‘พระเจ้า’

ราธบันเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนทำอะไรลงไปเมื่อเห็นสีหน้าของนักบุญหญิงที่จ้องกลับมาราวกับถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขามองดาบที่อยู่ในมือ มันเป็นดาบที่เขาได้รับมาตอนถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการอัศวิน มันเป็นดาบที่ช่างฝีมืออุทิศเลือดเนื้อและหัวใจในการทำขึ้นมา มันจึงแหลมคมและแข็งแกร่งมาก เป็นดาบที่เขาไม่เคยทำตกเลยตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมา ราธบันเองก็ดูแลดาบนี้ประหนึ่งชีวิตตนเหมือนกับเหล่าอัศวินคนอื่น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เคยให้ใครลองจับมันมาก่อน

‘…ข้าให้นางไปหรือ?’

เมื่อครู่ก่อนเขามอบดาบของตนให้นักบุญหญิงง่ายเกินไป

มิใช่ว่ามีเหตุผลใดเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเมื่อได้เห็นสีหน้าของนักบุญหญิงที่ดูผิดหวังเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามันคือดาบไม้ หัวใจเขาก็พลันเต้นรัว

‘แค่เพราะเหตุผลนั้นหรือ?’

ราธบันพยายามหาเหตุผลอื่นที่เพียงพอจะทำให้เขามอบดาบให้นาง ทว่าไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลอื่นเลยนอกจากเรื่องนั้น

‘แค่เพราะไม่อยากเห็นนักบุญหญิงผิดหวัง?’

หากอัศวินอื่นมอบดาบให้คนอื่นด้วยเหตุผลแบบนั้น เขาคงคิดว่าน่าสมเพช ทว่าตอนนี้ตนกลับกำลังทำเรื่องแบบนั้นอยู่

ราธบันนำดาบที่ถืออยู่ในมือสอดกลับเข้าที่เอวอีกครั้งอย่างเร่งรีบราวกับจะไม่เผลอทำความผิดพลาดแบบเมื่อสักครู่อีก

ระหว่างที่เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยความสะเทือนใจ นักบุญหญิงก็ออกห่างจากข้างตัวเขาไปโดยไม่รู้ตัว ภายในห้องเดียวกันที่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่ราธบันกลับรู้สึกว่าเส้นทางนั้นมันช่างห่างไกลมากเหลือเกิน

***

“…เซอร์ราธบัน?”

เห็นอีกฝ่ายเงียบไปฉันจึงลองเรียกอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็รีบเก็บดาบของตนเข้าที่เอวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว การกระทำดุจคมมีดของเขาทำให้ฉันถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

“…”

เขายังคงไม่พูดอะไรหลังจากเก็บดาบลงไป ปากที่ปิดเป็นเส้นตรงและสีหน้าที่แข็งทื่อของเขาทำให้ฉันไม่มีความคิดที่จะเอ่ยเรียกอีกต่อไป ฉันเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับความอึดอัด ตรงนั้นมีดาบไม้ที่ฉันวางไว้ก่อนหน้านี้

‘เอาเป็นว่าลองถือมันขึ้นมาก่อน’

แม้จะบอกว่าเป็นดาบไม้ แต่มันก็ไม่ได้ทำขึ้นอย่างลวกๆ ส่วนคมดาบทำขึ้นมาจากไม้เนื้อแน่นมีรอยขูดขีดอยู่ทั่ว ด้ามจับมีร่องรอยการใช้งานเปล่งประกายมันวาว ร่องรอยการใช้งานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นดาบที่เหล่าอัศวินใช้งานจริงทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น ฉันลองใช้สองมือจับด้ามจับของดาบไม้ดู

‘จับแบบนี้ถูกไหมนะ

ขณะที่รับดาบไม้จากราธบันที่ส่งให้ด้วยสองมืออย่างไม่ได้คิดอะไร ฉันเคยคิดว่าน้ำหนักของมันพอจะถือได้สบายๆ แต่เมื่อจับด้ามดาบที่อยู่ด้านล่างอย่างตั้งใจแล้วกลับรู้สึกว่าดาบไม้หนักขึ้นกว่าเมื่อครู่ ฉันสัมผัสได้ว่าต้องออกแรงที่ข้อมือมากขึ้นเพื่อยกปลายดาบไม้ขึ้นมาอยู่ระดับสายตา

‘ดูเหมือนฉันจะมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่บ้างนะ?’

