ตอนที่ 8.1 นอกวิหารหลวง (1)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

“ทำยังไงดี…”

ผ่านไปหนึ่งวันแล้วหลังจากราธบันกลับไป แม้ตอนกลางวันจะจัดการงานเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แต่ตั้งแต่กลับเข้ามาในห้อง ฉันก็เดินไปเดินมาอย่างไม่มีสติพร้อมกับขยุ้มหมอนที่ไม่มีความผิดอยู่ภายในห้อง

คำพูดของราธบันยังคงก้องอยู่ในหู

“เขาบอกว่าครั้งหน้าให้นำกริชไปด้วย…”

กริชไคร์ลเรสซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติของวิหารหลวงถูกเก็บอยู่ด้านในของห้องหนังสือ ปกติแล้วทรัพย์สมบัติชิ้นอื่นจะถูกเก็บไว้ในอาคารกลางของวิหาร แต่เนื่องจากกริชเล่มนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่นักบุญหญิงในตอนฉุกเฉินจึงได้ถูกจัดเก็บไว้ในที่พักของนักบุญหญิงแห่งนี้

มองจากภายนอกแล้วมันเป็นกริชที่เรียบง่ายอย่างมาก แม้จะกล่าวว่าถูกสร้างขึ้นจากกระดูกของปีศาจ ทว่ารูปร่างของใบกริชนั้นกลับไม่ต่างจากกริชที่คมมีดทื่อแล้วอย่างน่าประหลาด เช่นเดียวกับปลอกกริชที่ดูเรียบง่ายมากเช่นกัน มองจากภายนอกแล้วเป็นเพียงกริชเล่มเก่า

ในสายตาของคนที่ไม่รู้ก็คงไม่แปลกที่จะทิ้งกริชนั้นไปทันที แต่ก็ยังสมกับเป็นทรัพย์สมบัติของวิหาร ปลายของกริชเล่มนั้นมีพลอยเส้นประดับไว้อยู่

กริชเล่มนั้นอยู่ในที่พักของนักบุญหญิง จนถึงเมื่อหลายเดือนก่อน

“ทำยังไงดี…”

บ่นพึมพำจบ ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วฝังหน้าลงบนหมอน จากนั้นก็สะบัดขาพร้อมกับตะโกนออกมา

“เดี๋ยวสิ แล้วให้ของแบบนั้นไปโดยไม่คิดอะไรเลยได้ยังไงกัน!”

แน่นอนว่านี่คือคำที่ตะโกนใส่อีเบลลีน่า

ยิ่งคิดไปมากเท่าไรก็ยิ่งอึดอัดใจ ขณะที่เรื่องเกี่ยวกับกริชไคร์ลเรสเด้งขึ้นมาในหัว ฉันก็นึกออกว่ามันเป็นอย่างไรไปแล้ว ก่อนหน้าที่ฉันจะเข้ามาสู่ร่างนี้ไม่นาน อีเบลลีน่าบอกชายหนุ่มที่ใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกันว่าให้นำมันกลับไปและโยนให้ไปไม่ต่างกับโยนเศษขยะ

“หรือพูดให้ชัดคือนางตั้งใจจะให้พลอยที่เป็นของตกแต่ง…”

ชายหนุ่มที่ได้รับมันไป คราแรกก็รู้สึกผิดหวังในลักษณะเก่าโทรมของกริช ทว่าหลังจากเห็นพลอยตกแต่งที่ติดยาวอยู่ตรงด้ามจับก็กลับไปก้มหัวแทบเท้าอีเบลลีน่าอีกครั้ง ความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับกริชเล่มนั้น ดูเหมือนมันจะถูกถืออยู่ในมือของชายผู้นั้นที่หลบสายตาเหล่านักบวชออกจากห้องของอีเบลลีน่าไปตอนเช้ามืด

“ต้องไปหา”

