หยางชูเงียบไปสักพัก เหลียงจางมองสีหน้าของเขาแล้วคิดในใจ ตอนนี้รู้ซึ้งถึงความลำบากแล้วหรือยัง ทหารม้าของหูเหรินพันนายหากเกิดการต่อสู้กันนั่นหมายถึงสงครามหากไม่มีความสามารถนั่นก็อยู่…
“ท่านอาเหลียง ข้าขอยืมป้ายคำสั่งนักรบเกราะเหล็กของท่านได้หรือไม่”
เหลียงจางคิดว่าตนเองได้ยินผิด “ท่านว่าอะไรนะ”
หยางชูพูดซ้ำ “ขอยืมป้ายคำสั่งนักรบเกราะเหล็กของท่านขอรับ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าหูของตนเองไม่ได้มีปัญหาเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”
นักรบเกราะเหล็กไม่ใช่กองทัพในปัจจุบัน แต่ต้นกำเนิดของมันสามารถสืบย้อนไปถึงตอนที่ไท่จู่บุกเข้ายึดอำนาจ
ฮ่องเต้ไท่จู่เคยมีพลทหารที่ดีที่สุดกลุ่มหนึ่ง และก่อตั้งนักรบเกราะเหล็ก กององครักษ์คนสนิทมีคนทั้งหมดเพียงสามพันคน แต่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบงานที่ยากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการจู่โจมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
หลังจากการก่อตั้งแคว้นฉี ทหารคนสนิทของฮ่องเต้ไท่จู่ได้กระจายตัวออกไปและเข้าร่วมแต่ละกองทัพ พวกเขาคือนักรบของฮ่องเต้เป็นดวงตาของฮ่องเต้ สืบสานจากพ่อสู่ลูก จากลูกสู่หลาน เป็นความจงรักภักดีอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่โดยไม่มีวันที่จะเสื่อมคลาย
โดยปกติพวกเขาจะเหมือนทหารกองอื่นๆ ปะปนอยู่ในค่ายทหาร แต่ตราบใดที่ถือป้ายคำสั่งที่ฮ่องเต้ประทานให้พวกเขาสามารถรวมตัวเป็นนักรบเกราะเหล็กใหม่ได้ตลอด
ในฐานะแม่ทัพฝ่ายขวาแน่นอนว่าเหลียงจางมีป้ายคำสั่ง แต่เขาไม่เคยใช้
น่าขัน ถึงแม้ฮ่องเต้จะประทานป้ายคำสั่งมาให้ แต่ผู้ใดก็ทราบดีว่าสิ่งนี้ใช่ว่าจะนำมาใช้ได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ช่วงวิกฤต หากฮ่องเต้ไม่มาคิดบัญชีกับเราก็จะจดจำเราไว้ในใจ
กองทัพขวาปกป้องประตูเป่ยเทียนเหมิน ประตูด่านนี้หูเหรินไม่สามารถเข้ามาได้จึงไม่จำเป็นต้องใช้
กองทัพฝ่ายซ้ายเคยใช้ไปครั้งหนึ่งเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน หูเหรินมาเคาะประตู ในตอนนั้นตระกูลจงดูแลอำนาจทางทหารโดยบิดาของจงซู่อีกทั้งยังเคยได้รับเชิญออกไป
ในการต่อสู้ครั้งนั้นนักรบเกราะเหล็กที่มีกำลังพลห้าร้อยนายโจมตีหวางถิง[1]โดยไม่รู้ตัว หลังจากแก้ไขการปิดล้อมช่องแคบไป๋เหมินทำให้ทุกคนจดจำชื่อนี้อีกครั้ง
แม้ว่าจะกระจัดกระจายไปแล้วสิบกว่าปีนักรบเกราะเหล็กก็ยังคงเป็นนักรบเกราะเหล็ก
เหลียงจางเป็นผู้นำกองทัพฝ่ายขวาจะบอกว่าเขาเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการนั้นไม่ได้พูดเกินจริง แต่เขาไม่กล้าทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายขุ่นเคือง
หนึ่งคือหน่วยอินทรีของหวงเฉิงซือ อีกหนึ่งคือนักรบเกราะเหล็ก
หยางชูเพิ่งใช้อย่างแรกขู่เขาตอนนี้ยังเรียกร้องขออย่างที่สองอีก!