เพราะสภาพร่างกายทำให้ตัวฉันที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบันไม่เคยได้ออกกำลังกายที่ต้องออกแรงใดๆ เลย การหายใจและการเดินคือการออกกำลังกายที่เหนื่อยที่สุดที่ฉันสามารถทำได้ ดังนั้นแม้จะเข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าแล้ว การออกกำลังกายที่พอจะได้ลองออกแรงบ้างก็มีเพียงแค่การวิ่งเท่านั้นนอกเหนือจากนั้นฉันก็ไม่เคยออกกำลังกายอะไรที่ทำให้ต้องหายใจหอบ…

ภาพขององค์ชายรัชทายาทเลออนและแอสรันพลันแวบเข้ามาในหัวก่อนจะหายไป รวมถึงภาพร่างกายของฉันที่ร้องครวญครางและถูกยึดแน่นหายใจหอบถี่ราวกับบ้าคลั่งอยู่ในอ้อมอกของพวกเขา

ฉันส่ายหัวสลัดความคิดที่ร้อนแรงออกไป พลันสัมผัสได้ว่าความร้อนพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าเพราะความเขินอาย จากนั้นก็ออกแรงที่มือที่จับด้ามจับอีกครั้ง

‘จับแบบนี้คงถูก…ใช่ไหม?’

ราธบันเดินเข้ามาใกล้ขณะที่ฉันยืนเลียนแบบท่าทางของนักกีฬาเคนโดที่เคยเห็นในโทรทัศน์ เพื่อทำลายความอึดอัดจากความเงียบที่ดำเนินอยู่ ฉันจึงเอ่ยชวนอีกฝ่ายคุยก่อน

“พอจับแบบนี้แล้วมันหนักกว่าที่ข้าคิดเอาไว้อีกนะ”

“…”

“ทำมือแบบนี้ถูกหรือไม่”

“…”

ราธบันยังคงไม่พูดอะไร ความอึดอัดเริ่มก่อตัวมากขึ้นกว่าเดิมทำให้ปากของฉันพ่นคำพูดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าข้าฝึกไปได้ระดับหนึ่งก็น่าจะสามารถต้านทานพวกนักเลงที่มาโจมตีข้าในยามค่ำคืนอย่างกะทันหันได้…”

พูดถึงตรงนั้น มือของราธบันก็คว้าดาบไม้ที่ฉันจับอยู่จนส่งเสียง ปึก เมื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจก็พบกับสายตาเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย สีหน้านั้นน่าหวาดกลัวจนฉันต้องหดคอ

“มันเป็นใคร”

“อะไรนะ”

“มันคนไหนที่กล้า…”

“ไม่ใช่! ก็แค่! ก็แค่พูดไปอย่างนั้น! ข้าเพียงแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ!”

ฉันรีบสั่นศีรษะทันทีที่ได้ยินราธบันพูดเองเออเองพร้อมกับกัดฟันกรอด อันที่จริงฉันคิดว่าเขาหมายถึงแอสรัน แต่ฉันไม่มีทางพ่นชื่อของแอสรันออกจากปากแน่ ฉันลอบสังเกตราธบันก็พบว่าเขายังคงหวาดระแวง

“ไม่ใช่แค่ตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็เช่นกัน บางทีอาจจะมีใครมาจู่โจมอย่างกะทันหันก็ได้ ในสถานการณ์เช่นนั้น…”

“หากเป็นองค์ชายรัชทายาทเลออน ท่านก็แค่แทงไปเลยก็ได้ขอรับ”

“องค์ชายรัชทายาทเลออนหรือ”

ทำไมจู่ๆ ถึงพูดถึงคนผู้นั้นล่ะ? เมื่อเห็นสีหน้างงงวยของฉัน ราธบันก็กล่าวต่อ

“มิใช่ว่าท่านจะไปพบองค์ชายรัชทายาทเลออนเป็นการส่วนตัวหรอกหรือ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะทำอะไรบ้าง”