มันคือทรัพย์สมบัติของวิหาร อีกทั้งราธบันยังขอให้ฉันนำมันมาด้วยในสัปดาห์หน้า แม้จะยังไม่รู้ว่าควรกุเรื่องอย่างไรจึงจะพอหลอกราธบันให้ผ่านไปได้ แต่หากวันหนึ่งมีสาเหตุอื่นเกี่ยวกับวิหารให้ต้องตามหามันขึ้นมา มันต้องไม่ใช่ปัญหาที่จะผ่านไปได้ด้วยคำว่า *‘ข้าลองหาแล้วมันไม่มีนะ?’*แน่

ฉันตั้งสมาธิให้มากขึ้นแล้วดูความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของอีเบลลีน่า แม้ต้องเริ่มดูตั้งแต่ตอนที่นางเริ่มร่วมสังวาสกับชายที่ไม่รู้จัก แต่ฉันก็ต้องข่มความเขินอายให้มิดและเพ่งมองความทรงจำนั้นตั้งแต่แรก หลังจากเสียงร้องครวญคราง ออดอ้อนและการเคลื่อนไหวอันดุเดือดอยู่สักพักผ่านไป ก็ได้เห็นบทสนทนาระหว่างอีเบลลีน่ากับชายแปลกหน้า

เมื่อได้ยินอีเบลลีน่ากล่าวว่าวันนี้นางไม่มีสติจึงนำเหรียญกษาปณ์ทองที่จะให้มาไม่เพียงพอ ชายหนุ่มจึงกล่าวว่าหากเป็นของที่ท่านนักบุญหญิงให้จะเป็นอะไรเขาก็รู้สึกเป็นเกียรติและคาดหวังว่าจะได้รับของอย่างอื่นจากนางเป็นค่าตอบแทน

อีเบลลีน่ากล่าวเรียกเขาว่าคนผีทะเลพลางหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะโยนกริชไคร์ลเรสที่วางอยู่หัวเตียงไปที่ปลายเท้าของชายผู้นั้น ชายหนุ่มไม่อาจปกปิดสีหน้าผิดหวังที่มีต่อกริชที่ทั้งเก่าและเกรอะกรังในคราแรก แต่ในไม่ช้าหลังจากค้นพบของตกแต่งที่แขวนติดอยู่กับกริชเล่มนั้น เขาก็มีรอยยิ้มสดใส อีเบลลีน่ากล่าวแก่ชายผู้นั้น

“กริชเล่มนั้น เจ้าจะทิ้งหรือจะทำอะไรก็ตามแต่ใจเจ้า แต่มันก็เก่ามากแล้วไม่รู้จะยังขายได้หรือเปล่า”

อีเบลลีน่าไม่ได้บอกแก่ชายหนุ่มว่ากริชเล่มนั้นมีประโยชน์ด้านใด เมื่อได้ยินคำพูดของอีเบลลีน่าชายหนุ่มตอบกลับไปขณะจ้องมองของตกแต่งที่ห้อยอยู่ตรงด้านจับอย่างไม่มีสติ

“ไม่เลยขอรับ มีที่ที่รับซื้อของแบบนี้อยู่ หากเป็นพวกร้านค้าที่อยู่ในตรอกอาร์เบล พอจะให้ค่าข้าวได้อยู่ขอรับ”

ต่อจากนั้น ชายหนุ่มก็รีบแต่งตัวและออกจากห้องไป ความทรงจำจบลงตรงนั้น

“ตรอกอาร์เบล…”

ฉันรู้ว่าที่นั่นคือที่ไหน เพราะเป็นสถานที่ที่ถูกพูดถึงในหนังสืออยู่หลายครั้ง อีกฟากหนึ่งของกำแพงสูงใหญ่วิหารหลวงมีเมืองขนาดใหญ่มากถูกสร้างขึ้นแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีนักแสวงบุญจำนวนมากจากทั่วทั้งทวีปมายังวิหารหลวงทำให้การค้าที่มีพวกเขาเป็นกลุ่มเป้าหมายเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยก่อน