เขามองหยางชูอย่างโกรธเคือง “ท่านอย่าคิดเลย แม้ท่านจะฆ่าข้า ข้าก็ไม่สามารถมอบป้ายคำสั่งนี้ได้กองกำลังหูเหรินเคลื่อนไหวให้เรียกรวมตัวนักรบเกราะเหล็กเพื่อออกไปโจมตี นั่นมันเรียกว่าสงครามแล้ว! ท่านไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของมันก็อย่าทำเป็นเล่น!”
ถึงทักษะของเหลียงจางจะแย่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสู้ไม่ได้ ในฐานะแม่ทัพสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสามารถสั่งการทหารได้ถึงทักษะการต่อสู้ของเขาจะไม่ดีเท่าจงซู่ แต่เขาปกป้องเป่ยเทียนเหมินมาหลายปีแล้ว เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในสงครามใหญ่ แต่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นั้นมีไม่ขาด เขารู้ถึงความสำคัญของมันดี
หยางชูพูดว่า “เช่นนั้นหากเข้าใจถึงความร้ายแรงของมันก็จะก่อปัญหาได้ใช่หรือไม่”
เหลียงจางโกรธ “ข้าจะไม่ตีฝีปากกับท่าน! สรุปก็คือข้าไม่สามารถมอบป้ายคำสั่งให้ได้ หากท่านต้องการคนข้าสามารถหาให้ท่านได้ แต่นักรบเกราะเหล็กอย่างไรก็ไม่ได้”
หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แค่เพียงพึ่งพาเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ไม่เรียกใช้นักรบเกราะเหล็กจะสามารถเอาชนะกองกำลังของหูเหรินได้หรือ”
แน่นอนว่า…สู้ไม่ได้!
แต่! ทำไมต้องสู้ด้วยเล่าเป่ยเทียนเหมินก็อยู่ของมันดีๆ ต่อให้หูเหรินยกทัพมา หากปิดประตูพวกเขาจะทำอะไรได้
เพื่อสตรีผู้เดียวเนี่ยนะเขาไม่ใช่คนโง่!
“อย่างไรก็ให้ไม่ได้ท่านจะขู่ข้าอีกครั้งก็ไม่ได้ผลหรอก”
“จริงหรือ” หยางชูเล่นกับกระบี่ของตนเขาดึงกระบี่ออกจากฝักแล้ววางบนคอของเขา
เหลียงจางตัวแข็งทื่อ “ต่อให้ท่านตัดหัวข้า ข้าก็ให้ไม่ได้”
น่าขัน! มอบป้ายคำสั่ง เขาจะไปอธิบายกับฮ่องเต้อย่างไร หากเขาสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทจนต้องลงจากตำแหน่งนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าความตายซึ่งเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของทั้งครอบครัวด้วย
หยางชูเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่นเขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ไม่ยกนักรบเกราะเหล็กให้งั้นยกอย่างอื่นแทนได้ใช่หรือไม่”
เหลียงจางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “หากต้องเกิดสงครามก็ไม่ให้ทั้งนั้น”
หยางชูเชิดหน้า “หูเหรินเองก็คงไม่อยากสู้เช่นกัน ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน พวกเขาเพิ่งเกิดสงครามนองเลือดกันภายใน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเคลื่อนไหวมาทางใต้”
มันก็มีเหตุผล แต่เหลียงจางไม่ต้องการให้เขาได้ใจจนลืมตัว “นั่นคือซูถู องค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าหมาป่าหิมะ! ในเมื่อท่านทราบเรื่องในหูตี้ท่านก็น่าจะทราบว่าตอนนี้เผ่าหมาป่าหิมะผงาดขึ้นมา และเขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้นำเผ่าหูในอนาคตเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขา หูเหรินคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!”
“ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคน!” เหลียงจางจ้องมองเขา
หยางชูเชิดหน้าแล้วมองกระดาษบนโต๊ะ “ท่านอาเหลียง เขียนใบมอบอำนาจเถอะ! นักรบเกราะเหล็กไม่มอบให้ไม่เป็นไรเป็นกองอื่นก็ได้”
เหลียงจางลดน้ำเสียง “ท่านต้องการเท่าไหร่”
“หูเหรินมีกองกำลังพันคนงั้นข้าต้องการพันคนเช่นกัน จำไว้นะขอรับข้าต้องการทหารม้าชั้นยอดแบบที่ผ่านศึกมามาก ท่านอย่าเอาพวกไร้ประโยชน์มาให้ข้านะขอรับ ไม่เช่นนั้นเมื่อตอนที่ท่านพร้อมที่จะตาย แมลงจำนวนมากจะคลานออกมาจากท้องของท่าน!”