ราธบันว่าพลางจ้องเขม็งไปยังประตูที่เลออนออกไป เขาเขม้นมองประตูที่ไม่มีความผิดและสร้างแรงกดดันอยู่อย่างนั้นสักพัก ฉันจึงต้องพยักหน้ารับราวกับเข้าใจอย่างไม่มีทางเลือก

สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนดาบอย่างจริงจังตามที่คิดเอาไว้จริงๆ ดูเหมือนราธบันนำดาบไม้มาเพียงเพื่อแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานพร้อมอธิบายว่าทำไมถึงต้องจับดาบด้วยท่าทางแบบนั้น

“ปกติแล้วคนที่เพิ่งจับดาบครั้งแรกก็มักจะจับแบบนี้ขอรับ”

เขาว่าพลางแสดงท่าทางเหมือนตอนที่ฉันจับดาบไม้ครั้งแรก

“นั่นเป็นท่าทางที่ผิดอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับ”

ฉันถามไปด้วยความไม่มั่นใจแต่ได้รับคำตอบที่ไม่น่าให้อภัยกลับมา เมื่อได้ยินคำตอบที่เฉียบขาดของเขา ฉันก็เอ่ยถามเสียงค่อย

“เช่นนั้นแล้วต้องจับอย่างไร”

ได้ยินคำถาม เขาก็ดึงดาบของตนออกมาอีกครั้งและแสดงท่าทางที่แตกต่างให้ดู ฉันจับดาบด้วยท่าเดียวกันขณะมองมือของเขา

“แบบนี้… ถูกหรือไม่”

“ท่านลดมือข้างซ้ายลงอีกสักหน่อย”

“แบบนี้หรือ”

“เพิ่มแรงจับไปที่นิ้วมือฝั่งขวาหน่อยก็ดีขอรับ”

“แบบนี้หรือ”

“มือสองข้างอยู่ห่างกันเกินไปขอรับ ท่านต้องจับไม่ให้มันห่างกัน”

“บะ แบบนี้หรือ”

น่าแปลก ทั้งที่ทำตามคำสั่งของเขา แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวกลับค่อยๆ เละเทะมากขึ้น แน่นอนว่าสีหน้าของราธบันก็เปลี่ยนเป็นจนปัญญาด้วยเช่นกัน สีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปราวกับคนที่กำลังมองดูกลุ่มไหมที่พันยุ่งเหยิง และนั่นทำให้ฉันตระหนักได้ทันที

‘ดูท่าฉันจะไม่มีพรสวรรค์แล้ว’

ก็นะ ทั้งฉันและอีเบลลีน่าต่างก็ไม่เคยจับดาบเลยสักครั้ง แล้วจะคาดหวังอะไรกัน

“อืม…ดูเหมือนข้าจะไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย เจ้าอุตส่าห์สละเวลามาทั้งที ต้องขออภัยจริงๆ ให้มาใช้เวลาอันมีค่าของเซอร์ราธบันกับเรื่องแบบนี้ช่างวุ่นวายนัก เพราะฉะนั้นเราล้มเลิกคงจะดี…!”

พูดถึงตรงนั้น ราธบันก็เข้ามาตรงหน้าฉันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นมือออกมาอย่างไม่ลังเล ฝ่ามือหยาบกร้านของเขาทาบลงบนหลังมือของฉันเสียงดังปึก

“…!”

เพราะตกใจกับสัมผัสที่มาอย่างกะทันหันเกินไปทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออกและทำเพียงอ้าปากพะงาบๆ

“อย่าล้มเลิกเลยขอรับ” เขาว่า

“อะไรนะ”

“ข้าหวังว่าท่านจะไม่ล้มเลิกและทำต่อไปเรื่อยๆ”

“อา…ได้สิ!”