ถึงแม้จะเป็นเมืองที่อยู่ด้านนอกวิหารหลวงแต่ก็มีการดำรงอยู่ของสถานที่ดำมืดเช่นเดียวกับเมืองทั่วไปเช่นกัน ที่นั่นคือซอยอาร์เบล หรือที่โดยปกติแล้วเรียกกันว่าตรอกอาร์เบล

“จะไปที่นั่นได้ยังไง”

ฉันไม่เคยออกไปนอกวิหารหลวงมาก่อน ดังนั้นต่อให้บอกว่าเป็นสถานที่ที่เคยกล่าวถึงในหนังสือ แต่ก็ใช่ว่าสามารถออกไปได้อย่างมั่นใจในทันที อีเบลลีน่าเองก็ไม่เคยออกไปนอกวิหารหลวงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นั่นเลย เอาเป็นว่าการออกไปนอกวิหารหลวงก็ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว แต่นี่จะออกไปที่นั่นเพื่อนำกริชไคร์ลเรสกลับมา? นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

‘แต่ก็ต้องไปนำกลับมา’

กริชไคร์ลเรสเป็นทรัพย์สมบัติที่มีชื่อเสียงมากของวิหาร ดูจากที่ยังมันไม่เป็นที่กล่าวถึงเป็นพิเศษจนถึงตอนนี้ ต้องเป็นเพราะยังไม่มีใครค้นพบความสามารถของกริชนั่นและมันจะต้องถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งแน่

ฉันขยับหัวไปมาทั่งที่ยังซุกหน้าอยู่ในหมอน แม้เคยอยากลองใช้ทางลับเพื่อออกไปนอกวิหารสักวันหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วไปหน่อย

“ต้องไปสำรวจเส้นทางก่อน แล้วต้องเคลียร์งานทั้งหมดของวิหารหลวงก่อนออกไปด้วย”

ทางเดินยาวกว่าทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนหลายเท่า อีกทั้งอีเบลลีน่ายังไม่เคยใช้เส้นทางนั้นมาก่อน และมันไม่ได้ถูกใช้อย่างจริงจังมาตลอดหลายสิบปีจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ทางเดินจะยังอยู่ในสภาพดี และเพราะการออกไปตอนกลางวันปลอดภัยกว่าตอนกลางคืน ฉันจึงมีความคิดที่จะออกไปในเวลาปกติที่ต้องทำงานของวิหาร เพราะฉะนั้นแล้วฉันควรจะรีบจัดการงานเร่งด่วนก่อนออกไป เพื่อไม่ให้เหล่านักบวชมีเรื่องให้เข้าพบก่อน

ระหว่างที่คิดว่างานประเภทนั้นมีอะไรบ้าง ก็นึกถึงหน้าขององค์ชายรัชทายาทเลออนขึ้นมา

‘ลองคิดดูแล้วเขาเคยบอกว่าอยากสนทนายาวๆ กันในวันที่ฉันสะดวก…’

พอย้อนนึกถึงคำพูดของเขาก็พลันถอนหายใจ จะมีวันที่ฉันมองเขาด้วยความสบายใจไหมนะ? ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ดูเหมือนวันนั้นคงจะไม่มาถึงง่ายๆ

‘แต่ยังไงก็ควรให้คำตอบ’

ถ้าเวลาสนทนากับเขาเป็นภารกิจทางการ มันจะสามารถเลื่อนตารางงานอื่นๆ ออกไปได้หรือไม่ ระหว่างที่คิดเช่นนั้น ฉันก็นึกถึงเรื่องภายนอกอีกครั้ง

‘โชคดีที่ยังพอเหลือเหรียญกษาปณ์ทองอยู่ในมือบ้าง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินที่จะใช้ตอนออกไปข้างนอก’

ลองคาดเดาจากความรู้ที่ได้สั่งสมมาจากหลายๆ ที่ แม้ว่าเหรีญกษาปณ์ทองจะเป็นเงินที่หน่วยใหญ่มาก ทว่าก็ไม่ได้ถึงกับจะใช้ที่ข้างนอกนั่นไม่ได้เลย