เหลียงจางอดทนต่ออาการคลื่นไส้ และพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง “ท่านคิดว่าหูเหรินเป็นกลุ่มโจรที่ท่านไปเก็บกวาดครั้งก่อนหรือ กำลังคนข้าให้ท่านได้ แต่ท่านควรชั่งน้ำหนักให้ดีว่าตนเองจะมีชีวิตกลับมาได้หรือไม่!”
“หากข้าไม่มีชีวิตกลับมาท่านอาก็เล่นกับแมลงไป”
เหลียงจางอยากจะอาเจียนจริงๆ ไม่อยากจะพูดอะไรอีกเขาเขียนจดหมายมอบอำนาจอย่างรวดเร็วจากนั้นประทับตราพร้อมมอบป้ายคำสั่งโอนกองกำลัง
หยางชูไม่รอช้าเขารับของแล้วหันหลังเดินจากไป เหลียงจางมองเงาของอีกฝ่ายที่เดินหายลับตาไปแล้วพูดเสียงหยัน “ท่านทำไปเถอะ! ทันทีที่เรื่องจบลง ข้าจะแจ้งต่อฝ่าบาทดูสิว่าท่านจะโชคร้ายอย่างไร!”
…………
ณ ทุ่งหญ้า คนสามคนกำลังขี่ม้าอย่างดุเดือด
พูดให้ถูกก็คือ หมิงเวยและตัวฝูนอนอยู่บนหลังม้าทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจำเป็นต้องประหยัดแรงเอาไว้ พวกเขาเดินทางตอนสว่างพักตอนค่ำอย่างนี้เป็นเวลาสามวันแล้ว ภาพเป่ยเทียนเหมินที่สูงตระหง่านสามารถมองเห็นได้เลือนราง
ครึ่งทาง ยังเหลืออีกครึ่งทาง พวกเขาสามารถเข้าสู่เขตปลอดภัยและกลับสู่ดินแดนต้าฉี โหวเหลียงไม่เคยมีความปรารถนาต่อแคว้นของตนเองมากเช่นนี้มาก่อนเลย
ถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อเขากลายเป็นคนซื่อสัตย์ได้อย่างไร
นกอินทรีส่งเสียงร้องบนฟ้า หมิงเวยตะโกนให้หยุด และมองไปที่นกอินทรีโดยไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
“แม่นางหมิง ทำไมหรือ” โหวเหลียงไม่เข้าใจไม่ใช่ว่าเราต้องรีบทำเวลาหรือ
“พวกเราถูกพบแล้ว” โหวเหลียงตกตะลึง
นางถอนหายใจ “นี่เป็นปัญหาใหญ่หูเหรินมีประเพณีฝึกนกอินทรีไว้ใช้สังเกตการณ์ศัตรู นกอินทรีตัวนี้อยู่กับเราทั้งวัน”
โหวเหลียงเริ่มประหม่า “ซูถูมาแล้วจริงๆ หรือ”
“เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ซูถู นกอินทรีฝึกไม่ง่าย หนึ่งเผ่าน่าจะมีหนึ่งถึงสองตัว มันถูกส่งออกมาหมายความว่าทหารน่าจะเคลื่อนไหวด้วย”
โหวเหลียงอยากจะเป็นลม “ท่านหมายถึงกองทัพกำลังเดินทางมาหรือ” หมิงเวยพยักหน้าเบาๆ
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี” เสียงของโหวเหลียงสั่นเทาก่อนหน้านี้ซูถูนำทหารไล่ตามยังต้องคิดหาวิธีจัดการ หากกองทัพเคลื่อนไหวอย่าว่าแต่มีแพ้การต่อสู้เลย แม้สตรีสองคนจะมีฝีมือดี แต่ก็ยอมให้จับโดยไม่ต้องต่อสู้จะดีกว่า
หมิงเวยพูดกับตัวเอง “สู้ก็สู้ไม่ได้ หนีก็หนีไปได้ไม่ไกล คงทำได้เพียงเอาตัวเองเข้าแลกแล้วล่ะ…”
……………
[1] หวางถิง : สถานที่ที่ผู้นำชนเผ่ากลุ่มน้อยทางตะวันตกเฉียงเหนือก่อตั้งราชวงศ์ขึ้น