คนที่ร้องขอให้เขาช่วยสอนดาบให้คือฉัน แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับมีท่าทีเหมือนกำลังขอร้องให้ฉันเรียนดาบต่อไป ฉันตอบกลับเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางที่แลดูไม่ยอมของเขา ไม่รู้เพราะอะไรฉันถึงได้รู้สึกว่าหากไม่ทำเช่นนั้น ราธบันจะต้องผิดหวังอย่างมาก

‘ก็นะ ต้องมาเห็นท่าทางยอมแพ้ทันทีที่เริ่มมันก็เกินไปหน่อย…’

ฉันอ้างกระทั่งเรื่องของชีเดลและไหว้วานเขา แม้ที่ฉันอยากเรียนดาบเพราะคิดว่ามันอาจจำเป็นสำหรับอนาคตที่จะมาถึงสักวันหนึ่งหรือไม่ก็ขณะที่ฉันออกไปเดินเที่ยวด้านนอกวิหารหลวง แต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะได้ใช้เวลากับราธบันให้มากขึ้นด้วย เช่นเดียวกับองค์ชายรัชทายาทและแอสรัน หากจะสนิทกับราธบันมากขึ้น ก็ดูเหมือนต้องใส่ใจกับการเผชิญหน้ามากที่สุด

ฉันเกิดความกังวลว่าที่ฉันแสดงท่าทีจะล้มเลิกทันทีที่เริ่มต้นแบบนี้ ภายในใจของเขาจะยิ่งประเมินฉันแย่ลงกว่าเดิมหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวที่ราธบันเล่าให้ฟังก็สนุกมาก เพราะเรื่องเกี่ยวกับปีศาจหรือวิธีการเผชิญหน้ากับปีศาจล้วนแต่เป็นเรื่องที่อีเบลลีน่าไม่รู้

ถ้าเขาไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่มีเหตุผลให้ยอมพ้ หลังจากสรุปได้ว่าคงต้องเรียนดาบไปเรื่อยๆ ฉันก็มองมือของเขาที่ยังคงจับมือฉันอยู่

“คือว่า… คือมือ…”

เขาจับไปตามจิตใต้สำนึก ฉันจึงคิดว่าหากพูดไปแบบนี้เขาอาจจะปล่อยมือ ทว่าราธบันกลับทำเพียงมองนิ่งๆ โดยไม่แม้แต่จะขยับสักนิด

“…”

“…”

ฉันจ้องมองมือของเขาระหว่างที่ปล่อยให้ความเงียบดำเนินไป เส้นเลือดปูดโปนบนผิวหนังสีเข้มที่ถูกแสงแดดแผดเผา มือขนาดใหญ่สมกับเป็นมือที่ใช้จับดาบของเขามีนิ้วเรียวยาวและข้อต่อหนา สัมผัสหยาบๆ ของผิวหนังด้านซึ่งอยู่ใต้มือคู่นั้นที่เฉียดผ่านหลังมือของฉันชวนให้รู้สึกจั๊กจี้และเขินอายแปลกๆ ฉันจ้องมือของเขาอีกครั้งเพื่อคิดถึงเรื่องอื่นอย่างสุดชีวิต

‘มีแผลเยอะจัง?’

พลังศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักบวชไม่ได้ช่วยรักษาให้จนหมดหรอกหรือ ถึงได้ยังเห็นร่องรอยของบาดแผลที่ถูกฟันและฉีกขาดอยู่ทั่วบนมือของราธบัน ทั้งยังรอยฟันที่เหมือนถูกอะไรบางอย่างกัดด้วย ดูจากขนาดที่ใหญ่มาก บางทีอาจจะเป็นการกระทำของปีศาจ

เขาคือผู้บัญชาการของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร เวลาที่เขาออกไปปราบปีศาจจะมีการจัดสรรนักบวชระดับสูงแยกไว้ให้ แล้วทำไมถึงไม่ได้รับการรักษาจากพวกเขา

“…ทำไมถึงไม่รับการรักษาล่ะ”

ฉันเอ่ยถามด้วยอยากคลายความอึดอัดที่ซับซ้อนจนเกินบรรยายนี้ นึกว่าคราวนี้เขาจะยึดมั่นในความเงียบเหมือนเดิม แต่ราธบันกลับตอบมาอย่างนุ่มนวลต่างจากที่คาด

“เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักบวชมิอาจสิ้นเปลืองไปกับการรักษาบาดแผลเล็กๆ ได้ขอรับ”

มือของเขายังคงจับมือของฉันระหว่างที่พูดแบบนั้น แต่ไม่นานนิ้วมือของเขาก็ขยับ ตอนแรกฉันคิดว่ามือนั้นจะผละออกไป ทว่าเขากลับค่อยๆ ขยับมือของฉันที่จับดาบไม้อยู่ด้วยมือของเขา

นิ้วมือที่คลายอยู่เล็กน้อยคว้าจับด้ามของดาบไม้แรงขึ้น มือที่องศาเบี้ยวพบตำแหน่งที่เหมาะสม มือของเขาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากำลังสอนท่าทางที่ถูกต้องในการจับดาบอย่างชัดเจนและแม่นยำ

อึก

เขาเพียงแค่สอนท่าทางที่ควรจะเป็นเท่านั้น แต่ใบหน้าของฉันกลับร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด มือของเขาลูบผ่านหลังมือและนิ้วมือของฉัน ก่อนจะจับเข้าที่ข้อมือ

“อา…”

อุณหภูมิของเขาที่คว้าเข้าที่ข้อมืออย่างมั่นคงทำให้ฉันส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่เพราะเสียงของฉัน มือของเขาก็ค่อยๆ ห่างออกไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ราธบันก็เอ่ยขึ้น

“…นี่คือท่าทางที่ถูกต้องขอรับ”

บางทีอาจเป็นเพราะปิดปากแน่นมาตลอด ฉันถึงได้ยินเหมือนน้ำเสียงของเขาแหบพร่า ฉันดีใจที่หลุดออกจากความเงียบงันที่น่าอึดอัดได้เสียทีและมองมือตัวเองที่เขาปรับแก้ให้อีกครั้ง ตอนนี้เองที่มือของฉันอยู่ในท่าทางแบบที่เขาบอกเมื่อครู่ก่อนอย่างแม่นยำ

ฉันรักษาท่าทางที่เขาปรับแก้ให้ก่อนจะค่อยๆ ขยับดาบไม้ แค่เปลี่ยนท่าทางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่น่าแปลกที่ฉันกลับรู้สึกว่าน้ำหนักดาบเบาขึ้นเมื่อเทียบกับครู่ก่อน แถมความเจ็บตรงข้อมือก็หายไป

“ว้าว…”

ฉันอุทานออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว แบบนี้เองเขาถึงได้บอกกันว่าตอนเรียนพื้นฐาน อาจารย์นั้นสำคัญ ฉันกวัดแกว่งดาบไม้อยู่อีกหลายครั้งด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปมองราธบัน

“ประมาณนี้ได้หรือไม่ ไม่แย่ใช่ไหม”

ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกอยากได้คำชมจากเขา

“ครั้งแรกได้เท่านี้ถือว่ายอดเยี่ยมขอรับ”

“เป็นเพราะข้ามีอาจารย์ดี”

คำตอบของฉันทำให้เขาจ้องมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ความอึดอัดเมื่อครู่ก่อนสลายหายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก ฉันยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาเขา

“เซอร์ราธบัน ข้าขอมือหน่อยได้หรือไม่”

“มือ… หรือขอรับ”

เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือมา ฉันทาบมือของฉันบนหลังมือของเขาเหมือนที่เขาทำกับฉันเมื่อครู่ก่อน ใต้ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงร่องรอยบาดแผลตะปุ่มตะป่ำ ไม่นานพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามก็เริ่มเปล่งประกายบนมือของเขา

ทันใดนั้น เขาทำท่าจะดึงมือออกด้วยความตกใจ แต่ฉันยิ้มพลางเพิ่มแรงลงไปกดมือของเขาไว้ พลังศักด์สิทธิ์ที่พันล้อมรอบมือนั้นหยุดลงแล้วจางหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ตอนนั้นเอง ฉันผละมือออก ก่อนจะพิจารณาดูมือเขา

บริเวณที่มีบาดแผลถูกข่วนเป็นทางยาวเมื่อครู่ก่อน บัดนี้ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว บริเวณที่มีบาดแผลอื่นก็เช่นกัน

พอเห็นมือที่บาดแผลทั้งหมดจางหายไปจนสะอาดสะอ้านก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ฉันยักไหล่พลางยิ้มให้ราธบัน

“คิดเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยสอนข้าก็ได้”

“…”

คำพูดของฉันทำให้ราธบันค่อยๆ พิจารณาหน้ามือหลังมือของตน ก่อนจะมีสีหน้าพูดอะไรไม่ออก ฉันนึกว่าเขาจะกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หรือไม่ก็กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่การตอบสนองของเขาที่ต่างจากที่คิดพลันทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

‘ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?’

ฉันเกิดกลัวขึ้นมากะทันหันเมื่อเห็นสีหน้าของราธบันที่ต่างจากที่คาด เมื่อก่อนตอนที่รักษาให้นักบวชคนอื่นก็ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษนัก หรือพอเป็นบาดแผลที่มีมานานแล้วมันอาจจะรู้สึกเจ็บ? ขณะที่กำลังสอดส่ายสายตาสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย ราธบันก็เปิดปากขึ้นหลังเงียบมาพักใหญ่

“…ขอบคุณขอรับ”

เขาหันหน้าหนีหลังจากกล่าวจบ ลูบหน้าลูบตาอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ก่อนอื่นจะจับดาบตอนนี้เลยไม่ได้ขอรับ”

ดูจากที่เขาหยุดพูดไปก่อนจะกล่าวขึ้น เหมือนว่าเขาจะเปิดปากอย่างยากลำบากมาก

“…อืม”

ครั้งแรกได้เท่านี้ถือว่ายอดเยี่ยม อย่างไรก็ดูจะเป็นคำพูดตามมารยาทล่ะมั้ง

“เช่นนั้นแล้วข้าควรทำอะไร?”

ราธบันกล่าวห้ามไม่ให้ล้มเลิก ฉะนั้นแล้วมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สอนวิธีใช้ดาบอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องสอนอย่างอื่นแน่นอน ราธบันครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะถามฉันด้วยสีหน้าราวกับนึกอะไรดีๆ ออก

“คิดดูแล้ว มิใช่ว่าท่านมีกริชของไคร์ลเรสอยู่หรอกหรือ แม้จะเรียนดาบเดี๋ยวนี้แต่อย่างไรก็ยังต้องใช้เวลาหากต้องการจะสร้างความเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม แต่หากเพื่อป้องกันตัวล่ะก็ ท่านเริ่มจากฝึกใช้กริชเล่มนั้นให้เคยชินจะดีที่สุด อย่างไรมันก็ไม่ใช่ดาบที่มีไว้เพื่อโจมดี ข้าแค่บอกวิธีจับและข้อควรระวังก็เพียงพอแล้ว”

…กริชของไคร์ลเรส? ฉันรีบค้นความทรงจำของอีเบลลีน่าอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก

‘มีด้วย!’

โชคดีที่ในความทรงจำของนางมีเรื่องเกี่ยวกับกริชของไคร์ลเรสอยู่

กริชของไคร์ลเรส เป็นกริชที่ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกของปีศาจที่ชื่อไคร์ลเรสซึ่งนักบุญหญิงเมื่อนานมาแล้วและหน่วยอัศวินแห่งวิหารในเวลานั้นร่วมกันจับมัน แม้จะน่าอัศจรรย์ แต่หลังจากทำกริชเล่มนั้นเสร็จ กระดูกที่เหลือก็สลายกลายเป็นทราย ดังนั้นกริชจึงถูกสร้างขึ้นได้เพียงเล่มเดียวและยังคงรักษาความสามารถพิเศษที่ปีศาจครอบครองอยู่

‘ความสามารถในการตอบแทนบาดแผลอย่างนั้นหรือ…’

แม้จะแปลกประหลาด แต่กริชเล่มนั้นมีความสามารถในการสะท้อนการโจมตีที่ตนได้รับกลับไปยังฝ่ายตรงข้าม

‘ไม่มีอะไรที่จะปกป้องร่างกายได้ดีกว่าสิ่งนั้…!’

หลังจากดูความทรงจำเกี่ยวกับกริชเล่มนั้น ฉันก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ ราธบันที่ไม่ทันสังเกตเห็นกล่าวขึ้น

“เช่นนั้นแล้วสัปดาห์หน้าท่านนำกริชเล่มนั้นมาด้วยเป็นอย่างไร?”