ซุกหน้าอยู่ในหมอนสักพัก ฉันก็ลุกขึ้นและไปห้องข้างๆ จากนั้นเปิดลิ้นชักชั้นหนึ่งในนั้น ภาพของด้านในปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงกุกกัก ฉันหยิบของในนั้นขึ้นมาหนึ่งชิ้น

“ถ้าเป็นของสิ่งนี้ล่ะก็ ตอนออกไปด้านนอกคงไม่มีปัญหา”

สิ่งที่ฉันหยิบออกมาคือแผ่นป้ายแสดงตัวตนที่อีเบลลีน่าให้เหล่าชายหนุ่มใช้อำพรางตัวเป็นนักบวชขณะที่จะเข้ามาในห้อง มันคือแผ่นป้ายแสดงตัวตนที่แสดงถึงระดับสูงมาก ดังนั้นแค่เพียงมีมัน การจะเข้ามาจนถึงด้านในวิหารหลวงก็ไม่มีปัญหา และแน่นอนว่าการเข้าออกวิหารหลวงก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก

ฉันดันแผ่นป้ายแสดงตัวตนเก็บเข้าไปในส่วนลึกของลิ้นชักอีกครั้งแล้วกำหมัด ทันใดนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามก็โอบล้อมเลือนรางอยู่รอบมือของฉันอย่างเป็นธรรมชาติ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นฉันก็ทำให้ปลิวไปแบบชีเดลเสียก็สิ้นเรื่อง ฉันฝึกซ้อมวิธีการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ดังนั้นคงจะไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายแก่ร่างกายฉันโดยตรง

‘งั้นออกไปกันเถอะ’

อย่างไรก็มีความคิดที่จะออกไปชมโลกภายนอกวิหารหลวงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอยู่แล้ว แม้จะกลัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีเหตุผลให้รีรออีกต่อไป

‘สุดสัปดาห์นี้’

โชคดีที่เท่าที่ฉันจำได้ไม่มีตารางงานอะไรเป็นพิเศษ ฉันเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างและจ้องไปยังกำแพงสีขาวของวิหารหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป

‘ต้องข้ามไปอีกฟากนั้นเพื่อตามหาทรัพย์สมบัติของวิหารหลวงกลับมา’

***

หลังจากตัดสินใจได้ฉันก็เริ่มเตรียมตัวอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเคยเอาแต่คิดมาตลอดจนถึงตอนนี้

‘ก่อนอื่นเลยคือความปลอดภัยของฉันสำคัญที่สุดและ…ต่อจากนั้นคือห้ามถูกจับได้’

เพราะตอนนี้สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ดังนั้นแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากคนอื่นได้รับบาดเจ็บแต่ฉันจะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บแน่ แต่หากเกิดปัญหาและเป็นที่พูดถึงก็คงยากที่จะปกปิดความจริงที่ว่าฉันแอบออกไปนอกวิหารหลวง

‘หากกลายเป็นแบบนั้น ตอนที่ฉันบอกว่าอยากออกไปอีกครั้ง คงจำเป็นต้องพาราธบันหรือไม่ก็เหล่าอัศวินแห่งวิหารคนอื่นไปด้วยแน่’

เห็นได้ชัดเลยว่าจะออกมาเป็นภาพแบบไหน จะต้องคุ้มกันอยู่รอบกายฉันเหมือนตอนพิธีสวดภาวนา และคงต้องอยู่ออกห่างจากผู้คน ทำได้เพียงเดินชมเท่านั้น

‘นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ’

ฉันอยากออกไปด้านนอกเพื่อสังเกตดูว่าโลกใบนี้เป็นสถานที่แบบไหน มีผู้คนแบบไหนอาศัยอยู่และในอนาคตฉันจะต้องใช้ชีวิตแบบไหน

หากวันหนึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์หายไป อีริสปรากฏตัวขึ้นและได้กลายเป็นนักบุญหญิง ฉันตั้งใจจะออกจากวิหารหลวงทันที ไม่สิ ต้องออกไปต่างหาก ต่อให้จากนี้ไปฉันจะพยายามลบเลือนเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่อีเบลลีน่าได้เคยก่อไว้อย่างถึงที่สุด แต่นักบุญหญิงที่สูญเสียพลังศักดิ์สิทธ์ไปจะถือเป็นลางร้ายขนาดไหน นั่นมิใช่ว่ามันถูกแสดงให้เห็นในหนังสือหมดแล้วหรอกหรือ

‘ต่อให้ไม่ได้ถูกเผาด้วยไฟจนตาย ก็ต้องถูกนำไปขังไว้ที่คุกใต้ดินแน่’

ทันทีที่คิดถึงเรื่องราวที่เคยอ่านในส่วนที่อีริสปรากฏตัวขึ้น ซอกหนึ่งในหัวใจก็พลันรู้สึกเสียววาบขึ้นมา

ทุกคนล้วนแต่รักอีริสผู้ปรากฏกายขึ้นมาใหม่ เพราะนางครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนคาดหวังในตัวนักบุญหญิง นักบุญหญิงผู้ใจดี อ่อนหวาน มีเมตตาและอุทิศตน มีจิตใจศรัทธาที่จริงใจในพระเจ้าทั้งยังครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อันแกร่งกล้า

“…เฮ้อ”

ฉันถอนหายใจยาว ฉันนึกถึงอีริสที่ยังไม่แม้แต่จะปรากฏตัวและกำลังอิจฉานางโดยไม่รู้ตัว บางทีอีริสคงจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างไปตั้งแต่วินาทีที่ปรากฏกายขึ้นบนโลกนี้เลยก็ได้ โลกใบนี้เป็นโลกที่มีเพื่อนาง ฉันเป็นเพียงแค่ตัวประกอบที่ต้องพยายามเพื่อรักษาชีวิตจากด้านข้างเท่านั้น

หลังจากคิดดังนั้น ฉันก็ใช้สองมือตบหน้าจนเกิดเสียงเปียะ

“ตั้งสติหน่อย”

ฉันเดินเข้าไปหากระจกหลังจากพูดกับตัวเองแบบนั้น มองเห็นภาพของอีเบลลีน่าที่ตอนนี้คุ้นเคยกับมันพอสมควรแล้ว ไม่สิ ภาพของฉัน ร่างกายนี้กลายเป็นของฉันอย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่มีอะไรมารบกวนอยู่ระยะหนึ่งเพราะฉันทำตามเงื่อนไขที่อีเบลลีน่ากำหนด ชีวิตที่สองที่ได้รับมาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าชะตาชีวิตของอีเบลลีน่าจะถูกกำหนดไว้หรือไม่ ฉันก็ต้องพยายามเพื่อให้มีชีวิตไปจนถึงที่สุด

***

เมื่อตัดสินใจว่าจะออกไปแล้ว สิ่งที่ต้องตรวจดูมากที่สุดก็คือทางลับที่เชื่อมต่อกับทางเข้าวิหารหลวง ฉันสวมฮู้ดที่ติดกับเสื้อคลุมแล้วเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้อง พลังศักดิ์สิทธ์พลันเปล่งประกายเมื่อแตะมือเข้าที่แผ่นไม้ด้านใน ตัวอักษรสีฟ้าครามที่ไม่อาจทราบความหมายปรากฏขึ้นพร้อมกับที่ภาพของทางเดินที่อยู่ด้านในตู้เสื้อผ้าเผยออกมาในไม่ช้า

“แค่ก!”

กลิ่นอากาศเก่าแก่ที่โชยออกมาจากด้านในทันทีที่เปิดประตูทางเดินทำให้เกิดอาการแสบคอ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานและเสียหายอยู่จริงๆ เมื่อฉันถือโคมไฟที่เตรียมมาต่างหากและสอดส่องด้านในก็พบว่ามันเป็นทางเดินที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากเหล่าแมลงตัวจิ๋วที่วิ่งหนีไปเพราะตกใจแสงไฟ

ฉันก้าวเข้าไปในทางเดินอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ด้านในทางเดินถูกสร้างขึ้นจากหินทั้งหมดจึงทำให้ฝุ่นไม่ฟุ้งเท่าที่คิด ปัญหามีเพียงใยแมงมุมที่มาติดใบหน้าบ้างครั้งคราวและแมลงที่ตกลงบนเสื้อเท่านั้น

‘ไม่มีส่วนที่พังแฮะ’

ได้ยินมาว่าเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในอดีต ดังนั้นเลยดูเหมือนมันจะถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง ถือว่ายังโชคดี เพราะแบบนั้นฉันจึงเกิดความคิดที่จะตรวจดูเพียงเท่านี้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปจนถึงที่ที่สามารถไปถึง

เดินมานานแค่ไหนแล้วขณะที่เริ่มรู้สึกปวดขาเบาๆ ฉันก็เห็นเปลวไฟในโคมไฟที่ถืออยู่สั่นไหวเพราะลมที่พัดมาจากที่ใดสักแห่ง การหายใจไม่มีปัญหาเพราะดูเหมือนทั่วทุกที่ในทางเดินจะมีช่องที่ให้ลมผ่านเข้ามาอยู่

และยังได้ยินเสียงของผู้คนในเวลาเดียวกันด้วย

‘ผนังกำลังบางลง’

ดูเหมือนจะใกล้ทางออกแล้ว เดินมาจนถึงปลายสุดของเส้นทางจนได้ ฉันแนบหูเข้ากับผนังและตรวจสอบเสียงด้านนอก จากนั้นก็ดึงฮู้ดลงมาปิดบังใบหน้ากว่าเดิม ฉันไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ตรงไหน หากบุ่มบ่ามทำให้ผนังหายไปแล้วเกิดพบใครสักคนที่รู้จักฉันขึ้นมาจะทำให้เรื่องยุ่งยาก

ฉันฉวยโอกาสตอนที่ไม่ค่อยได้ยินเสียงคนจากด้านนอกเปิดปลายทางเดิน หลังจากพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามเปล่งประกายและจางหายไป เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพด้านนอก

“ที่นี่คือที่ไหน”

ตรงหน้ามีสิ่งของต่างๆ กองสุมอยู่เต็มไปหมดต่างจากที่ฉันคิดว่าจะเจอกับถนนทันที ฉันยืดตัวดูเล็กน้อย อย่างไรที่นี่ก็ดูเหมือนจะถูกใช้เป็นโกดังเก็บของ ฉันปิดโคมไฟแล้วแทรกตัวออกมาระหว่างของเหล่านั้น พอมองออกไปด้านนอกแล้วก็เห็นประตูใหญ่ของวิหารหลวงซึ่งเคยเห็นอยู่ไกลๆ จากที่พักอยู่ตรงข้างหน้าต่างในโกดังเก็บของ

ฉันค่อยๆ ยืดศีรษะขึ้นอย่างระมัดระวังก็เห็นผู้คนกำลังเดินไปมาอยู่ด้านนอก ดูเหมือนพวกเขาทุกคนจะไม่ได้สนใจโกดังเก็บของแห่งนี้ ฉันรวบรวมความกล้าขึ้นอีกนิดและเดินเข้าไปใกล้ประตูโกดังเก็บของ

‘ถ้ามันล็อคไว้ตอนกลับมาอีกครั้งคงจะยุ่งวุ่นวายแน่ ดังนั้นตอนนี้ไปตรวจดูไว้ก่อนดีกว่า’

ฉันคิดแบบนั้นพลางแง้มประตูออกเล็กน้อย ประตูถูกเปิดออกอย่างไม่ยากเกินความสามารถต่างจากที่กังวล ทันทีที่ก้าวออกจากโกดังเก็บของก็ปะทะสายตาเข้ากับหลายคนที่เดินผ่านแถวนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่ช้าพวกเขาก็หันศีรษะกลับอย่างเมินเฉย ดูเหมือนโกดังเก็บของนี้จะเป็นสถานที่ที่ใครจะเข้าออกก็ได้

ฉันจับหน้าอกที่เต้นระรัวแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง มองเห็นประตูใหญ่ของวิหารหลวง ฉันก็ทะลุเข้ามาในร่างนี้สักพักแล้ว แต่เพิ่งจะได้มาเห็นทางเข้าของวิหารหลวงอย่างเต็มตาก็ตอนนี้เองหรือ

ฉันเดินเข้าไปแถวประตูใหญ่มากขึ้นอีกนิดและสังเกตผู้คนที่เดินเข้าออก

‘เห็นว่าประตูใหญ่เปิดไว้ตลอดทั้งวัน…’

ประตูของวิหารหลวงเปิดทิ้งไว้อยู่เสมอเพื่อจะสื่อว่าคนทุกคนล้วนแต่ได้รับการยอมรับ เห็นว่าประตูของวิหารหลวงจะปิดก็ต่อเมื่อถูกโจมตีเพียงเท่านั้น

ดังนั้นแม้จะเป็นเวลาดึกถึงเพียงนี้ แต่จำนวนของผู้คนที่เดินเข้าออกประตูใหญ่ก็ไม่น้อยเลย ห้องของรถม้าที่เต็มไปด้วยสัมภาระ ครอบครัวที่กำลังประคองผู้ป่วย เหล่านักบวชที่ดูเหมือนมีธุระด้านนอก ไปจนถึงพ่อค้าแม่ขายที่มีทุกคนเป็นเป้าหมาย

พอมองดูผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่แบบนั้น ฉันก็เกือบจะขยับฝีเท้าไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว แม้โชคดีที่ตั้งสติได้และหยุดทัน แต่ทว่าสายตาของฉันก็ยังคงจับจ้องไปที่ด้านนอกประตูใหญ่ของวิหารหลวง

‘อยากลองออกไปจัง’

แม้ภายในวิหารหลวงจะเต็มไปด้วยของที่ไม่คุ้นเคยและน่าอัศจรรย์ใจ แต่ฉันก็สงสัยโลกภายนอกวิหารหลวงด้วยเช่นกัน สำหรับฉันผู้ที่อาศัยอยู่แต่ในโรงพยาบาลมาแทบทั้งชีวิต โลกภายนอกจึงเป็นสถานที่ที่น่าหลงใหลจนฉันไม่อาจทนได้ ทั้งสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ สิ่งที่น่าสนุก สิ่งที่น่าตื่นเต้น สถานที่ต่างๆ ที่มีสิ่งเหล่านั้น

ขณะที่จ้องมองประตูใหญ่ของวิหารหลวงอยู่สักพัก ฉันสัมผัสได้ว่าอัศวินรักษาความปลอดภัยกำลังชำเลืองมองอยู่ ฉันรีบหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเก็บของ ถือโคมไฟที่วางไว้ขึ้น และกลับไปยังที่พักด้วยทางลับ

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

บางทีอาจเป็นเพราะรีบเดิน เหงื่อจึงผุดขึ้นที่หน้าผากและไหลลงจนถึงปลายคาง แม้มานอนอยู่บนเตียงแล้วหลังจากรีบร้อนเปลี่ยนชุดและอาบน้ำ หัวใจที่เต้นระรัวก็ยังไม่อาจสงบลงได้อย่างง่ายดาย

‘สุดสัปดาห์…’

ฉันนับนิ้วคำนวนวันที่เหลืออยู่

“เหลือเวลาอีกสามวัน…”

ดูเหมือนจะเป็นสามวันที่ยาวนานมากเหลือเกิน