูลม่อไปร่วมทำเกษตรกับชาวบ้าน?” ทุกคนขมวดคิ้ว ต่างนึกคลางแคลงใจ

 

 

คิ้วคมของสวีชิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “ความคิดของหลีเอ๋อร์ไม่เลวเลยจริงๆ ทหารจำนวนหลายแสนนายดูจะยังไม่ต้องรีบไปทำศึกในเร็ววันนี้ ใช้ให้มาทำสวนก่อนก็ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพตระกูลม่อก็สามารถเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้เอง ทั้งยังสามารถลดภาษีให้กับชาวบ้านอีกได้ด้วย”

 

 

สวีชิงป๋อพยักหน้า เอ่ยถามด้วยความร้อนใจอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็นว่า “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์ แล้วที่เจ้าเขียนเรื่องศูนย์กลางทางการค้านี่เล่า เจ้าคิดไว้เช่นไรหรือ”

 

 

เยี่ยหลีนวดขมับเล็กน้อย เมื่อจัดระเบียบความคิดในหัวเรียบร้อยแล้วถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ในโลกนี้มิได้มีเพียงแคว้นต้าฉู่ เป่ยหรง ซีหลิง และหนานจ้าวเท่านั้น ทางด้านตะวันตกของซีหลิงยังมีแคว้นเล็กแคว้นน้อยอยู่อีกนับไมถ้วน และอาจมีแคว้นใหญ่ที่พวกเราไม่รู้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยเพราะเส้นทางที่ห่างไกล ทำให้คนทั่วไปไม่รับรู้ ซีเป่ยที่พวกเราอยู่ในขณะนี้ ตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีแคว้นต่างๆ อยู่รายรอบ หากเรานำของจากต้าฉู่ เป่ยหรงและหนานจ้าวไปขายยังแคว้นทางฝั่งตะวันตกผ่านทางซีหลิง และนำสินค้าจากอีกฝ่ายกลับมาขายให้ต้าฉู่หรือคนเป่ยหรง หรือจะชักจูงให้พ่อค้าของแคว้นเหล่านั้นเดินทางมา…หากผ่านไปนานๆ เข้า เมืองหรู่หยาง หรือแม้แต่ทั่วทั้งเขตซีเป่ย ก็จะกลายเป็นเขตพื้นที่สำคัญทางการค้าและการไปมาหาสู่กันของฝั่งตะวันออกและตะวันตก…”

 

 

สวีชิงป๋อเป็นคนหัวไว ย่อมเอ่ยแนะเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ จึงยิ้มเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์คิดจะเริ่มเมื่อใดหรือ นับข้าเข้าไปส่วนหนึ่งด้วยสิ”

 

 

“ข้าเอาด้วย!” สวีชิงเหยียนแต่ไหนแต่ไรมาก็ทำอันใดตามพี่สี่มาโดยตลอด จึงรีบยกมือแสดงความจำนงทันที

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องการเกษตรข้าได้ส่งคนจำนวนหนึ่งออกไปแล้ว ส่วนเรื่องการค้านั้น…พี่สี่ยังไม่มีประสบการณ์ จะลองถามจากหานหมิงซีกับเหลิ่งเฮ่าอวี่…”

 

 

เมื่อคิดถึงหานหมิงซีและเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ยุ่งจนตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแล้ว ก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย และเมื่อยิ่งคิดถึงใครบางคนที่ยามนี้ไม่รู้ไปหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ใด ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย ไม่น่าทำให้ซูจุ้ยเตี๋ยเสียชีวิตเร็วเช่นนั้นเลย มิเช่นนั้นแล้ว คงได้มีแรงงานเปล่าๆ ฝีมือดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน