น้ำเสียงของราธบันรีบร้อนและดังกว่าปกติ ฉันทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงราธบันเพราะนึกว่านักบวชจะต้องมาแจ้งอีกครั้งหากเขามาที่นี่ ดังนั้นฉันจึงออกแรงดันหลังแอสรันมากกว่าเดิม

“รีบกลับไป…”

“ข้าไม่ไป”

ฉันรู้สึกอยากร้องไห้เมื่อเห็นท่าทางที่ดึงดันของเขา ถ้าอีกไม่นานประตูเปิดออกและราธบันกับเหล่านักบวชเข้ามาแล้วฉันจะอธิบายเกี่ยวกับแอสรันอย่างไร บางทีหากเป็นชายหนุ่มธรรมดายังดีเสียกว่า นั่นเพราะฉันยังพอบอกได้ว่าฉันผู้เป็นอีเบลลีน่ายังไม่อาจละทิ้งนิสัยเมื่อก่อนจึงได้ลากชายหนุ่มมาที่เตียงนอนอีกครั้ง

‘ทว่าไม่ใช่กับแอสรัน’

ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา เรื่องที่เขาเป็นจอมเวทคงถูกมองออกได้อย่างง่ายดายและบางทีแอสรันก็คงพูดเองเลยด้วยซ้ำว่าตนเองคือใคร

‘แบบนั้นจะยุ่งยาก’

หากเรื่องที่นักบุญหญิงพาจอมเวทที่ใช้พลังเวทเข้ามาในวิหารหลวงเป็นที่ล่วงรู้ นั่นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่เรื่องน่าปวดหัว

‘ยิ่งถ้าเรื่องที่ต้องตั้งท้องหรืออะไรก็ตามแต่ถูกพูดถึงด้วยขึ้นมา…’

ถึงตอนนั้นมันก็คงอยู่นอกเหนือขอบเขตที่ฉันสามารถรับมือได้แล้ว

‘จะส่งแอสรันกลับไปยังไงดี?’

ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น ฉันก็นึกถึงภาพที่แอสรันวางศีรษะบนเข่าของฉันแล้วถูไถราวกับออดอ้อน ทั้งยังเรื่องที่เขาเอาแต่เรียกว่าฉันเป็นตัวเมียของเขา

‘ก่อนอื่นต้องเกลี้ยกล่อมแล้วส่งเขากลับไปโดยเร็วเพื่อข้ามผ่านสถานการณ์คับขันตอนนี้ไปก่อน’

ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปยืนตรงหน้าเขา แล้วยื่นแขนออกไปโอบคอของเขาที่อยู่สูงกว่า แววตาแอสรันสั่นไหวเมื่อฉันทำแบบนั้น หลังจากตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่าจิตใจของเขากำลังกระสับกระส่าย ฉันก็เอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างสุดความสามารถ

“แอสรัน”

ทันใดนั้น เขาก้มศีรษะลงมาราวกับลุ่มหลง ฉันยกมือขึ้นลูบไล้เรียวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา แอสรันยกมือขึ้นมาทาบมือของฉัน จากนั้นก็ถูไถเข้ากับใบหน้าของตนเองราวกับร้องขอให้ทำมันอีกครั้ง

“แอสรัน ข้าคือนักบุญหญิง ข้าไม่อยากแสดงภาพลักษณ์ที่น่าเวทนาให้ผู้คนในวิหารหลวงเห็น หากเจ้าอยากบรรลุเป้าหมายโดยปราศจากปัญหา ก็ช่วยให้ข้าสามารถใช้ชีวิตในที่แห่งนี้ได้อย่างราบรื่นหน่อยมิได้หรือ?”

หลังจากพูดจบ ฉันยกนิ้วก้อยขึ้นและกดลงไปบนริมฝีปากของเขาราวกับไม่ต้องการคำตอบ

“เช่นนั้นแล้วช่วยทำตามที่ข้าสั่งทีเถิด เข้าใจไหม…?”

และกล่าวเสริมคำพูดเอาอกเอาใจ

“…ตัวผู้ของข้า”

ชั่วขณะที่คำนั้นหลุดออกจากปาก ฉันมองเห็นแอสรันหยุดหายใจ ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาค่อยๆ เรียวและโค้งขึ้นน้อยๆ ขณะที่ฉันกำลังตกใจเพราะความหวานชื่นที่อัดแน่นเต็มดวงตาคู่นั้น แขนของเขาก็โอบเข้าที่เอวของฉัน ดึงเข้าไปในอ้อมอกโดยไม่มีโอกาสให้คิดว่าเกิดอะไรขึ้น และฝังหน้าลงที่ต้นคอ

ไม่นานก็รู้สึกถึงความเจ็บแสบ ทั้งยังรู้สึกถึงเรียวลิ้นอุ่นโลมเลียบนต้นคอที่ถูกขบกัดด้วย

“ฮึก!”

ร่างกายที่คุ้นชินกับอีกฝ่ายในชั่วข้ามคืนส่งเสียงครางออกมาตามอำเภอใจ แอสรันขึ้นไปเหยียบบนขอบหน้าต่างด้วยสีหน้าราวกับปลาบปลื้มในเสียงร้องนั่น

“สัปดาห์หน้าข้าจะกลับมาอีกครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าจะเตรียมตัวเพื่อรับข้าเข้าไปมากกว่านี้”

แอสรันกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไป

ขณะที่เขาหายไป ประตูก็เปิดออก

***

“ขออภัยที่ทำให้ทั้งสองคนต้องเป็นกังวล”

“…”

“…”

แม้จะกล่าวทักด้วยรอยยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่สีหน้าของทั้งราธบันและเลออนก็ยังคงแข็งทื่อเย็นชาราวกับทุ่งกว้างในฤดูหนาว

‘คงจะ…รู้จริงๆ สินะ?’

ใบหน้าที่ฝืนยิ้มออกมารู้สึกชา เลออนที่กำลังจ้องมองฉันผู้นั้นลุกขึ้นจากที่นั่ง เหงื่อกาฬพลันไหลรินทันทีที่เขาก้าวเข้ามาใกล้

‘จะคิดกับฉันยังไงนะ’

ฉันนึกย้อนถึงค่ำคืนที่ใช้ร่วมกับเขาเมื่อไม่นานมานี้

‘เทียบกับแอสรันแล้ว ถือว่าเขาอ่อนโยนแล้วก็ปรนนิบัติอย่างดี…’

หลังจากคิดจนถึงตรงนั้น ฉันก็ก้มหน้าลง ตายแล้วนี่ฉันกำลังเปรียบเทียบอะไรอยู่เนี่ย?

ในทันใดฉันก็ตกอยู่ในความละอายใจถึงขีดสุดชั่วขณะ นี่ฉันถึงกับกำลังเปรียบเทียบคนที่ฉันใช้ประโยชน์จากเขาอยู่ในใจตามอำเภอใจ

ฉันมององค์ชายรัชทายาทเลออนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็กล่าวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว

“…ขอโทษ”

คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของเลออนเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงอย่างมาก ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นลงราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่างก่อนจะลูบหน้าตนเองซ้ำๆ มันช่างดูสับสนและงงงันเหลือเกิน ฉับพลันองค์ชายรัชทายาทก็กลับมามีสีหน้าสุขุมอีกครั้ง มองราธบันที่ยืนอยู่ด้านข้างพลางกล่าว

“ได้ยินมาว่าวันนี้ท่านมีนัดกับเซอร์ราธบัน”

ฉันพยักหน้าเมื่อได้ยิน

“เช่นนั้นแล้วข้าที่มาพบอย่างกะทันหันโดยไม่ได้นัดไว้ก็ควรจะกลับไปดีกว่า”

ฉันผงกศีรษะเมื่อได้ยินเขากล่าวว่าจะกลับไปง่ายดายกว่าที่คิด แน่ล่ะ ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทคงไม่ได้อารมณ์ดีถึงเพียงนั้น คงอยากรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ฉันคิดแบบนั้นพลางใช้มือลูบคลำต้นคอที่มีร่องรอยที่แอสรันทำทิ้งไว้อีกครั้ง

แอสรันคงรู้แน่ว่าคนที่รออยู่นอกประตูเป็นผู้ชาย เขาถึงได้จงใจทิ้งรอยเอาไว้อย่างหน้าไม่อาย มองดูองค์ชายรัชทายาทแล้วก็พบว่าสายตาของเขากำลังมองมาทางต้นคอของฉันอยู่จริงๆ

‘คงรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามล่ะสิ’

หลังจากมีสัมพันธ์กัน เขาแสดงออกถึงความชื่นชอบในตัวฉันในระดับที่ใครก็รู้ แม้จะไม่ได้มาพบด้วยตนเอง แต่เขาก็ยังส่งของขวัญง่ายๆ อย่างเช่นดอกไม้ที่ไม่ทำให้รู้สึกลำบากใจมาทุกวัน ฉันไม่เคยแสดงออกถึงการปฏิเสธใดๆ แก่องค์ชายรัชทายาทผู้นั้น

แม้จะคิดว่าการขอโทษเรื่องในวันนั้นและอยู่ห่างจากเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันฉันก็คิดว่าควรจะหลงเหลือสายใยที่เชื่อมอะไรบางอย่างกับองค์ชายรัชทายาทไว้สักหน่อย เช่นนั้นแล้วบางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์แม้เพียงสักนิดแก่อนาคตที่จะมาถึงสักวันหนึ่งก็เป็นได้

‘แต่ว่ามันจบแล้วล่ะ’

องค์ชายรัชทายาทคงไม่ไปมาหาสู่กับฉันอีกทั้งที่รู้ว่าฉันมีสัมพันธ์กับชายคอื่น ต่อจากนี้ไปเขาคงจะไม่มาหาฉันอีกแล้ว

‘แต่ใครจะไปคิดว่าต้องจบความสัมพันธ์ด้วยวิธีที่เลวร้ายที่สุดแบบนี้…’

ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทคงจะออกจากวิหารหลวง และหลังจากนี้อีกหนึ่งปีเมื่ออีริสปรากฏตัวขึ้น เขาก็จะไปกับนาง

ขณะที่กำลังคิดว่าเรื่องทุกอย่างกำลังจะกลับไปเป็นตามเนื้อหาในหนังสืออีกครั้ง จู่ๆ องค์ชายรัชทายาทก็โน้มตัวลงมา

“เพราะฉะนั้น ข้าหวังว่าจะได้สนทนายาวๆ ในวันที่ท่านนักบุญหญิงสะดวก”

“…เพคะ? สนทนา?”

ฉันคิดว่าเขาจะทิ้งคำพูดเหยียดหยามไว้คำหนึ่งแล้วออกจากห้องไปทันที แต่เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันจึงย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

“ข้าหวังว่าท่านจะนัดมา”

ฉันพยักหน้าเมื่อได้ยินน้ำเสียงขององค์ชายรัชทายาทที่กล่าวเน้นคำว่านัดหมายอย่างผิดปกติ

แม้จะน่าขัน แต่ฉันกลับดีใจที่องค์ชายรัชทายาทพูดแบบนั้น เลออนไม่ได้รังเกียจฉัน เพียงแค่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจเลยอย่างนั้นหรือ

องค์ชายรัชทายาทมองฉัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มเหมือนอย่างปกติ

“เช่นนั้นข้าจะรอจดหมายจากท่านนักบุญหญิง”

เขาออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วหลังพูดจบ ฉันมองประตูที่เขาออกไป หัวใจพลันรู้สึกหนักอึ้ง

‘ไม่ใช่แบบนี้สิ…’

ฉันรู้ว่าองค์ชายรัชทายาทเป็นคนอย่างไรผ่านหนังสือ ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องที่หลับนอนกับฉันในด้านการเมืองสักทางหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่ทำอะไรเลยจนถึงตอนนี้ การกระทำของเขาดูคล้ายว่าไม่ชอบเป็นอย่างมากที่ความสัมพันธ์ของเขากับฉันถูกซุบซิบจากปากของคนอื่น

เสียงของราธบันดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังจมอยู่กับความคิดอย่างเหม่อลอย

“…ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“คะ? อา ข้าไม่เป็นไร”

ฉันแอบปกปิดลำคอเมื่อตระหนักได้ว่าเขาถามถึงเรื่องใด องค์ชายรัชทายาทก็เรื่องหนึ่ง แต่ราธบันเองก็แปลกไปเช่นกัน ใบหน้าของเขาที่จ้องมองฉันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก และในความรู้สึกเหล่านั้นไม่มีความรังเกียจและดูแคลนอยู่เลย

‘…ด่าออกมายังรู้สึกสบายใจเสียกว่า’

ท่าทีของคนทั้งสองที่ต่างจากที่คิด ทำให้จิตใจของฉันพลันหนักอึ้งกว่าเดิม

โชคดีที่ราธบันไม่ได้ถามอะไรอีก เขาซื่อตรงในจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ราวกับคนที่ไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

“ไม่ใช่ว่าพอบอกว่าอยากเรียนดาบแล้วจะเรียนได้เลยทันทีขอรับ ศิลปะการป้องกันตัวก็เช่นกัน วันนี้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานก่อน”

เมื่อมายังห้องที่มีพื้นที่กว้างซึ่งอยู่ด้านในที่พัก อีกฝ่ายก็ส่งของที่ไม่สั้นไม่ยาวที่อยู่ในมือมาให้ ฉันคาดเดาได้ทันทีเมื่อเห็นรูปร่างซึ่งถูกห่อด้วยผ้า เมื่อคลายผ้าออกก็พบดาบไม้กำลังเปล่งกระกายเงางามอยู่อย่างที่คิดไว้

“ดาบไม้นี่เอง”

บางทีอาจเป็นเพราะฉันคาดหวังว่าเขาจะนำดาบจริงมา เพราะเขาบอกว่าจะสอนดาบให้ น้ำเสียงผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดจึงดังออกมาจากปากฉัน

“ดาบจริงยังเกินความสามารถไปขอรับ”

พูดจบ เขาก็ปลดดาบที่อยู่ตรงขอบเอวออก จากนั้นก็ยื่นมันมาตรงหน้าฉันด้วยมือเดียว ฉันวางดาบไม้ที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะแล้วรับดาบที่เขายื่นมาให้ ฉันจับดาบที่ดูใหญ่และหนักด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง เขาปล่อยมือหลังจากยืนยันว่าฉันจับดาบแล้ว

“อึก!”

ทันใดนั้น ร่างกายขอบฉันที่กำลังถือดาบก็พลันโน้มลง ไหล่ข้างหนึ่งตกลงเพราะน้ำหนักของเหล็ก ดาบที่อยู่ด้านในปลอกดาบพลันส่งเสียงกึกกักและทำท่าจะร่วงออกมา ขณะที่ฉันยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้ามันโดยไม่รู้ตัว ราธบันก็ขยับมือก่อน

ดาบที่หนักจนถือด้วยสองมือยังโงนเงน เขากลับคว้าไว้ได้ด้วยมือเดียวแบบสบายๆ แล้วดันมันกลับเข้าไปในฝักดาบอีกครั้งทันที แม้จะโล่งใจที่ราธบันจับดาบกลับขึ้นมาอีกครั้งได้ แต่ฉันก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าหากฉันบอกว่าจะรับมันและยื่นมือออกไปอย่างเงอะงะบางทีอาจจะถูกบาดก็เป็นได้

“ขออภัยขอรับ ข้าไม่คิดว่ามันจะหนักถึงเพียงนี้”

ราธบันกล่าวด้วยสีหน้าตกใจ สีหน้าที่ดูแข็งเกร็งนั้นบ่งบอกว่าเขาตื่นตกใจมากจริงๆ

“มันหนักกว่าที่ข้าคิดไว้มาก เจ้าถือของแบบนี้ด้วยมือเดียวได้อย่างไรกัน?”

ฉันจ้องมองมือของเขาด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง ฉันมองสำรวจรูปร่างของราธบันอย่างไม่เคยทำมาก่อน ไหล่กว้าง ท่อนแขนหนา และมัดกล้ามแน่นที่แม้แต่ชุดเครื่องแบบของหน่วยอัศวินแห่งวิหารยังมิอาจปกปิด ใครเห็นก็รู้ว่านี่คือร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง ร่างกายเช่นนั้นคงสามารถกวัดแกว่งดาบที่หนักถึงเพียงนั้นด้วยมือข้างเดียวได้อยู่แล้ว

‘ต่อให้ไม่ใช่ราธบันแต่สมาชิกในหน่วยอัศวินส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีดาบแบบนี้ทั้งนั้น…’

ฉันตระหนักขึ้นได้อีกครั้งว่าการที่ฉันบอกว่าต้องการเรียนดาบมันเป็นเรื่องที่ไร้หัวคิดแค่ไหน ดีที่ไม่ได้เอ่ยคำพูดเหลวไหลจำพวก ‘ข้าทำได้ จึงได้ขอให้เจ้าสอน’ มิเช่นนั้นคงไม่โชคดีอย่างนี้

“หากดาบไม่หนักขนาดนี้จะจัดการกับปีศาจได้ยากขอรับ ดาบเบาๆ ไม่เพียงพอที่จะใช้ฟันปีศาจส่วนใหญ่ที่มีเกล็ดและหนังหนา มีเหล่าอัศวินที่ใช้ดาบเรเปียร์[1]ในการจู่โจมด้วยจำนวนครั้งในการแทงอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายพวกมันก็ถูกใช้เป็นดาบเสริมเท่านั้น ดาบที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นดาบใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณนี้เป็นปกติขอรับ แบบนี้จึงจะสามารถสร้างความเสียหายให้ปีศาจได้บ้าง ทั้งยังมิใช่เพียงแค่ใช้โจมตีเท่านั้น ดาบกว้างยังใช้เป็นโล่ป้องกันได้ด้วยเช่นกัน”

“…อย่างนี้เอง”

“อีกทั้งเหล็กที่ใช้ในการทำดาบยังมีหลากหลายประเภทด้วยขอรับ แม้จะบอกว่าต้องมีน้ำหนักจึงจะมีพละกำลัง แต่ก็มีเหล่าอัศวินที่เลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาลงมาในการทำ ยอมแพ้ในพละกำลัง แล้วใช้วัสดุที่สามารถกวัดแกว่งได้อย่างรวดเร็วและสร้างบาดแผลจำนวนมากในเวลาอันสั้นแทน ดาบแบบนั้นมิได้ใช้เหล็กในการทำ แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุอื่นขอรับ”

ราธบันเริ่มอธิบายเกี่ยวกับดาบ ฉันเดินเข้าไปด้านข้าง และตั้งใจฟังคำพูดของเขา

“วัสดุอื่น?”

“แร่ธาตุชนิดอื่นที่ปนอยู่ในเหล็กหรือไม่ก็ซากศพของปีศาจที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งคราว…เป็นข้อยกเว้น เช่น ปีศาจเอซีออสที่ถูกหน่วยอัศวินแห่งวิหารจับมาเมื่อสองปีก่อน เป็นปีศาจที่มีกระดูกแข็งแรงมากขอรับ ในตอนนั้นอัศวินแห่งวิหารส่วนใหญ่ครอบครองกริชที่ทำขึ้นจากกระดูกของมันคนละเล่ม แม้เป็นเพราะความแข็งของมันจึงยากที่จะขัดเงา ทว่าดาบที่ทำขึ้นจากกระดูกของเอซีออสนั้นทั้งเบาและแหลมคม แถมคมมีดของมันยังไม่ค่อยทื่ออีกด้วย นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์ในอีกมากมาย บางครั้งพวกปีศาจตัวเล็กและสติปัญญาต่ำก็นึกว่าอัศวินเป็นพวกเดียวกันเพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นครอบครองมันไว้ด้วย”

ความรู้ของโลกฝั่งนี้ที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกทำให้ฉันตั้งใจฟังมากกว่าเดิม

แม้รู้ว่าหน้าที่หลักของหน่วยอัศวินแห่งวิหารคือการเผชิญหน้ากับปีศาจ แต่หลังจากที่ฉันเข้ามาในร่างของอีเบลลีน่า เหล่าอัศวินก็ยังไม่เคยออกไปปราบปรามเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรและดำเนินชีวิตอย่างไร แต่เมื่อตอนนี้ได้ยินที่ราธบันเล่า ฉันก็เริ่มเกิดความสนใจขึ้นเป็นครั้งแรก

“ไม่ใช่แค่ใช้โจมตีเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันด้วย เช่นนี้ดาบคงสำคัญมาก ทุกคนคงให้ความสำคัญไม่น้อย”

“แน่นอนขอรับ”

แววตาของเขาที่ใช้จ้องมองดาบดูจริงจังเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน เรียกได้ว่าเป็นแววตาที่ใช้จ้องมองสหายที่ร่วมรบในสงครามมิใช่ของมีคมที่เย็นชืด

“ต่อให้ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนั้น แต่ดาบก็ยังเปรียบเสมือนชีวิตของเจ้าของเลยขอรับ เพราะมันอยู่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน อัศวินจะตรวจสภาพคมมีดทุกเช้าเย็นอยู่เสมอ ลับคมด้วยตนเอง และไม่มีทางฝากมันไว้ในมือของผู้อื่นด้วยขอรับ”

“…ขออภัย ข้าไม่รู้ว่ามันสำคัญถึงเพียงนั้น”

ฉันตอบกลับเสียงอ่อนหลังจากฟังคำอธิบายของราธบัน ทั้งที่เขาบอกให้ลองจับและยังให้จับของที่ล้ำค่าถึงเพียงนั้น แต่ฉันเกือบจะทำมันตกลงพื้นเสียได้

“…”

“…เซอร์ราธบัน?”

คำพูดของฉันทำให้ราธบันอ้าปากเล็กน้อยพร้อมกับมองมาที่ฉัน สีหน้าราวกับเพิ่งตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง